ภัยของมนุษยนั้นไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตใหญ่โต
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น ทั้งเอดส์ ทั้งหูด ดังสำนวนกำลังภายในจีนที่ว่า
" ดาบเปิดเผยหลบง่าย เกาทัณฑ์ลับหลบยาก "
ช้างตัวใหญ่แต่กลับแพ้ทางมดตัวเล็กๆ มนุษย์ตัวใหญ่ๆ ฉลาดที่สุดในสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
กลับต้องพ่ายแพ้สิ่งมีชีวิตที่เล็กขนาดขยายล้านเท่าก็มองไม่เห็น นี่คือกฎของสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่
ต้องชนะเล็กแต่แพ้จิ๋ว แต่ในทางการเมือง จิ๋วก็แพ้ชวนวนเวียนไป
หูดไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นใหม่ แต่มนุษย์คุ้นเคยกันมานานทั้งๆ ที่เป็นในที่เปิดเผยและในที่ลับ
ที่คุ้นมากคือหูดตาปลา ก็เป็นหูดผิวหนังบริเวณภายนอก เป็นคล้ายไฝคล้ำๆ แต่มีลักษณะคล้ายกับ
ผิวขรุขระบริเวณที่พบบ่อยคือตามแขนและขา ชาวบ้านทั่วๆ ไปพอเห็นก็วินิจฉัยได้
และรักษาโดยการเอาไฟจี้ เช่น ธูป เป็นต้น ก็หายบ้าง ไม่หายบ้าง บางครั้งจี้จนเป็นแผลติดเชื้อหนอง
ขณะมีเชื้อแบคทีเรียลงไปทำให้เกิดการกลัดหนอง เชื้อแบคทีเรียก็จะไปทำลายเชื้อไวรัสได้หมด
บางกรณีต้องเรียกว่า ส่วนใหญ่เป็นสักช่วงหนึ่งร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา
ค่อยๆ ทำลายทำให้หูดค่อยๆ เหี่ยวเฉาและหายไปได้ ถ้าหูดเป็นที่ผิวหนังโดยเฉพาะนอกร่มผ้า
ก็มักจะไม่ขยายใหญ่โต
จะอยู่เป็นก้อนอัดแน่น เป็นตุ่มคล้ายไฝดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าเป็นหูดเกิดในบริเวณร่มผ้าที่อับชื้น
ทำความสะอาดลำบาก ลักษณะของหูดก็จะขยายใหญ่และบานออกจะเห็นเป็นกอๆ
และมากเข้าจะดูคล้ายหงอนไก่ โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศและร่องก้นดูน่าเกลียด
ยังจำได้ เมื่อยังเป็นวัยรุ่นเรียนมัธยมปลาย เพื่อนถูกนำส่งโรงพยาบาลและได้ไปเยี่ยม
ปรากฎว่าต้องอยู่โรงพยาบาลเพราะปัสสาวะไม่ได้สาเหตุจากหูดหงอนไก่ไปอุดตันทางเดินปัสสาวะ
ทำเอาหนาวๆ ร้อนๆ เพราะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันทำกิจกรรมสังคมทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้นด้วยกัน
เลยต้องสำรวจตรวจตรากันเองใหญ่ เป็นครั้งแรกที่ได้แอบเห็นหูดหงอนไก่และฤทธิเดชของหูด
ดูขยะแขยงเพราะเป็นทั่วส่วนปลายของอวัยวะเพศ (ชาย)
หูดหงอนไก่เป็นโรคที่ชุกชุมพอสมควร เพราะติดต่องาย พบได้ในพวกที่ชอบเที่ยวสำส่อน
คือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือที่เรียกว่า กามโรค หรือ STD.หรือที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปเรียกว่า
V.D. ความสำคัญของโรคนี้พบในสตรีมากกว่าในบุรุษ นับเป็นโรคที่อันตรายในผู้หญิงมากกว่าในชาย
เพราะในสตรีที่ติดเชื้อหูดหงอนไก่พบว่าอาจจะกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ในเพศชายไม่พบว่า
โรคนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดกลายเป็นมะเร็ง ความร้ายกาจของโรคนี้ในสตรีพบมาเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง
เดิมที่เชื่อว่าเริมเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก พอศึกษาต่อๆ มาข้อมูลมากยิ่งขึ้นๆ
ก็พบว่าไม่ใช่เริมแต่เป็นหูด ซึ่งทั้งเริม ทั้งหูด ล้วนแต่มาจากเชื้อไวรัสแต่คนละสายพันธุ์
เริมไม่ทำให้เกิดก้อนทูม ตรงกันข้ามทำให้เกิดแผลคือเนื้อแหว่ง ขาดหาย แต่หูดก่อให้เกิดเนื้อนูน
หรือก้อนทูม เริมมักจะก่อความเจ็บปวดมาก ขณะที่หูดไม่ก่อความเจ็บปวดแต่จะก่อการระคายเคือง
ทางคันมากกว่า
ความน่าหวาดวิตกของโรคหูดนี้คือ เจ้าตัวเชื้อหูดซึ่งเป็นไวรัส (Virus) นั้นปัจจุบันมี 80 กว่าชนิด
ที่ตรวจพบได้ และจากรายงานการศึกษาในอเมริกาพบว่า ในหญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปี 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
มีหลักฐานว่า มีการติดเชื้อนี้หรือเคยติดเชื้อนี้ โดยการตรวจทางระบบน้ำเหลืองหาร่องรอยคราบของไวรัส
สิ่งแปลกปลอมไม่ว่าจะเป็นไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เช่น ทางบาดแผล
ทางระบบทางเดินหายใจ ทางกระแสโลหิต ร่างกายไม่เคยมีสารเหล่านี้อยู่ก่อน พอสัมผัสถูกน้ำเหลืองในร่างกาย
ในน้ำเหลืองจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง พอเข้ามาสัมผัสก็จะมาสำรวจดูถ้าเป็นสิ่งแปลกปลอม
ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็จะเริ่มส่งข่าวข้อมูลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวระบบภูมิคุ้มกันสร้างสารของเหลวชนิดหนึ่ง
ซึ่งจะมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะเข้ามาเกาะตัวเชื้อโรคไม่ว่าทั้งไวรัสหรือแบคทีเรียนั้นไว้ไม่ให้เที่ยวเพ่นพ่าน
ไปทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย และขณะเดียวกันก็จะทำลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นเสีย
สารเหลวนี้เป็นสารจำพวกโปรตีนที่เซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นเรียกว่า "แอนติบอดี้" คำว่า
"แอนติ" คือ ต่อต้าน "บอดี้" (Body) คือสิ่งมีชีวิต คือสารต่อต้านสิ่งมีชีวิต (ที่แปลกปลอมเข้าร่างกาย)
ร่างกายยังมีระบบความจำที่พิเศษจะจำโครงสร้างของสิ่งแปลกปลอมนี้ไว้ถ่ายทอดกันต่อๆ ไป
และจะสร้างสรรค์แอนติบอดี้ (Antibody) อยู่ตลอด แต่ปริมาณอาจจะไม่มากดังตอนแรกๆ ที่เชื้อโรคเข้ามา
หรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใหม่ๆ กล่าวคือมีการลืมเลือนไปบ้าง แต่ยังสร้างพอเป็นกระสัยอยู่ตลอด
เมื่อไรก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวเข้ามาในร่างกายอีกก็จะกระตุ้นให้มีการสร้างสารแอนติบอดี้
ออกมารวดเร็วและมากมายขึ้นได้อีก
ดังนั้นด้วยความรู้กลไกในการสร้างแอนติบอดี้ดังกล่าวทำให้สามารถตรวจดูได้ว่า
เคยมีการติดเชื้อโรคอะไรมาบ้าง และขณะเดียวกันก็สามารถนำมาใช้ในหลักการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
หรือ "วัคซีน" (Vaccine) โดยการฉีดเชื้อโรคที่ก่ออันตรายแต่ทำให้ตายเพราะต้องการให้เม็ดเลือดขาว
ได้สัมผัสโครงสร้างภายนอกของเชื้อโรค โดยฉีดเข้าร่างกายแล้วค่อยกระตุ้นเป็นระยะๆ
ดูแล้วเป็นกลไกทางธรรมชาติที่อธิบายได้ง่ายๆ แต่กว่าจะเข้าใจกลไกเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์
ใช้เวลาเป็นกึ่งๆ ศตวรรษกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันจึงมีการตรวจวิเคราะห์โรคต่างๆ
ได้มากมาย และขณะเดียวกันก็มีการสร้างวัคซีนเพื่อควบคุมโรคออกมามากมายจนบางโรคหายไปจากโลก
วกกลับมาที่โรคหูดหงอนไก่ จากการตรวจหาร่องรอยโรคคือตรวจหา แอนติบอดี้ที่มีต่อไวรัสหูด
พบว่า ตัวเลขสูงดังกล่าวข้างต้น ในประเทศไทยยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดแต่ก็ประเมินว่า
ไม่น่าจะต่ำกว่าทางอเมริกา แต่อย่าเพิ่งขวัญเสียเพราะเชื้อหูดไวรัสนี้แม้จะมีมากถึง 80 กว่าชนิด
แต่ก็สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มใหญ่เป็นพวกไม่มีพิษสง คือก่อความรำคาญ
ก่อโรคที่ทำให้เกิดเป็นตุ่มก้อน เป็นตัวก่อก้อนหูดหงอนไก่ชนิดที่ชัดเจน
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่มีพิษสงพอสมควรมีขีดความสามารถที่จะก่อให้เกิดการคลาย
ของเนื้อเยื่อปากมดลูกไปเป็นเนื้อร้ายที่อยู่กับที่บางท่านว่ามะเร็งเฉพาะที่ไม่ลุกลาม
พวกที่สามพวกพิษสงร้าย หรือพวกมาเฟียหูดจะทำให้กลายไปเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อปากมดลูกได้
และเป็นชนิดลุกลามรุนแรง แต่กลุ่มนี้มีสมาชิกที่พบเพียง 2 ตัว ให้เป็นเบอร์ 16 กับ 18 ที่ฤทธิ์เดชมาก
ไวรัสกลุ่มนี้ก็เช่นเดียวกับเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโปลิโอ ไวรัสตับอักเสบ ฯลฯ
คือมีขนาดเล็กมากๆๆ ขยายล้านเท่ายังมองไม่เห็น นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขนาดเล็กที่สุด จนเคยมีการสันนิษฐานว่า
ไวรัสอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกก็ว่าได้ เพราะโครงสร้างไม่สลับซับซ้อนเป็นเพียงขดเกลียว
ของกรดอะมิโนเรียงกันเหมือนลูกปัดบิดไขว้ไปมา 2 เส้น แล้วมีเปลือกคล้ายเปลือกน้อยหน่าหุ้ม
เป็นลักษณะกลมแต่พิษสงร้ายน่าดู
เดากันว่า (เพราะฉะนั้นไม่รู้จริงหรือไม่ ยังทำการทดลองไม่ได้ผล) ชีวิตอาจจะเริ่มต้นจากความฟลุ๊ค
ที่เกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆฝนคะนอง แล้วขณะที่อุณหภูมิกำลังพอดีให้สารอินทรีย์เกิดปฏิกิริยา
จากธาตุคาร์บอน ธาตุออกซิเจน ธาตุไนโตรเจน ธาตุไฮโดรเจน เป็นกระอะมิโนนั้นฟ้าก็ผ่าลงมา
ถ่ายเทพลังงานให้กับกรดอะมิโนกลุ่มนั้นเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น คือมีการขยายเผ่าพันธุ์ได้
การขยายเผ่าพันธุ์ของไวรัสนั้นดูก็เป็นขบวนการที่ไม่สลับซับซ้อน คือลายลูกปัดอะมิโนแอซิคที่พันกัน
อยู่สองสายคลายเกลียวออก ยืดออกแต่ละสายแล้วก็มีกรดอะมิโนแอซิคมาจับคู่กับสายลูกปัดอย่างเหมาะสม
คล้ายกับเบ้าหล่อมเกิดเป็นสายลูกปัดอะมิโนใหญ่เกิดขึ้นแล้วก็พันกันเหมือนขนมเกลียวเกิดขึ้นใหม่
กลายเป็นสายลูกปัด 2 สาย คือมีลูกปัดเพิ่มมาอีก 1 ชุด แล้วก็มีสารมาเคลือบหุ้มลูกปัดก็จะได้ลูกปัด
2 สายพันกัน 2 ลูก นี่เป็นวิธีสืบพันธุ์ขยายพันธุ์ไวรัสทั่วๆ ไป
แต่เนื่องจากไวรัสมีองค์ประกอบหน่วยเดียวจึงทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้คือ พากันหาสารต่างๆ
มาให้ตัวเองไม่ได้ก็เลยต้องอาศัยคนอื่น คือเซลล์อื่นให้ช่วยทำมาหาให้ตัวเอง คือเป็นกาฝาก
ชนิดต้นแบบเลยทีเดียว ดังนั้นไวรัสจึงต้องเข้าไปอยู่ในบ้าน คือในเซลล์ต่างกับแบคทีเรียที่ก่อโรค
จะอาศัยอยู่นอกเซลล์ คอยแย่งคอยทำลายเซลล์ของผู้ที่มันอาศัยแบคทีเรีย บางครั้งจึงไม่ได้เป็นกาฝาก
แต่เป็นเพื่อนกับมนุษย์ คืออยู่แบบพึ่งพาไม่รบกวนไม่ทำลายมนุษย์ เช่น แบคทีเรียตามผิวหนัง
แบคทีเรียในลำไส้ เป็นต้น กับเป็นผู้รับใช้ในบางพวก เช่นคอยเป็นทหารป้องกันไม่ให้แบคทีเรียตัวร้าย
แทรกซึมเข้าทำลายได้ บ้างก็อยู่ในร่างกายและผลิตสารที่มีประโยชน์ให้มนุษย์ เช่น แบคทีเรียในลำไส้
ช่วยผลิตไวตามินบางชนิดได้
กลับเข้ามาหาเจ้าหูดหงอนไก่ต่อ ไวรัสหูดหงอนไก่เซลล์ เอ๊าะๆ หรือเซลล์ที่อ่อนๆ
กำลังกระตือรือล้นต่อการแบ่งตัว เพราะเซลล์เหล่านนี้จะมีนิวเคลียสหรือศูนย์กลางการบังคับบัญชาเซลล์
ซึ่งคล้ายกับไข่แดงของไข่ไก่ จะเป็นที่รวมของสารลูกปัดพันธุกรรมหรืออะมิโนแอซิค เซลล์เหล่านี้
จะคลายเกลียวสายลูกปัดกรดอะมิโนซึ่งจะทำให้สายลูกปัดกรดอะมิโนของไวรัสแทรกเข้าไปอยู่
ในสายลูกปัดกรดอะมิโนของเซลล์มนุษย์แล้วก็จะมีขบวนการสร้างสายลูกปัดกรดอะมิโนเกิดขึ้น
ทำให้สายลูกปัด (ไวรัส) กรดอะมิโนก็จะได้สายลูกปัดกรดอะมิโนได้ช่วยให้ไวรัสขยายแพร่พันธุ์ได้
ด้วยขบวนการดังนี้พอเซลล์มนุษย์โดยเฉพาะที่อวัยวะเพศมีสารอะมิโนแอซิคของไวรัสปนอยู่
ก็จะปล้นการทำงานของเซลล์ หรือเรียกได้ว่า สายลูกปัดกรดอะมิโนไวรัสเข้าไปควบคุมการทำงาน
ของเซลล์ด้วยนิสัยอันธพาลก็จะกระตุ้นให้เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกลายเป็นเนื้องอกก้อนทูม
และเซลล์เหล่านี้ก็จะเพี้ยน คือจำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ ก็จะแบ่งตัวตลอดเกิดเป็นก้อนทูมขรุขระ
ถ้าเกิดไวรัสนั้นเป็นพวกกลุ่ม 16 หรือ 18 กลุ่ม 16 เลขนี้อยู่ที่ไหนก็ป่วนที่นั้น การเมืองไทยยุคหนึ่ง
ก็ถูกป่วนจนคนไทยส่วนหนึ่งทนไม่ได้ลาออกจากกการเป็นประชาชนคนไทย เพราะทนพฤติกรรมนักการ
(กิน) เมืองกลุ่มนี้ไม่ไหว แต่ในที่สุดความไม่ถูกต้องก็เผาผลาญตัวเองแตกสลายไป แต่ไวรัสกลุ่ม 16
และ 18 นี้ ไม่แตกสลายแต่กลับทำให้เจ้าของเซลล์ที่อาศัยแตกสลายเพราะหน่วยพันธุกรรม
หรือสายลูกปัดกรดอะมิโนของไวรัสกลุ่มนี้จะไปทำให้เซลล์กลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ดูแล้วก็น่าวิตกเพราะอุบัติการติดเชื้อในสตรีวัยต่ำกว่า 35 ปีสูงมาก แต่ในทางปฏิบัติก็พบว่า
ธรรมชาติยังปราณีมนุษย์อยู่เพราะไวรัสกลุ่ม 16, 18 นั้นมีน้อยและไม่ใช่ของติดเชื้อปุ๊บปั๊บ
ก็กลายเป็นมะเร็งหาใช่ไม่ ขั้นตอนการกลายจากเนื้อเยื่อปกติจนเป็นมะเร็งใช้เวลาโดยเฉลี่ย
ไม่น้อยกว่า 12-15 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน พอเพียงที่จะแก้ไขป้องกัน ถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาขบวนการตรวจค้นหา ไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16
และ 18 จากการศึกษาก็พอจะมีข้อสังเกตว่า หูดชนิดไหนอันตรายต่อการเกิดมะเร็ง โดยพบว่า
พวกที่เว่อร์คือ ชนิดที่เป็นหูดน่าเกลียด เช่น หูดหงอนไก่ของทวารของอวัยวะเพศ มักจะเป็นชนิดไม่ร้าย
(กลายเป็นมะเร็ง) พวกที่หลบๆ ซ่อนๆ คือเป็นตุ่มแบนๆ ราบๆ ใกล้ปากโพรงมดลูกนั่นแหละใช่เลยต้องระมัดระวัง
เพราะมีโอกาสจะเกิดจากแก๊ง 16 และ 18 สูง พบได้ไม่บ่อยที่ตรวจพบโดยบังเอิญคือ
จากการตรวจมะเร็งปากมดลูกหรือตรวจแป๊ปเสมียร์ ซึ่งเป็นการตรวจประจำปีแล้วพบเข้า
ก็เพียงแต่บ่งบอกว่ามีไวรัสแอบอยู่โดยทั่วไปอาจจะถูกร่างกายกำจัดไปเอง คือหายไปก็จะตรวจติดตามไม่พบ
หรือกำลังฟักตัวรอเวลาแสดงอาการหรือแสดงโรคโดยไม่มีอาการ ส่วนมากใช้เวลาประมาณ 2 ปี ดังนั้น
ถ้าพบโดยบังเอิญควรจะต้องตรวจติดตาม 2 ปี จนแน่ใจว่าหายไปไม่มีโรค
จะเห็นว่าภัยของมนุษยชาตินั้นไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตใหญ่โต
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น ทั้งเอดส์ ทั้งหูด ดังสำนวนกำลังภายในจีนที่ว่า
" ดาบเปิดเผยหลบง่าย เกาทัณฑ์ลับหลบยาก "
น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|