มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



โลกลึกลับของทารกในครรภ์


เดี๋ยวนี้วงการวิทยาศาสตร์ได้ยอมรับ เด็กทุกคนเมื่อเกิดมา มักรู้อะไรบางเรื่องกันบ้างแล้ว เช่น นับเลขง่ายๆ ดังนั้นการสอนในโรงเรียน จึงไม่ควรสอนแบบเด็กไม่รู้ แต่ควรสอนแบบแนะให้เด็กมีการคิด และการเรียนรู้ที่เป็นระบบ

วิธีหลังเป็นธรรมชาติซึ่งจะทำให้เด็กกระตือรือร้นกว่าและมีทัศนะที่ดีต่อการเรียนมากกว่า

แต่มีอะไรบ้างที่เด็กรู้ตั้งแต่เกิด คำถามนี้เคยเป็นที่สงสัยของบรรดานักค้นคว้าวิจัยมาเป็นเวลานาน คือก่อนหน้านี้พวกนี้พอรู้กันบ้างแล้วว่า เด็กเมื่อเกิดมา รู้อะไรบ้างแต่เป็นการรู้แบบใช้วิธีสังเกต ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน

จวบจนกระทั่งโลกเราเจริญขึ้น จนมีการพัฒนาเครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์ชนิดใหม่ๆ ที่สามารถสอดเข้าไป ในร่างกายเพื่อบันทึกเสียง บันทึกความเคลื่อนไหว รวมทั้งบันทึกภาพ วงการถึงมีหลักฐาน

  • โลกลับเฉพาะ

และหลักฐานก็คือ ภาวะความเป็นไปของเด็ก ที่มีลักษณะเหมือนโลกๆ หนึ่งทีเดียว และมีความแปลกพิศดาร ไม่แพ้โลกที่เราอยู่กัน กล่าวอย่างง่ายๆ เป็นโลกที่สร้างขึ้นสำหรับเด็กในครรภ์โดยเฉพาะ และในระหว่างที่อยู่ในนั้น นอกจากเด็กจะได้รับการพัฒนาทางร่างกายแล้ว ยังได้รับการพัฒนาทางจิตใจและสมองด้วย

ก่อนอื่นขอตอบแทนเด็กในท้องก่อนว่า โลกใบนี้ของเขา ไม่ใช่โลกว่างเปล่า และโลกที่เงียบสงบอย่างที่เข้าใจกัน ตรงกันข้าม ผลของการบันทึกเสียง ด้วยกรรมวิธีอุลตราซาวด์ ได้พบว่า ระหว่างที่นอนอยู่ในนั้น และแช่อยู่ในน้ำคร่ำ รอบๆ ตัวเด็กจะถูกแวดล้อมด้วยเสียงที่กระเพื่อมไปตามน้ำ เป็นเสียงที่มีทั้งสูงต่ำ ทุ้มและแหลม ดังก้องอยู่ตลอดเวลา

เสียงเหล่านี้ได้แก่ เสียงการไหลเวียนของโลหิตจากแม่ไปยังลูกที่ผ่านสายสะดือ เสียงเต้นของหัวใจแม่ เสียงการหายใจของปอดแม่ และเสียงการย่อยอาหารของกระเพาะแม่ นี่คือเสียงที่เด็กตัวน้อยๆ ในท้องจะได้ยินตลอดเวลา

แต่ถ้าคุณผู้เป็นแม่เกิดไอหรือจาม ลูกของคุณก็จะได้ยินเสียงไอและจามของคุณแม่ และถ้าคุณพูด ก็จะได้ยินเสียงพูด และเสียงที่คุณพูดนี่เอง ที่จะเป็นเสียงที่ดึงดูดลูกของคุณที่สุดขณะอยู่ในครรภ์ เพราะเป็นเสียงเกิดขึ้นบ่อยและได้ยินชัดเจนที่สุด บ่อยและชัดเจนจนลูกคุณจะเริ่มสังเกต และหัดจำลักษณะจำเพาะของเสียง ซึ่งก็คือ การเรียนรู้นั่นเอง

ซึ่งถ้ารู้เช่นนี้ คงไม่แปลกใจใช่หรือไม่ ว่าทำไมเด็กถึงรู้ใครเป็นแม่ หลังเกิดไม่นาน และทำไมการใกล้ชิดระหว่างพ่อและแม่ตอนเด็กอยู่ในครรภ์ จึงมีความสำคัญ

และเสียงนี่เองที่เป็นการเรียนรู้ลำดับแรกของเขา การค้นคว้าด้วยวิธีอุลตราซาวด์พบว่า ทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียง ตั้งแต่อายุ 15 สัปดาห์ และพอถึง 25 สัปดาห์ จะเริ่มรับรู้การได้ยิน จนถ้าได้ยินเสียงที่ดังกว่าปกติ จะตกใจ และพออายุระหว่าง 32-35 สัปดาห์ จะเริ่มรู้แยกแยะเสียง เมื่อถึงตอนนี้ ถ้าได้ยินเสียง ศีรษะของเขาจะหันไปยังทิศทางของเสียง

บอกแล้วว่า เสียงของแม่เป็นเสียงที่ดึงดูดเด็กในท้องที่สุด การแยกแยะเสียงจะทำโดยการเอาเสียงนี้ ไปเปรียบเทียบกับเสียงพูดคุยของคนรอบข้าง จริงอยู่แม้เขาจะไม่รู้กำลังพูดอะไรกัน แต่จากการได้ยิน เขาสามารถสังเกตแบบแผนของประโยค ลักษณะของน้ำเสียง ตลอดจนจังหวะการพูด จนกลายเป็นความรู้ สำหรับนำไปใช้ในการฝึกพูด หลังคลอดออกมาแล้ว

  • อิทธิพลของดนตรี

นอกจากเสียงของแม่แล้ว เสียงอีกเสียงที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเด็กขณะอยู่ในครรภ์คือ เสียงดนตรี สังคมเวลานี้กำลังถูกครอบงำด้วยเสียงดนตรีไม่ว่าจะอยู่ หรือจะไปที่ไหนเราจะได้ยินเสียงดนตรี แต่เพราะเป็นเรื่องธรรมดา เราจึงไม่ค่อยสังเกต

แต่คุณหนูตัวน้อยๆ ในท้อง จะไม่คิดเช่นนั้น เสียงดนตรีเป็นเสียงที่แตกต่างจากเสียงอื่นๆ ที่เขาเคยได้ยิน และอย่างที่รู้กัน เป็นเสียงที่ให้ความรู้สึก เมื่อได้ยินหูของเขาจะผึ่ง และประสาทรับฟังจะทำงาน ค่อยๆ จดจำท่วงทำนองของเพลงทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งพอถึงระยะก่อนคลอด จะสามารถแยกแยะ ความแตกต่างของท่วงทำนองได้

มีการนำความรู้นี้ไปขยายผลกันแล้ว นั่นคือ ได้มีการวิจัยผลดีของการฟังดนตรี ตอนที่แม่ตั้งครรภ์ และพบว่า ส่งผลดีทั้งแม่และลูก คือทำให้ทั้งสองได้ผ่อนคลาย

เพราะให้ผลดี จึงขออนุญาติแนะนำเสียหน่อย วิธีฟังคือ จัดเวลาให้แน่นอนทุกวัน โดยเป็นเวลาที่คุณต้องการพักผ่อนที่สุด แล้วหามุมหรือสถานที่ๆ คุณอยากจะอยู่ตรงนั้นที่สุด วางเก้าอี้ให้ดี ควรเป็นเก้าอี้ที่คุณเหยียดขาได้และเปิดเพลงที่ทำให้คุณได้ผ่อนคลายที่สุด พร้อมทั้งอยากฟังที่สุด โดยเปิดหลายๆ เพลง และตามลำดับตรงกันทุกครั้ง

ถ้าทำเช่นนี้ รับรองพอลูกคุณอายุ 32 สัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนก่อนคลอด เขาจะสามารถจดจำเพลงเหล่านั้นได้ และอาจโยกตัวเมื่อได้ยิน แต่ที่คุณคงตื่นเต้นกว่านั้นคือ เมื่อคลอดแล้ว และเปิดเพลงชุดนั้นให้ฟังอีก ในเวลาที่เคยเปิด บางทีเขาอาจจะแสดงอาการจำเพลงเหล่านั้นได้

  • สัมผัสแสงสว่าง

ต่อจากเสียง การเรียนรู้ของทารกในท้องแม่ก็คือ แสงสว่างซึ่งจะเริ่มเมื่ออายุ 25 สัปดาห์ หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย คือเมื่อถึงตอนนั้น เปลือกตาของทารกในท้อง จะเริ่มคลายออกจากกัน เปิดให้ทารกได้ลืมและหลับตา ซึ่งจะฝึกให้ทารกได้รู้จักเปิดและปิดตา เวลาหลังคลอด

ในระยะแรก การลืมและหลับตา จะทำเพื่อเช่นนั้นจริงๆ แต่ต่อๆ มาทารกจะเริ่มรู้จักแสงสว่าง ที่ผ่านท้องแม่เข้าไป และทำปฏิกิริยาและยิ่งใกล้คลอดเท่าไร ปฏิกิริยาของเขาจะมากขึ้นเท่านั้น จนบางทีถึงกับเคลื่อนไหว อย่างไรก็ดี คงจะต้องบอกเสียหน่อยว่า การเรียนรู้เช่นนี้ไม่ใช่สายตาของเขา มองเห็นโลกในครรภ์ของเขา ยังเป็นโลกมืด เพียงแต่บางครั้งจะสว่างซึ่งจะทำให้เขารู้สึกถ้าอยากรู้ว่า เขารู้สึกอย่างไร ขอให้ลองหลับตา และนึกถึงแสงสว่างที่ล้อมรอบตัวคุณในขณะนั้น

หลังได้ยินและได้สัมผัสแสงสว่าง ต่อไปคือ การลิ้มรส ปกติทารกในครรภ์ จะได้สัมผัสรสชาติของน้ำคร่ำอยู่แล้ว เพราะจะต้องนอนแช่อยู่ในนั้นตลอดเวลาแต่จากการค้นคว้า ของนักวิทยาศาสตร์โดยการใช้เครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ พบว่า การสัมผัสในระยะแรก ทารกจะยังไม่รู้จักรสชาติของน้ำคร่ำ แบบไหนเป็นรสเปรี้ยว แบบไหนเป็นรสหวาน เค็ม หรือเผ็ด จนกระทั่งอยู่ในท้องเข้าเดือนที่ 6

  • ชอบรสหวานที่สุด

คงต้องอธิบายเล็กน้อย ทำไมน้ำคร่ำถึงมีรสเหล่านั้น ก็ได้จากอาหารที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์กินเข้าไปนั่นแหละ ซึ่งหลังจากย่อยแล้วจะกลายเป็นสารอาหารที่ไหลผ่านสายรกเข้าไปเพราะประสาทการลิ้มรสเริ่มทำงานแล้ว ดังนั้นคุณหนูตัวน้อยๆ จึงมีปฏิกิริยาต่อรสชาติต่างๆ ที่ได้รับ

ได้มีการวิจัยกันแล้วหลายหนเกี่ยวกับปฏิกิริยาเหล่านี้ และพบว่า สารอาหารที่เด็กในท้องชอบลิ้มที่สุด คือ รสหวาน ส่วนรสที่จะทำให้นักชิมตัวน้อยๆ หน้าเบ้ทุกครั้ง คือ รสเผ็ด โดยเฉพาะคุณแม่ที่ปกติไม่กินเผ็ด แต่เผอิญวันดีคืนดีเกิดไปกินอาหารเผ็ด ซึ่งเผ็ดในที่นี้รวมทั้งอาหารที่ปรุงด้วยกระเทียม หรือเครื่องปรุงทำนองเดียวกัน

ความรู้ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อคุณแม่อย่างไร ประโยชน์คือเวลาตั้งครรภ์คุณแม่ควรกินอาหาร ที่ปกติกินเป็นประจำไม่ควรเปลี่ยนไปกินอาหารแปลกใหม่ เพราะรสของอาหาร มีความสัมพันธ์กับรสของนมมารดา ถ้ามีการเปลี่ยน และพอคลอดแล้ว กลับไปกินอาหารแบบเก่า ทารกที่เพิ่งคลอดจะไม่คุ้นกับรสนม จนบางทีอาจไม่ชอบกินนมแม่ หรือแสดงอาการเป็นปฏิปักษ์กับนมแม่

ทั้งนี้เพราะการรู้จักรสชาติอาหารตอนอยู่ในครรภ์แม่ ที่จริงแล้วก็คือ การเตรียมเด็กให้รู้จักกินมแม่นั่นเอง

และเด็กในท้องนั้นมีอาการทางร่างกายเป็นไปตามสารอาหารที่ได้รับ เช่นเดียวกับที่คุณแม่ได้รับ เช่น ถ้าดื่มกาแฟมากเกินไป จนหัวใจเต้นแรง หัวใจของทารกก็จะเต้นแรงด้วย หรือจนนอนไม่หลับ ทารกก็จะนอนไม่หลับเหมือนกัน แปลกก็คือ หลังจากนั้น ถึงคุณจะเปลี่ยนไปดื่มกาแฟแบบปลอดคาเฟอีน แต่ทารกก็ยังจะมีอาการทางร่างกายแบบที่เคยเป็น เพราะเขาคุ้นกับการมีอาการแบบนี้ เมื่อได้ลิ้มรสกาแฟ

และที่แปลกอีกเรื่องคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ใด ลูกของคุณจะพลอยมีอารมณ์แบบนั้นด้วย เพราะสารฮอร์โมนที่หลั่งตามอาการของอารมณ์คุณ จะพลอยไหลไปยังครรภ์ของคุณเหมือนกัน เช่น สารเอ็นดอร์ฟิน เวลาคุณดีใจ หรืออีพิเนฟรีน เวลาเศร้าใจ

นอกจากจะรู้จักลิ้มรส การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า การที่เด็กในท้องชอบดูดนิ้วหัวแม่มือนั้น นอกจากจะเป็นการฝึกให้รู้จักดูดหัวนมแล้ว ยังเป็นการฝึกให้รู้จักจับสิ่งของ คือคงมีบางคนที่เคยแปลกใจ ทำไมเด็กเกิดใหม่ถึงรู้ว่าหัวนมแม่ คือที่ให้อาหารของเขา และทำไมเขาถึงมีอาการลิงโลด เวลาโผเข้าดูดหัวนมแม่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เขารู้จักดูดหัวแม่มือ ตอนอยู่ในท้องนั่นเอง

โดยปลายของนิ้วหัวแม่มือของเด็กในท้องนั้น มีความแตกต่างจากของนิ้วอื่นๆ กล่าวคือ ตรงนั้นมีปลายของเส้นประสาท ที่ได้รับการพัฒนาก่อนจึงทำให้มีประสิทธิภาพในการรับรู้การสัมผัส ดีกว่าเวลาเขาดูดนิ้วหัวแม่มือ เขาจะถูไปด้วยให้รู้จักสัมผัสและสังเกตสิ่งต่างๆ เริ่มจากนิ้วหัวแม่มือของเขาเอง ซึ่งต่อไปหลังคลอดนาน 6 เดือน จะกลายเป็นการชอบหยิบสิ่งของเข้าปาก ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กหยิบของเข้าปาก ถ้าไม่ใช่ของที่เป็นอันตราย จึงไม่ควรหยิบออกจากปากเขาทันที ควรปล่อยให้เขาได้ลิ้มรสชาติเสียก่อน การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กมีการพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี

อ้อ เกือบลืมไป ลูกน้อยของคุณเวลาอยู่ในโลกเร้นลับของเขาไม่ใช่เขาหงอยเหงาไม่มีของเล่นของๆ ของเขาคือ สายสะดือ ภาพอุลตราซาวด์ที่ถ่ายออกมาแสดงให้เห็น นอกจากจะชอบดูดนิ้วหัวแม่มือ เขายังชอบขย้ำและกระตุกสายสะดือเล่น ซึ่งก็เป็นการฝึกการใช้มืออย่างหนึ่ง ทำให้เขาพร้อมใช้มือหลังคลอด ดูเหมือนการได้สัมผัสเมือกของสายสะดือ และกับการหดยืด ช่วยให้เขาเพลิดเพลินไม่น้อย

  • มาทำบอนดิ้งกันเถอะ

พ่อแม่ฝรั่งสมัยนี้นิยมการทำบอนดิ้งหรือการผูกสัมพันธ์เวลาลูกเกิด คือทันทีที่ลูกเกิด พ่อของทารกจะขออนุญาตหมอ เข้าไปอยู่กับภรรยา และลูกที่เพิ่งเกิด ซึ่งถ้ามีลูกที่เกิดก่อนหน้า ก็จะพาเข้าไปด้วย

เมื่อเข้าไปแล้ว ทุกคนจะจับมือประสานกัน และยืนล้อมทารกที่กำลังอยู่ในอ้อมอกแม่ เพื่อร่วมส่งใจไปยังทารกที่เกิดใหม่ ทำเช่นนั้นเป็นเวลานาน อาจเป็นชั่วโมงก็ได้ จนทุกคนรู้สึกว่า ได้ประสานใจกันครบแล้ว และส่งใจไปยังสมาชิกครอบครัวคนใหม่ในเวลาพร้อมกันได้แล้ว จึงยุติ

พิธีกรรมดังกล่าว เป็นพิธีกรรมที่ดี น่าที่พ่อแม่ไทยจะเอาอย่างและถ้าจะให้ดีมากขึ้น ควรรู้จักทำบอนดิ้ง ก่อนลูกเกิดด้วย กล่าวคือจากความรู้ใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ เกี่ยวกับโลกเร้นลับของคุณตัวน้อยๆ ตอนอยู่ในท้อง พ่อและแม่รวมทั้งลูกๆ ในช่วงก่อนการคลอด 2-3 เดือน อาจเจียดเวลาอยู่ร่วมกัน เพื่อผูกสัมพันธ์กับผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกครอบครัวคนใหม่

โดยคุณอาจเริ่มด้วยการฉายไฟ คือจับมือกัน และยืนล้อมคุณแม่ แล้วเอาไฟฉายส่องไปที่ท้อง อย่าตกใจ ถ้าเขาไม่เคลื่อนไหวเขาอาจจะหลับอยู่ก็ได้ แต่ให้ทำเรื่อยๆ แล้วเขาจะเคลื่อนไหว เมื่อมีแสงของไฟฉายส่องเข้าไป

หรือคุณอาจเปิดเพลง หรือร้องเพลง หรือเล่นดนตรี ให้เขาฟัง โดยทำอย่างที่บอก คือเลือกเพลงที่ชอบที่สุด และเปิด หรือร้อง หรือเล่น ตามลำดับ ถ้าทำบอนดิ้งด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะเกิดมาพร้อมด้วยพรสวรรค์ทางดนตรีก็เป็นได้

และสุดท้าย ทุกคนอาจเอามือไปวางบนท้อง แล้วค่อยๆ กดเพื่อรอการสัมผัสตัวทารก ระวังอย่ากดแรงเกินไป หรือถ้าไม่อยากใช้มือจะใช้หนังสือแทนก็ได้ ทั้งสามวิธี ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันทุกครั้ง ประเด็นสำคัญอยู่ที่การได้อยู่ร่วมกัน และการได้แสดงออกถึงความรักต่อกัน

นี่เป็นวิธีสร้างความรักในครอบครัวที่แสนวิเศษจริงๆ

ออน

(update 20 พฤศจิกายน 2000)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 340 มิถุนายน 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600