  | 
  
คนสมัยนี้ พึ่งพาและเชื่อถือเทคโนโลยีอย่าง
มาก โดยเฉพาะด้านการสื่อสารเทคโนโลยี
เหล่านี้จริงๆ 
ก็มีคุณค่าอย่างมหาศาล แต่อีกแง่มุมหนึ่งมันได้ลุกล้ำ
เข้ามาในชีวิตส่วนตัวของ
มนุษย์เรามากเกินไปแล้ว  
 วันนี้ตอนเช้า วิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้า
หยุดทำงานโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เป็นวันหยุดและไม่มีงาน
ต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไข้บางคนที่ต้อง
การกลับบ้านและรอคำสั่งอนุญาตอยู่ พยาบาลที่หอ
ผู้ป่วยพยายามเรียกผ่านวิทยุ 
 | 
  
ติดตามตัวของข้าพเจ้าหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าหารู้ตัวไม่  ตอนเที่ยงวันข้าพเจ้าได้แวะเข้าไปดูคนไข้
จึงรู้ว่าวิทยุติดตามตัวมีปัญหา นอกจากนั้นโทรศัพท์มือถือในวันนี้ก็มีปัญหาใช้การไม่ได้ ด้วยเช่นกัน 
สรุปว่าข้าพเจ้าขาดการติดต่อกับสังคมโดยสิ้นเชิง 
 นั่นยังถือว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ร้ายแรง แต่วันอังคารที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว 
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อันตรายอย่างมากต่อทารกในครรภ์ของคนไข้สตรีรายหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า 
 ประมาณ 17 นาฬิกาของเย็นวันอังคาร ข้าพเจ้าซึ่งอยู่เวรประจำการกำลังนั่งเขียนหนังสือ
อยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาล สตรีใกล้คลอดรายหนึ่งตั้งครรภ์ที่ 2 มายังห้องคลอด ด้วยเรื่องเจ็บครรภ์คลอด 
พยาบาลได้ตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตร ถุงน้ำยังแตกไม่สมบูรณ์ 
แต่มีสารสะดือย้อยลงมาระหว่างหัวเด็กกับมือของพยาบาลคนตรวจ พยาบาลคนนั้นพูดตะโกนด้วยความตกใจว่า 
"คนไข้มีสายสะดือย้อย" ทุกคนที่นั่นรู้ดีว่า ภาวะสายสะดือย้อยนั้นอันตรายและฉุกเฉินเพียงไร 
ต่างคนต่างส่งเสียงร้องบอกต่อให้รีบตามหมอ พยาบาลคนที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุด
ได้โทรเรียกวิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้าหลายครั้ง และยังแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทางโรงพยาบาล
พูดกระจายเสียงออกอากาศเรียกด้วย 
 เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ไม่มีการติดต่อกลับจากข้าพเจ้า พยาบาลผู้มากด้วย
ประสบการณ์คนนั้นยังคงใช้ปลายนิ้วดันศีรษะเด็กเพื่อไม่ให้มากดทับสายสะดือ พลางบอกให้พยาบาลผู้ช่วย
เอาหมอนหนุนก้นคนไข้ไว้ ส่วนนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดที่อยู่เวรได้พยายามโทรศัพท์ไปตามสถานที่ต่างๆ
 ภายในโรงพยาบาลที่คาดว่า จะพบตัวข้าพเจ้า แต่
ก็ต้องผิดหวัง 
 จริงๆ แล้ว ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังนั่งเขียนหนังสือยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาลฯ 
แต่อุปกรณ์สื่อสารของข้าพเจ้า "วิทยุติดตามตัว" ขณะนั้นเกิดขัดข้อง รับสัญญาณเรียกไม่ได้ 
ส่วนเสียงพูดกระจายเสียงตามสายของโรงพยาบาลภายในห้องสมุดก็เบามาก จนแทบไม่ได้ยิน 
ตอนนั้นมือถือของข้าพเจ้าได้รับการซ่อมแซมใช้การได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครโทรศัพท์ติดต่อ 
ทุกคนพากันหวังพึ่งวิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้าเพียงอย่างเดียวจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น 
 อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ข้าพเจ้าเดินลงมาแผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอกช่วงเย็น 
ซึ่งเปิดเป็น "คลินิกนอกเวลา" พอมาถึงเจ้าหน้าที่ห้องตรวจรีบตะโกนบอกทันทีว่า 
"ห้องคลอดมีคนไข้สายสะดือย้อย หมอรีบไปดูก่อนเถอะ" 
 ข้าพเจ้าผละออกจากที่นั่นทันที รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องคลอดที่ชั้น 2 ของตึกสูติ 
พอไปถึงก็พบกับสภาพความวุ่นวายของคนไข้และกลุ่มพยาบาล ดังกล่าว นักศึกษาแพทย์ที่อยู่เวร
ได้รายงานเหตุการณ์ตามลำดับอย่างคร่าวๆ 
 ข้าพเจ้ารีบสั่งการกับพยาบาลที่กำลังช่วยเหลือคนไข้ว่า "คุณเอามือดันหัวเด็กไว้ก่อนนะ 
จนกว่าผมจะลงมีดและล้วงเอาหัวเด็กออก ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยแจ้งห้องผ่าตัดให้มารับคนไข้เดี๋ยวนี้เลย 
บอกหมอเด็กด้วยว่า มีคนไข้สายสะดือย้อยกำลังไปห้องผ่าตัด เด็กยังดีอยู่ให้รีบมารับเด็กด่วน 
ส่วนอีกคนช่วยใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วฉีดน้ำบรรจุเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ประมาณ 1 ลิตร"  
 ข้าพเจ้าหันมาบอกนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดว่า "ปกติกระเพาะปัสสาวะสตรีจะวางอยู่หน้ามดลูก 
การที่เราใส่น้ำเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ก็เพื่อทำให้กระเพาะปัสสาวะโป่งตัวขึ้นดันมดลูก
และหัวเด็กเป็นการช่วยเหลือเราอีกแรงหนึ่ง" 
 เตียงเข็นคนไข้จากห้องผ่าตัดถูกลากมาเทียบข้างเตียงนอนรอคลอดของคนไข้รายนี้ 
ข้าพเจ้าสั่งการต่อว่า 
"ทุกคนจะต้องเคลื่อนย้ายพร้อมๆ กัน ขอให้คนไข้ค่อยๆ ขยับตัวย้ายข้ามไปนอนบนเตียงเข็น 
มือของคุณพยาบาลที่ดันหัวเด็กอยู่ จะต้องเลื่อนตามไปด้วย ห้ามเอามือออกจากหัวเด็กเด็ดขาด 
ไม่เช่นนั้นหัวเด็กจะลงไปกดทับสายสะดือ เด็กจะตายภายในเวลาเพียง 3 นาทีหลังจากสายสะดือ
ถูกกดทับเท่านั้น หากคุณพยาบาลลองสังเกตให้ดีจะรู้สึกว่ามีการเต้นของเส้นเลือดในสายสะดือ
ระหว่างนิ้วมือคุณด้วย เส้นเลือดนี้หยุดเต้นเมื่อไหร่เด็กตายเมื่อนั้น"
 พอคนไข้เคลื่อนตัวข้ามไปนอนบนเตียงเข็นได้ ก็ให้พยาบาลคนที่เอามือดันหัวเด็ก
เดินตามเตียงเข็นคนไข้ไปตลอดทางจนถึงห้องผ่าตัดโดยมือยังคงค้างอยู่ในช่องคลอด เมื่อถึงเตียงผ่าตัด 
คนไข้ต้องเคลื่อนย้ายตัวอีกครั้ง คราวนี้คนไข้และพยาบาบที่สอดมือดันหัวเด็กสามารถทำได้
สอดคล้องอย่างคล่องแคล่ว 
 พยาบาลห้องผ่าตัดฟอกทำความสะอาดหน้าท้องคนไข้ขณะที่ข้าพเจ้าฟอกทำความสะอาดมือ
สำหรับการปูผ้าคลุมคนไข้ เพื่อผ่าตัดเราจำเป็นต้องปูคลุมพยาบาลที่ดันหัวเด็กด้วย โดยให้เธอนั่งยองๆ 
มุดตัวซ่อนใต้ผ้าคลุมคนไข้ พวกเราใช้เวลาในการเตรียมผ่าตัดไม่นานนัก เพราะเวลาทุกนาทีมีค่า
ผิดพลาดเพียงนิดเดียวเด็กตายทันที 
 เมื่อผ่าตัดเปิดเข้าไปในมดลูกส่วนล่างของคนไข้ข้าพเจ้าค่อยๆ ใช้มือขวาล้วงช้อนส่วนหัวเด็ก 
มือข้าพเจ้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนชนกับสายสะดือที่ย้อยและมือของพยาบาลที่ดันหัวเด็ก 
ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงการเต้นของเส้นเลือดภายในสายสะดือเด็กด้วย 
จึงรู้ว่าเด็กคนนี้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชแล้ว 
 เด็กรายนี้คลอดเมื่อเวลา 18 นาฬิกา 15 นาที กุมารแพทย์รับเด็กไปจากมือข้าพเจ้า 
และทำการช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการให้ออกซิเจน ดูดเสมหะและของเหลวออกจากปาก 
เด็กเริ่มร้อง ขยับตัวและแขนขา ดิ้นไปมา โดยไม่มีภาวะขาดออกซิเจนแต่อย่างใด 
เด็กรายนี้เป็นเพศหญิง น่ารักมาก 
 เมื่อหนูน้อยรอดชีวิตอย่างปลอดภัย ทุกคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ต่างก็ดีใจ ข้าพเจ้าดีใจเป็นที่สุด
เพราะคาดการณ์ไว้ก่อนว่า เด็กน่าจะแย่ หรืออยู่ในสภาพขาดออกซิเจนบ้างไม่มากก็น้อย 
เนื่องจากพวกเราสูญเสียเวลาไปมากพอสมควรก่อนที่จะลงมือผ่าตัด แต่ในที่สุดพวกเราก็สมหวัง 
ได้เด็กที่ดีคลอดออกมา 
 ภาวะสายสะดือย้อย เป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายอย่างมากต่อทารกในครรภ์ซึ่งไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า 
การวินิจฉัยคือการตรวจภายใน ตอนที่คนไข้มาห้องคลอดแล้วพบสายสะดืออยู่ในช่องคลอดหน้าต่อหัวเด็ก 
การรักษา คือการผ่าตัดเอาเด็กออกให้เร็วที่สุดเท่านั้น ส่วนกรรมวิธีช่วยเหลือเพื่อไม่ให้สายสะดือถูกกดทับ
ก็เป็นดั่งที่ข้าพเจ้าและกลุ่มพยาบาลได้ดำเนินการมาข้างต้น 
 ถ้าวันนั้นข้าพเจ้าไม่เดินลงมาออกตรวจที่คลินิกนอกเวลา ชีวิตของเด็กน้อยคงยื้อยุดฉุด
จากมือมัจจุราชไว้ไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวครั้งหนึ่งในชีวิต 
ซึ่งยังคงติดตรึงอยู่ในใจข้าพเจ้าไปอีกนานแสนนาน 
 การติดต่อสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญ และนับวันจะสำคัญยิ่งขึ้นในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก 
ตราบเท่าที่เรายังมีสังคมและต้องพึ่งพากัน ในอดีตข้าพเจ้าเคยติดตามประสาเด็กๆ ว่า 
เมื่อโตขึ้นจะบวชเป็นพระ 
หลีกลี้หนีหน้าจากผู้คนและออกท่องเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว
คงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสาร แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ คงยังต้องติดต่อสื่อสารอยู่ตลอดเวลา 
จนบางทีรู้สึกเหมือนว่าเครื่องมือสื่อสาร
มันเป็นมากกว่าชื่อของมันที่หมายถึง "การใช้เพื่อติดต่อกันตามปกติ" 
 เวลาทุกนาทีของมนุษย์เราเหลือน้อยลงทุกที แต่เรายังถูกอุปกรณ์สื่อสารปลุกเรียกให้เรา
ตื่นขึ้นมาอีกตลอดเวลา น่าเสียดายที่เราใช้เวลาในชีวิตไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร 
เราถูกสังคมและวิทยาการสมัยใหม่ใช้เวลาของเราไปมากเหลือเกิน 
 จะมีใครบ้างไหม? ที่เลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ให้กับครอบครัว โดยไม่สนใจสังคม
 
หรือ
ใครคิดว่า จะสามารถอยู่ใกล้ชิดครอบครัวของเราได้ด้วยเครื่องมือสื่อสาร 
โดยที่กายอยู่ห่างไกลกันเกือบตลอดเวลาของชีวิต 
พ.ต.ท. นพ.เสรี ธีรพงษ์ 
  |