มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



สายสะดือ…ย้อย


คนสมัยนี้ พึ่งพาและเชื่อถือเทคโนโลยีอย่าง มาก โดยเฉพาะด้านการสื่อสารเทคโนโลยี เหล่านี้จริงๆ ก็มีคุณค่าอย่างมหาศาล แต่อีกแง่มุมหนึ่งมันได้ลุกล้ำ เข้ามาในชีวิตส่วนตัวของ มนุษย์เรามากเกินไปแล้ว

วันนี้ตอนเช้า วิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้า หยุดทำงานโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เป็นวันหยุดและไม่มีงาน ต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไข้บางคนที่ต้อง การกลับบ้านและรอคำสั่งอนุญาตอยู่ พยาบาลที่หอ ผู้ป่วยพยายามเรียกผ่านวิทยุ
ติดตามตัวของข้าพเจ้าหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าหารู้ตัวไม่ ตอนเที่ยงวันข้าพเจ้าได้แวะเข้าไปดูคนไข้ จึงรู้ว่าวิทยุติดตามตัวมีปัญหา นอกจากนั้นโทรศัพท์มือถือในวันนี้ก็มีปัญหาใช้การไม่ได้ ด้วยเช่นกัน สรุปว่าข้าพเจ้าขาดการติดต่อกับสังคมโดยสิ้นเชิง

นั่นยังถือว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ร้ายแรง แต่วันอังคารที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อันตรายอย่างมากต่อทารกในครรภ์ของคนไข้สตรีรายหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า

ประมาณ 17 นาฬิกาของเย็นวันอังคาร ข้าพเจ้าซึ่งอยู่เวรประจำการกำลังนั่งเขียนหนังสือ อยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาล สตรีใกล้คลอดรายหนึ่งตั้งครรภ์ที่ 2 มายังห้องคลอด ด้วยเรื่องเจ็บครรภ์คลอด พยาบาลได้ตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตร ถุงน้ำยังแตกไม่สมบูรณ์ แต่มีสารสะดือย้อยลงมาระหว่างหัวเด็กกับมือของพยาบาลคนตรวจ พยาบาลคนนั้นพูดตะโกนด้วยความตกใจว่า "คนไข้มีสายสะดือย้อย" ทุกคนที่นั่นรู้ดีว่า ภาวะสายสะดือย้อยนั้นอันตรายและฉุกเฉินเพียงไร ต่างคนต่างส่งเสียงร้องบอกต่อให้รีบตามหมอ พยาบาลคนที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุด ได้โทรเรียกวิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้าหลายครั้ง และยังแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทางโรงพยาบาล พูดกระจายเสียงออกอากาศเรียกด้วย

เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ไม่มีการติดต่อกลับจากข้าพเจ้า พยาบาลผู้มากด้วย ประสบการณ์คนนั้นยังคงใช้ปลายนิ้วดันศีรษะเด็กเพื่อไม่ให้มากดทับสายสะดือ พลางบอกให้พยาบาลผู้ช่วย เอาหมอนหนุนก้นคนไข้ไว้ ส่วนนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดที่อยู่เวรได้พยายามโทรศัพท์ไปตามสถานที่ต่างๆ ภายในโรงพยาบาลที่คาดว่า จะพบตัวข้าพเจ้า แต่…ก็ต้องผิดหวัง

จริงๆ แล้ว ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังนั่งเขียนหนังสือยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาลฯ แต่อุปกรณ์สื่อสารของข้าพเจ้า "วิทยุติดตามตัว" ขณะนั้นเกิดขัดข้อง รับสัญญาณเรียกไม่ได้ ส่วนเสียงพูดกระจายเสียงตามสายของโรงพยาบาลภายในห้องสมุดก็เบามาก จนแทบไม่ได้ยิน ตอนนั้นมือถือของข้าพเจ้าได้รับการซ่อมแซมใช้การได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครโทรศัพท์ติดต่อ ทุกคนพากันหวังพึ่งวิทยุติดตามตัวของข้าพเจ้าเพียงอย่างเดียวจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น

อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ข้าพเจ้าเดินลงมาแผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอกช่วงเย็น ซึ่งเปิดเป็น "คลินิกนอกเวลา" พอมาถึงเจ้าหน้าที่ห้องตรวจรีบตะโกนบอกทันทีว่า
"ห้องคลอดมีคนไข้สายสะดือย้อย หมอรีบไปดูก่อนเถอะ"

ข้าพเจ้าผละออกจากที่นั่นทันที รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องคลอดที่ชั้น 2 ของตึกสูติ พอไปถึงก็พบกับสภาพความวุ่นวายของคนไข้และกลุ่มพยาบาล ดังกล่าว นักศึกษาแพทย์ที่อยู่เวร ได้รายงานเหตุการณ์ตามลำดับอย่างคร่าวๆ

ข้าพเจ้ารีบสั่งการกับพยาบาลที่กำลังช่วยเหลือคนไข้ว่า "คุณเอามือดันหัวเด็กไว้ก่อนนะ จนกว่าผมจะลงมีดและล้วงเอาหัวเด็กออก ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยแจ้งห้องผ่าตัดให้มารับคนไข้เดี๋ยวนี้เลย บอกหมอเด็กด้วยว่า มีคนไข้สายสะดือย้อยกำลังไปห้องผ่าตัด เด็กยังดีอยู่ให้รีบมารับเด็กด่วน ส่วนอีกคนช่วยใส่สายสวนปัสสาวะ แล้วฉีดน้ำบรรจุเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ประมาณ 1 ลิตร"

ข้าพเจ้าหันมาบอกนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดว่า "ปกติกระเพาะปัสสาวะสตรีจะวางอยู่หน้ามดลูก การที่เราใส่น้ำเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ก็เพื่อทำให้กระเพาะปัสสาวะโป่งตัวขึ้นดันมดลูก และหัวเด็กเป็นการช่วยเหลือเราอีกแรงหนึ่ง"

เตียงเข็นคนไข้จากห้องผ่าตัดถูกลากมาเทียบข้างเตียงนอนรอคลอดของคนไข้รายนี้ ข้าพเจ้าสั่งการต่อว่า
"ทุกคนจะต้องเคลื่อนย้ายพร้อมๆ กัน ขอให้คนไข้ค่อยๆ ขยับตัวย้ายข้ามไปนอนบนเตียงเข็น มือของคุณพยาบาลที่ดันหัวเด็กอยู่ จะต้องเลื่อนตามไปด้วย ห้ามเอามือออกจากหัวเด็กเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหัวเด็กจะลงไปกดทับสายสะดือ เด็กจะตายภายในเวลาเพียง 3 นาทีหลังจากสายสะดือ ถูกกดทับเท่านั้น หากคุณพยาบาลลองสังเกตให้ดีจะรู้สึกว่ามีการเต้นของเส้นเลือดในสายสะดือ ระหว่างนิ้วมือคุณด้วย เส้นเลือดนี้หยุดเต้นเมื่อไหร่เด็กตายเมื่อนั้น"

พอคนไข้เคลื่อนตัวข้ามไปนอนบนเตียงเข็นได้ ก็ให้พยาบาลคนที่เอามือดันหัวเด็ก เดินตามเตียงเข็นคนไข้ไปตลอดทางจนถึงห้องผ่าตัดโดยมือยังคงค้างอยู่ในช่องคลอด เมื่อถึงเตียงผ่าตัด คนไข้ต้องเคลื่อนย้ายตัวอีกครั้ง คราวนี้คนไข้และพยาบาบที่สอดมือดันหัวเด็กสามารถทำได้ สอดคล้องอย่างคล่องแคล่ว

พยาบาลห้องผ่าตัดฟอกทำความสะอาดหน้าท้องคนไข้ขณะที่ข้าพเจ้าฟอกทำความสะอาดมือ สำหรับการปูผ้าคลุมคนไข้ เพื่อผ่าตัดเราจำเป็นต้องปูคลุมพยาบาลที่ดันหัวเด็กด้วย โดยให้เธอนั่งยองๆ มุดตัวซ่อนใต้ผ้าคลุมคนไข้ พวกเราใช้เวลาในการเตรียมผ่าตัดไม่นานนัก เพราะเวลาทุกนาทีมีค่า ผิดพลาดเพียงนิดเดียวเด็กตายทันที

เมื่อผ่าตัดเปิดเข้าไปในมดลูกส่วนล่างของคนไข้ข้าพเจ้าค่อยๆ ใช้มือขวาล้วงช้อนส่วนหัวเด็ก มือข้าพเจ้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนชนกับสายสะดือที่ย้อยและมือของพยาบาลที่ดันหัวเด็ก ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงการเต้นของเส้นเลือดภายในสายสะดือเด็กด้วย จึงรู้ว่าเด็กคนนี้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชแล้ว

เด็กรายนี้คลอดเมื่อเวลา 18 นาฬิกา 15 นาที กุมารแพทย์รับเด็กไปจากมือข้าพเจ้า และทำการช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการให้ออกซิเจน ดูดเสมหะและของเหลวออกจากปาก เด็กเริ่มร้อง ขยับตัวและแขนขา ดิ้นไปมา โดยไม่มีภาวะขาดออกซิเจนแต่อย่างใด เด็กรายนี้เป็นเพศหญิง น่ารักมาก

เมื่อหนูน้อยรอดชีวิตอย่างปลอดภัย ทุกคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ต่างก็ดีใจ ข้าพเจ้าดีใจเป็นที่สุด เพราะคาดการณ์ไว้ก่อนว่า เด็กน่าจะแย่ หรืออยู่ในสภาพขาดออกซิเจนบ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจากพวกเราสูญเสียเวลาไปมากพอสมควรก่อนที่จะลงมือผ่าตัด แต่ในที่สุดพวกเราก็สมหวัง ได้เด็กที่ดีคลอดออกมา

ภาวะสายสะดือย้อย เป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายอย่างมากต่อทารกในครรภ์ซึ่งไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า การวินิจฉัยคือการตรวจภายใน ตอนที่คนไข้มาห้องคลอดแล้วพบสายสะดืออยู่ในช่องคลอดหน้าต่อหัวเด็ก การรักษา คือการผ่าตัดเอาเด็กออกให้เร็วที่สุดเท่านั้น ส่วนกรรมวิธีช่วยเหลือเพื่อไม่ให้สายสะดือถูกกดทับ ก็เป็นดั่งที่ข้าพเจ้าและกลุ่มพยาบาลได้ดำเนินการมาข้างต้น

ถ้าวันนั้นข้าพเจ้าไม่เดินลงมาออกตรวจที่คลินิกนอกเวลา ชีวิตของเด็กน้อยคงยื้อยุดฉุด จากมือมัจจุราชไว้ไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งยังคงติดตรึงอยู่ในใจข้าพเจ้าไปอีกนานแสนนาน

การติดต่อสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญ และนับวันจะสำคัญยิ่งขึ้นในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ตราบเท่าที่เรายังมีสังคมและต้องพึ่งพากัน ในอดีตข้าพเจ้าเคยติดตามประสาเด็กๆ ว่า เมื่อโตขึ้นจะบวชเป็นพระ หลีกลี้หนีหน้าจากผู้คนและออกท่องเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสาร แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ คงยังต้องติดต่อสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จนบางทีรู้สึกเหมือนว่าเครื่องมือสื่อสาร…มันเป็นมากกว่าชื่อของมันที่หมายถึง "การใช้เพื่อติดต่อกันตามปกติ"

เวลาทุกนาทีของมนุษย์เราเหลือน้อยลงทุกที แต่เรายังถูกอุปกรณ์สื่อสารปลุกเรียกให้เรา ตื่นขึ้นมาอีกตลอดเวลา น่าเสียดายที่เราใช้เวลาในชีวิตไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร เราถูกสังคมและวิทยาการสมัยใหม่ใช้เวลาของเราไปมากเหลือเกิน

จะมีใครบ้างไหม? ที่เลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ให้กับครอบครัว โดยไม่สนใจสังคม…
หรือ…ใครคิดว่า จะสามารถอยู่ใกล้ชิดครอบครัวของเราได้ด้วยเครื่องมือสื่อสาร โดยที่กายอยู่ห่างไกลกันเกือบตลอดเวลาของชีวิต

พ.ต.ท. นพ.เสรี ธีรพงษ์

(update วันที่ 9 กันยายน 2543)


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 23 ฉบับที่ 342 สิงหาคม 2543 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600