กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ 
 
1. ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการตกไข่ DMPA ที่ใช้ฉีดมีฤทธิ์สูงกว่าโปรเจสเตอโรลธรรมชาติถึง 25 เท่า 
และมีระดับยาสูงพอที่จะยับยั้งฮอร์โมนจากต่อมสมองที่จะมาสั่งงานให้มีการตกไข่ 
จึงสามารถป้องกันการตกไข่ได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ฉีด
2. DMPA ไปเปลี่ยนแปลงสภาพของเยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของไข่
ที่บังเอิญเกิดการปฎิสนธิแล้ว โดยทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อบางลง และมีปริมาณน้อยลง จึงทำให้ระดูมาผิดปกติ 
หรืออาจไม่มาเลย อาการผิดปกติของระดูนี้สัมพันธ์กับระยะเวลา(จำนวนปีที่ฉีด)ที่ใช้ด้วย
3. ไปเปลี่ยนแปลงมูกตรงปากมดลูกให้เหนียวข้น จนไม่เหมาะสำหรับเชื้ออสุจิจะผ่านไปได้ 
 | 
 
จะฉีดได้เมื่อไหร่ 
 
การเริ่มฉีดยาคุมกำเนิดเข็มแรกให้เริ่มดังนี้
1. ขณะกำลังเป็นรอบเดือน ควรฉีดตั้งแต่วันแรกที่มีรอบเดือน หรือภายใน 5 วันนับจากวันที่มีรอบเดือน 
ก็สามารถคุมกำเนิดได้ในเดือนนั้นเลย แต่ถ้าฉีดหลังจากมีรอบเดือน 7 วันไปแล้ว อาจไม่สามารถระงับการตกไข่ได้ 
จึงต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมไปด้วย
2. หลังคลอด จะฉีดทันทีหลังคลอดเลยก็ได้ หรือจะรอ 4 - 6 สัปดาห์ค่อยฉีด ตอนหมอนัดตรวจหลังคลอด 
ยาฉีดไม่มีผลต่อการผลิตน้ำนม จึงไม่มีข้อห้ามสำหรับคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
3. กรณีหลังแท้งเองหรือทำแท้ง ก็ฉีดได้เลยตั้งแต่หลังแท้งแล้ว หรือจะรอ 2 - 3 สัปดาห์ก็ได้ค่อยฉีดก็ได้ 
 | 
 
อาการข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด 
 
1. อาจมีเลือดออกมากหรือออกนาน พบไม่บ่อยนัก สามารถพบแพทย์เพื่อตรวจและบำบัดให้หายได้
2. เลือดออกกระปริบกระปรอย พบได้ค่อนข้างบ่อยในเข็มแรกๆ ประมาณ ร้อยละ 30 ปัญหานี้ไม่รุนแรง 
แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญได้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้เลิกฉีดต่อ 
3. การขาดระดู พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากยาคุมไปทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อและบาง จึงไม่มีอะไรออกมา 
การขาดระดูไม่ท้องแน่นอน ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ไม่ต้องแก้ไขอะไร หลังจากหยุดฉีดไปแล้ว 9 - 12  
เดือนมดลูกก็จะกลับคืนสภาพเดิม
4. อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะเชื่อกันว่า ฮอร์โมนนี้ไปกระตุ้นต่อมความอยาก(อาหาร) ก็เลยกินแยะ 
ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ ดังนั้นใครที่พันธุ์อ้วนอยู่แล้ว จึงไม่แนะนำให้ฉีด 
5. ยาคุมฉีดก่อให้เกิดมะเร็งหรือเปล่า..จากการศึกษาของฝรั่งพบว่า ไม่ทำให้มะเร็งเต้านมเพิ่มมากกว่าคนที่ไม่ใช้ 
ส่วนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจะลดลง รวมทั้งมะเร็งรังไข่ก็ลดลงด้วย
6. ความรู้สึกทางเพศ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซ้ำบางรายกลับเพิ่มขึ้นเพราะไม่ต้องกังวลกับการตั้งครรภ์ 
แต่ก็มีบางรายมีมีความต้องการลดลงจากเรื่องเลือดออกกระปริบกระปรอย
 7. อาการปวดศีรษะ อาจพบได้ในบางราย แต่ก็ไม่รุนแรงและหายเองได้ ไม่ต้องรักษา
 | 
 
หยุดฉีดแล้ว เมื่อไหร่จะท้อง 
 
หลังหยุดฉีดแล้ว 9 - 12 เดือน ภาวะเจริญพันธ์ก็จะกลับมาเหมือนเดิม (ซึ่งก็ช้ากว่ายากิน) 
แต่ถ้าหยุดฉีด 1 ปีแล้ว ยังไม่มีรอบเดือนก็ต้องหาหมอแล้วครับ 
 | 
 
ยาคุมฉีดมีกี่ชนิด 
 
ยาคุมฉีด ถ้าแบ่งตามฮอร์โมนที่สังเคราะห์ จะแบ่งได้ 2 ชนิด
1. ยาฉีดชนิดมี progestogen (โปรเจสโตเจนล้วนๆ) แบ่งได้เป็นอีก  2 ชนิดย่อยตามระยะเวลาที่ฉีด
1.1 ยาฉีดชนิด 3 เดือน (DMPA) ก็อย่างที่พูดถึงในบทความนี้ 
- ขนาด 150 มิลลิกรัม บรรจุในขวด 3 ซีซี 
 - หลังฉีดไปเพียง 30 วินาที ก็สามารถตรวจพบฮอร์โมนในกระแสเลือดได้ ระดับฮอร์โมนจะขึ้นสูงสุดใน 7 วัน 
ออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีด
 - ระดับฮอร์โมนไม่สะสมในร่างกายแม้ฉีดติดต่อกันเป็นเวลานาน 
 - ชื่อการค้าในเมืองไทยเช่น Depo provera ( ของUp John), Controlan, Depo gestin, Depo Progesta 
แต่ละบริษัทมีขนาดของเกล็ดยาแตกต่างกันไป 
    
    
                        
1.2 ยาฉีดคุมกำเนิด 2 เดือน คือยา NET - EN (Norethisterone enanthate) 
ที่มีขายในเมืองไทยคือ Noristerat
- ผลิตในรูปยาน้ำมัน (caster oil / benzyl benzoate)
 - ขนาดยา 200 มิลลิกรัม บรรจุในหลอด 1 ซีซี
 - หลังฉีดยาจะกระจายไปสู่ไขมันทั่วร่างกาย แล้วค่อยๆกระจายไปสู่กระแสโลหิตอีกที 
แล้วจะหมดภายใน 56-74 วัน
 - สามารถฉีดที่ต้นแขน หรือสะโพกก็ได้ 
  
 
  
                           
2. ยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวม (combined injectable contraceptive-CICs)
เป็นยาคุมฉีดชนิด 1 เดือน เป็นยาที่ประกอบด้วย progestogen และ estrogen เช่น
2.1 Cycloprovera หรือ cyclofem ประกอบด้วย DMPA 25 มิลลิกรัม และEstradiol cyprionate 5 มิลลิกรัม
2.2 Mesygina ประกอบด้วย NET - EN 50 มิลลิกรัม และ Estradiol valerate 5 มิลลิกรัม
2.3 hydroxyprogesterone caproate 250 มิลลิกรัม รวมกับ estradiol valerate 5 มิลลิกรัม 
ใช้กันมากในสาธารณรัฐประชาชนจีน กว่า 1 ล้านคน  
 | 
 
ใครควรฉีด 
 
1. ผู้ที่มีอาการข้างเคียงจากการคุมกำเนิดวิธีอื่น
2. ผู้ที่มีบุตรพอแล้ว แต่ไม่อยากทำหมัน
3. อายุมาก และมีแนวโน้มการเกิดอาการแทรกซ้อนจากยาเม็ดคุมกำเนิด เช่น อายุขึ้นเลข 4 อ้วน 
สูบบุหรี่ มีเส้นเลือดขอดเป็นต้น
4. ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ไม่ควรมีลูกอีก หรือถ้าท้องขึ้นมาก็จะเป็นอันตราย เช่น โรคไต วัณโรค โรคต่อมไร้ท่อ
5. ผู้มีปัญญาอ่อน แต่ไม่ยอมทำหมัน
6. โรคของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน(ตรงท้องน้อย) ไม่เหมาะที่จะใส่ห่วง หรือกินยาคุม เช่น มีเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก 
 | 
 
ประสิทธิภาพของยาคุมฉีด 
 
ในกลุ่มของยาฉีดทั้งหมด DMPA มีประสิทธิภาพสูงสุด มีอัตราการตั้งครรภ์เพียง 0- 1.2 ต่อ 100 women-year  
ส่วนยาคุมอื่นๆ มีประสิทธิภาพดังนี้   NET-EN 200 มิลลิกรัม / 60 วัน มีอัตราการตั้งครรภ์ ร้อยละ 0.4 
 | 
 
ข้อห้าม 
 
1. สตรีที่สงสัยหรือกำลังตั้งครรภ์ (ห้ามไว้ก่อน)
2. สตรีที่ยังไม่มีบุตร เนื่องจากภาวะเจริญพันธ์จะกลับมาช้า และไม่แน่นอน
3. สตรีที่มีเลือดออกผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
4. สตรีที่มีกรรมพันธ์อ้วนอยู่แล้ว 
 | 
 
จากประสบการณ์ของผม 
 
มีข้อที่ควรทราบดังนี้
1. การมีรอบเดือนหลังหยุดฉีดยาคุม จะมาเร็วมาช้า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับจำนวนเข็มที่ฉีด
2. รอบเดือนจะกลับมาเร็วที่สุด 2 เดือนครึ่งหลังหยุดฉีดยา และภายใน 1 ปี จะมีรอบเดือนเป็นปกติร้อยละ 76 
3. การตั้งครรภ์
	| หลังหยุดฉีดยา | 
	 1-3  | 
	เดือน  | 
	พบร้อยละ 30 | 
 
	| หลังหยุดฉีดยา  | 
	4-6    | 
	เดือน |  
	พบร้อยละ  50 | 
 
	| หลังหยุดฉีดยา  | 
	7-9    | 
	เดือน |  
	พบร้อยละ     60 | 
 
	| หลังหยุดฉีดยา  | 
	10-12   | 
	 เดือน | 
	พบร้อยละ    81  | 
 
	| หลังหยุดฉีดยา  | 
	13-14   | 
	เดือน | 
	พบร้อยละ      89  | 
 
 
4. ผมจะนัดแค่ 80 วัน เพราะพบว่า ถ้านัด 84-90 วัน ก็อาจพลาดได้ แม้ตามทฤษฎีจะบอกว่า
มีระดับยาสูงพอจะคุมได้ได้ถึง 4 เดือน แต่ในความเป็นจริง บางครั้งก็เคยเจอที่ นัด 84-90 วันก็อาจพลาดได้ 
และคนไข้ก็มักมาช้ากว่าวันที่นัดเสมอๆ
5. กรณีที่ครบกำหนดแล้ว ไม่สามารถมาหาหมอคนเดิมได้ จะฉีดที่ไหนก็ได้ มีผลเหมือนกัน
6. กรณีที่วันนัดไม่ว่าง จะมาฉีดก่อนวันนัดก็ได้
7. กรณีที่ลืมฉีดหรือเลยวันนัด ถ้าไม่เกิน100วัน นับจากวันฉีดครั้งก่อน ก็จะให้ฉีดต่อเลย แต่ถ้าเกิดท้องขึ้นมา ก็แปลว่าท้องก่อนฉีดครั้งนี้
8. กรณีที่ลืมฉีดหรือเลยวันนัดเกิน100วัน นับจากวันฉีดครั้งก่อน ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป 
  |