
 |
|
ทางออกของคนมีลูกยาก วิธีการหนึ่งคือการทำกิฟท์ - เทคโนโลยีโลกตะลึงเมื่อสองทศวรรษก่อน
แต่เรื่องราวที่ ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ นำเสนอนี้ อาจจะทำให้ผู้ที่กำลังจะทำ ต้องฉุกคิด
แม้ว่าผลพิสูจน์ชัดเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น ยังไม่อาจสรุปได้ แต่ก็มีหลายมุมมองที่เชื่อว่า
กิฟท์มีผลร้ายด้วยเช่นกัน
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 หญิงวัย 30 ปี
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่งอุ้มครรภ์แฝดสี่ ผลผลิตทาง
นวัตกกรรรมชีวิตจากเทคโนโลยีช่วยสตรีมีบุตรยาก เข้ารับการผ่าตัด
ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อให้กำเนิดลูกน้อยทั้ง 4 สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ระหว่างลูกคนที่สี่กำลังย้ายที่มั่นจากครรภ์แม่ออกมาสู่โลกภายนอก
ระหว่างนั้น ผู้เป็นแม่เกิดอาการช็อกและสิ้นใจอย่างกะทันหันใน
เวลาต่อมา ไม่มีใครรู้สาเหตุ แต่จากข้อสันนิษฐานของญาติๆ
และคนรู้จักว่า การทิ้งช่วงระยะระหว่างลูกคนที่ 3 และ 4 นานเกินไป
และเครื่องมือช่วยชีวิตของทางโรงพยาบาลก็ไม่พร้อม จำต้องส่งภาระ
ต่อไปให้โรงพยาบาลอื่น แต่ไม่ทันกาล
จึงเป็นวันแรกที่ทารกน้อยทั้งสี่ได้ลืมตาดูโลก พร้อมๆ กับเป็นวันที่ผู้เป็นแม่ต้องหลับตาชั่วนิรันดร์
ถัดจากนั้นมา 3-4 เดือน หญิงอีกคนหนึ่งวัย 44 ปี ตั้งครรภ์แฝดสอง ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยี
ประเภทเดียวกับผู้เป็นแม่รายแรก แตกต่างกันตรงที่ว่ากระบวน
การคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูกน้อยทั้งสอง
|
แต่ระหว่างการพักฟื้นหลังคลอดประมาณ 10-12 ชั่วโมง ผู้เป็นแม่เกิดอาการหายใจติดขัด
จึงเป็นหน้าที่ของพยาบาลที่จะเข้ามาดูแล แต่โชคร้ายที่พยาบาลคนนั้นทำอะไรไม่ได้มาก
อาการต่อมาคือหัวใจหยุดเต้น จะด้วยความบังเอิญหรือไม่บังเอิญที่โรงพยาบาลแห่งนั้น
ขาดความพร้อมทางด้านการช่วยชีวิต ไม่มีแม้แต่เครื่องปั๊มหัวใจ มีแต่สองมือเท่านั้นที่จะช่วยพยุงชีวิต
ของหญิงคนนี้เอาไว้ได้ เพื่อประวิงเวลารอนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น
ทว่าหัวใจได้หยุดเต้นแล้ว พร้อมกับภาวะของสมองที่ตาย ไตวาย และความดันต่ำ
เป็นผลจากการที่เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่เพียงพอ จึงทำให้ ทั้งยาและการกระตุ้นต่างๆ ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ
เหตุเพราะร่างกายไม่รับซึ่งอะไรอีกแล้ว ด้วยระยะ 3 วันแห่งความพยายามฉุดรั้งชีวิตเอาไว้
ผลที่ออกมาคือความล้มเหลว ด้วยสาเหตุที่ยังเป็นข้อกังขา แต่จากความสงสัยจากญาติๆ บอกว่า
น่าจะมาจากฮอร์โมนที่ให้ระหว่างตั้งครรภ์ มีส่วนทำให้เลือดข้นหรือหนืดมากขึ้น จนกลายเป็นลิ่ม
และไปอุดตันที่ปอด ทำให้หายใจไม่ออก และสิ้นใจในที่สุด
ความสงสัยยังคงไม่ได้รับคำเฉลยที่ถูกต้อง แต่ที่แน่ๆ เด็กน้อยสองคนถือกำเนิดขึ้นมาอย่างปลอดภัย
พร้อมๆ กับการปิดท้ายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาทั้งสองไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เรียกว่า 'แม่'
ความเหมือนและความต่างของทั้งสองกรณี วันนี้ ยังไม่มีคำตอบ
21 ปีที่แล้ว เด็กหญิงหลุยส์ บราวน์ ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ประเทศอังกฤษ
และก็คงจะเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป หากแต่ไม่เป็นเช่นนั้น
ความสนใจในฐานะสิ่งมหัศจรรย์พุ่งตรงมาที่เด็กหญิงคนนี้ ด้วยเหตุที่ว่า
เธอเป็นเด็กหลอดแก้วคนแรกของโลก
ART : เทคโนโลยีสนองความต้องการคนอยากมีลูก
จากสถิติทั่วโลกพบว่า โดยธรรมชาติแล้ว คู่สามีภรรยา 100 คู่จะมี 15 คู่ที่อยู่ในภาวะมีบุตรยาก
จึงทำให้เทคโนโลยีช่วยรักษาผู้มีบุตรยากหรือ ART (Assisted Reproductive Technology) เกิดขึ้น
และกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา
" เป็นเวลา 12-13 ปีที่เทคโนโลยีนี้เข้ามาในเมืองไทย พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของการมีบุตรยาก
อยู่ที่ผู้ชาย 40 เปอร์เซ็นต์ เช่น มีเชื้ออสุจิน้อยหรือไม่แข็งแรง อยู่ที่ผู้หญิง 40 เปอร์เซ็นต์ เช่น
การตกไข่ไม่สม่ำเสมอหรือท่อรังไข่อุดตัน อีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นทั้งสองคนและอีก 10 เปอร์เซ็นต์
ยังไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นผลจากสภาพจิตใจก็ได้ " น.พ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์
หัวหน้าภาคสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวถึงที่มาของปัญหากับ จุดประกาย
จากหลายๆ ที่มาของปัญหานี้เองทำให้เทคโนโลยี ART นี้มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็นกิฟท์ ที่คนไทยเรียกกันติดปาก หรือจะเป็น ซิป, อิ๊กซี่, เทเซ่, บลาสโตซิสต์ และเทคโนโลยีล่าสุด
พีจีดี หรือการวินิจฉัยความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับยีนหรือโครโมโซมก่อนการฝังตัวของตัวอ่อน
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเช่นนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสียเปรียบเสมือนดาบสองคม
" ข้อดีคือช่วยทำให้มีลูกได้สมใจ แต่ข้อเสียก็มีเยอะ เช่น การเอาเทคโนโลยีมาใช้
อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่คนไข้ได้ กรณีของการฉีดยากระตุ้นไข่มาก อาจทำให้คนไข้บวม
หรือเลือดข้นมากขึ้น หรืออาจเป็นการติดเชื้อซึ่งเป็นผลมาจากการเจาะไข่ และที่สำคัญที่สุด
ภาวะการตั้งครรภ์แฝดซึ่งเป็นภาวะไม่พึงประสงค์ มีส่วนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
วิทยาการการแพทย์ทุกวันนี้พยายามหลีกเลี่ยงแล้ว แต่ยังไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ " หัวหน้าภาคสูติ-นรีแพทย์
รพ.ตำรวจ ขยายความ ถึงความเป็นดาบสองคม
แต่ในความเป็นดาบสองคนนั้นสามีภรรยาหลายๆ คู่ ยินยอมพร้อมใจที่จะเสี่ยง
เพราะผลที่ได้รับถูกมองอย่างชื่นชมว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งกับสิ่งที่เสียไป เพื่อชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา
ท่ามกลางการรอคอย และยิ่งไปกว่านั้นชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นมานี้อาจออกมาในรูปแบบทวีคูณ คูณสอง
หรือคูณสาม ในนิยามของ 'ฝาแฝด' ประดิษฐกรรมธรรมชาติยอดฮิตที่วันนี้สร้างสรรค์ได้ด้วยสองมือมนุษย์
" การเอาตัวอ่อนเข้าไปใส่ไข่ 1 ตัว โอกาสท้องมี 10 เปอร์เซ็นต์ คนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมรับไม่ได้
ในโอกาสที่น้อยเกินไป ดังนั้นวงการแพทย์ทั่วโลกเลยยินยอมในการใส่ตัวอ่อนเข้าไปได้มากที่สุด 3-4 ตัว
เพื่อเปอร์เซ็นต์ท้องที่ยอมรับได้คือ 30-40 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อใส่ตัวอ่อนไป 4 ตัว มีโอกาสติด 1 คน
ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ติด 2 คนคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ติด 3 คนมีสิทธิ์ 2-3 เปอร์เซ็นต์ และแฝดสี่
มีโอกาส 1 ใน 1,000 ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าภาวะแฝดจะเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าการคลอดธรรมชาติทั่วไป "
น.พ.พูลศักดิ์ ไวความดี สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายที่มาของปรากฏการณ์แฝด
ในความนิยมชมชอบการมีบุตรแฝดยังแฝงด้วยอันตรายที่หลายๆ คนพยายามจะมองข้าม
ข้ามไปยังผลสำเร็จขั้นสุดท้าย โดยไม่ระลึกถึงสิ่งร้ายที่อาจเกิดขึ้น
" สังคมไทยมักมองอะไรเพียงด้านเดียว อยากได้แต่ลูกแฝด โดยไม่คำนึงเลยว่าอะไรจะตามมา
เพราะโรคแทรกซ้อนในการคลอดทารกแฝดมีสูง บางทีอาจถึงแก่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเสียเลือดมาก
จนกระทั่งต้องตัดมดลูก หรือพิการ ซึ่งโอกาสจะเกิดมีสูงกว่าคนท้องเดี่ยวอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะตามธรรมชาติ
มดลูกของคนเราถูกสร้างให้มีทีละ 1 คนเท่านั้น แต่คนไทยไม่ได้คิดอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า
มีผู้มาเข้ารับการรักษาด้วยเหตุผลอยากมีลูกแฝดเพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่บางคนไม่ได้มีความผิดปกติอะไร
ในร่างกายแต่อย่างใด แต่เพราะเห็นคนอื่นมี เลยอยากมี อยากเลือกเพศ อยากให้ลูกเกิดปีนั้น ปีนี้
จนลูกกลายเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่เลือกคุณสมบัติได้ "สูติ-นรีแพทย์ ร.พ.บำรุงราษฎร์
กล่าวถึงทัศนคติที่ผิดๆ ของคนไทย
ด้วยความสามารถไร้ขีดจำกัดของมนุษย์ อาจสร้างความสับสนในบทบาทระหว่างมนุษย์และพระเจ้า
การสร้างสรรค์มนุษย์คนใหม่ขึ้นมาอาจกลายเป็นภารกิจที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยธรรมชาติอีกต่อไป
แต่ต่อเติมได้ด้วยเทคโนโลยีเลียนแบบธรรมชาติ
ทุกสิ่งทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งการคลอด ยิ่งใกล้เคียงธรรมชาติมากเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเท่านั้น
และในทางเดียวกัน หากใช้เทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ง่ายเท่านั้น
แต่เพราะคนไทยหลายคนชอบปรุงแต่งจนเกินเหตุ จนกลายเป็นวิทยาการสิ้นเปลือง " น.พ.พูลศักดิ์
กล่าวแสดงความเห็นกับ จุดประกาย
หรือเทคโนโลยี บั่นทอนชีวิตแม่?
ด้วยความสงสัยกับสองกรณีที่เกิดขึ้น อาจเกิดแนวคิดต่อต้านเทคโนโลยีเลียนแบบธรรมชาติที่ว่านี้
ด้วยเหตุผลความเสี่ยงถึงชีวิต ความกลัวที่เกิดขึ้นมีอิทธิพลมากจนทำให้มองข้ามการพิจารณาในรายละเอียดที่ถูกต้อง
" การคลอดธรรมดา มีโรคแทรกซ้อนได้เหมือนกัน แต่โรคแทรกซ้อนจะมีมากขึ้น
เมื่อเด็กในท้องมีมากกว่า 1 คน และโรคแทรกซ้อนที่พบเป็นประจำคือตกเลือด รองลงมาคือถุงน้ำคร่ำแตก
แล้วย้อนขึ้นไปในกระแสเลือด อันนี้จะป้องกันไม่ค่อยได้ " น.พ.พูลศักดิ์ กล่าวถึงโรคแทรกซ้อน
ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการคลอด
กรณีตกเลือดเกิดได้เพราะระหว่างการตั้งครรภ์ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์
เพื่อนำส่งต่อไปให้ลูกผ่านทางรก และในการคลอดแต่ละครั้งแม่ต้องเสียเลือดอย่างน้อย 0.5-1 ลิตร
จากปริมาณเลือดทั้งหมดประมาณ 5 ลิตร โดยเฉพาะลูกแฝด กรณีเพิ่มมาอีก 1 คน จะเสียเลือด 1.5 ลิตร
แฝดสาม 2 ลิตร คือ 40 เปอร์เซ็นต์ ของเลือดทั้งหมด ในกรณีนี้ถ้าแม่ไม่แข็งแรงจริงอาจจะทนไม่ไหว
" กรณีของแม่เด็กแฝดสี่ที่เสียชีวิต อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะอาการของถุงน้ำคร่ำแตก
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาแต่เป็นในส่วนของการคลอดมากกว่า เพราะเด็กมีถึง 4 คน
น้ำคร่ำที่ห่อหุ้มตัวเด็กจะมีปริมาณมากกว่าปกติ และเมื่อถุงน้ำคร่ำแตกพร้อมๆ กับเส้นเลือดที่มาเลี้ยงรกฉีกขาด
ทำให้ความดันในเลือดน้อยกว่าความดันของน้ำคร่ำ ก่อให้เกิดภาวะที่น้ำคร่ำดันย้อนไปในกระแสเลือด
ประกอบกับในน้ำคร่ำไม่ได้เอาก๊าซออกซิเจนเข้าไป ผู้เป็นแม่เกิดอาการขาดออกซิเจนกะทันหัน
ทำให้หัวใจหยุดเต้น ช็อกทันที " สูติ-นรีแพทย์ รพ.บำรุงราษฎร์ สันนิษฐานถึงสาเหตุการเสียชีวิต
ของในแม่เด็กแฝดสี่กรณีแรก จากสถิติทั่วโลกการเสียชีวิตทันทีของมารดาจากการผ่าคลอด
อนุมานสาเหตุจากถุงน้ำคร่ำแตก โอกาสที่จะเกิดมีประมาณ 1-2 ราย จากทั้งหมด 1,000 ราย
นอกจากภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดซึ่งเราไม่สามารถสรุปแน่ชัดได้ว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ART
นี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามขั้นตอนระหว่างการรักษาด้วยวิธีนี้ใช่ว่าจะปลอดภัยทุกถ้วนกระบวนการ
ความเสี่ยงอีกชนิดหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากฮอร์โมนในการกระตุ้นไข่ระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อเสริมสร้างเลือด
และเตรียมมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ อาจมีส่วนทำให้เลือดข้น จนอาจแข็งตัวเป็นลิ่ม
และไปอุดตันตามอวัยวะต่างๆ ที่อันตรายที่สุดเส้นเลือดใหญ่สู่หัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุถึงแก่ชีวิต
อย่างเช่นกรณีหลัง
" การใช้ยาฉีด เพื่อกระตุ้นไข่อาจทำให้ได้ไข่ในปริมาณมากถึง 20-30ใบ ทำให้ฮอร์โมนสูงขึ้น
เมื่อนำไข่ฝังตัวเรียบร้อยแล้ว หมอจำเป็นต้องเจาะไข่บางส่วนออกมา เพื่อลดความเสี่ยง
แต่หลังจากเจาะไข่ออกมาแล้ว ตัวรังไข่อาจจะทำงานต่อ มีผลทำให้ปริมาณฮอร์โมนแทนที่จะลดลงกลับสูงขึ้น
มีถุงน้ำเกิดขึ้นในรังไข่ และจากที่ฮอร์โมนสูงทำให้รังไข่โต สร้างความอึดอัดในรังไข่
อาจก่อให้เกิดซีสต์ในรังไข่ได้ ถ้าถึงขั้นรุนแรงอาจมีน้ำคั่งในช่องท้อง หรือในปอด
ทำให้เลือดเข้มข้นขึ้นจนถึงเป็นลิ่ม เป็นผลให้การไหลเวียนของกระแสเลือดมีปัญหา
นำไปสู่การอุดตันของเส้นเลือด และอาการไตวาย ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งเคยมีตัวอย่างปรากฏมาแล้ว "
น.พ.วิโรจน์ ศิริพัฒนานนท์ สูติ-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลสมิติเวช
กล่าวเสริมถึงความเสี่ยงระหว่างการรักษา โอกาสที่จะเกิดภาวะเลือดเป็นลิ่มเช่นนี้มีอยู่
ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ แต่การป้องกันเพื่อไม่ให้ความเป็นไปได้ของโอกาสเกิดขึ้น
แม้เพียงเศษเสี้ยวอยู่ที่แพทย์ผู้ให้การรักษา ควรมีความรู้ และเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้
รวมไปถึงความพร้อมด้านเครื่องมือ การช่วยชีวิตของโรงพยาบาล ไม่ว่าคนไข้รายนั้น
จะตกอยู่ในภาวะอันตรายเช่นใด
สองกรณีข้างต้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายๆ อุทาหรณ์ของชีวิต ที่ไม่อาจบ่งชี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ว่าเป็นผลมาจากการรักษาด้วยเทคโนโลยี ART
อย่างไรก็ตาม ความต้องการมีบุตรทั้งที่เป็นไปด้วยความจำเป็นจริงและความจำเป็นเทียม
ยังคงเป็นปัญหาคอยกระตุ้นให้ความจำเป็นมีมากขึ้นเรื่อยๆ และในวันนี้ ดูเหมือนว่าความจำเป็นเทียม
จะได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่น่าเย้ายวน เช่น การเลือกเพศ การได้ลูกแฝด
โดยหารู้ไม่ว่าอันตรายที่แฝงเร้นอยู่นั้นมากน้อยเพียงใด
ธรรมชาติยังเป็นสิ่งที่มนุษย์พึ่งพาได้เสมอ แต่เมื่อใดที่ความเป็นธรรมชาติได้ถูกเบียดบังหน้าที่
เมื่อนั้นโทษที่ได้อาจถล่มทลายความฝันสวยงามได้ในชั่วพริบตา
เพราะหลายคนๆ ลืมไปว่า ลูกเป็นอย่างเดียวในโลกที่ซื้อไม่ได้
หรือถ้าซื้อได้อาจต้องแลกด้วย...ชีวิต
|