ที่บ้านพักคนชรา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มีคุณยายอายุ 102 ปี คนหนึ่งแข็งแรงมาก ร้องเพลงเก่ง
มนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้คนที่แวะมาเยี่ยมเยียนฟังและมักจะจบลงด้วยคำพูดว่า
"เธอมีความสุขมากในสถานที่แห่งนี้ ดีกว่าอยู่กับลูกหลานเสียอีก"
"แล้วยายไม่มีลูกหลานหรือถึงไม่มีใครมาเยี่ยม" ทุกคนที่มาเยือนชอบถาม
"มี
มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ลูกๆ มาเยี่ยมบ้าง นานๆ เข้าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครมาเยี่ยมแล้ว
หลานๆ ก็มีแต่กระจัดกระจายไปไหนก็ไม่รู้ ลูกๆ ไม่สนใจเรา หลานๆ ก็พาลไม่สนใจพ่อแม่ของมันด้วยเหมือนกัน
กรรมตามสนอง ฮา
ฮา" ยายเล่าอย่างสนุกสนาน
คนเราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่ยอมดูแลท่านยามแก่เฒ่าหากท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างนี้
ท่านคงไม่อยากมีลูกเป็นแน่แท้ คำกล่าวที่ว่า "แม่คนเดียวเลี้ยงลูกได้หลายคน แต่ลูกหลายคน
เลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้" ยังคงเป็นจริงอยู่เสมอในบ้านพักคนชรา
อย่างไรก็ตามคงไม่มีแม่คนไหนที่ไม่อยากมีลูก แม้ว่าจะอายุมากเท่าใดก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่ประเทศอิตาลี "คุณแม่วัย 61 ปี คลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งน่าจะเป็นคุณแม่สูงวัยมากที่สุดในโลก" นี่คือ ผลงานของคณะแพทย์โรงพยาบาลเซนต์ บอร์โตโล
(ST Bortolo General Hospital) แห่งมลรัฐไวเซนซ่า เหตุการณ์นี้อาจจะประหลาดสำหรับคนทั่วๆ ไป
แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ในมือของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ยุคปัจจุบัน
คำถามที่ตามมามากมายซึ่งหลายคนอยากรู้ คือ
"อายุปูนนี้ ยังต้องการมีลูกอีกหรือและจะมีลูกไปทำไม ?"
"เป็นไปได้หรือ ที่สตรีอายุรุ่นรางคาวยาย 60 ปี จะมีลูก"
"อายุขนาดนี้ ประจำเดือนน่าจะหมดไปแล้ว"
"ประจำเดือนหมดไปแล้ว ทำไมถึงมีลูกได้"
สตรีอายุเกิน 45 ปี ขึ้นไปทุกคนหากต้องการจะมีลูกคงต้องคิดและวางแผนไว้ในใจแล้วว่า
"มีลูกตอนนี้เมื่อไหร่ลูกจะโต ตอนลูกอายุ 20 ปี แม่ก็แก่มากถึง 70-80 ปี ถ้าแม่แก่ตายไปเสียก่อนใครจะเลี้ยง"
สำหรับคุณแม่สูงอายุรายนี้ แต่งงานตอนอายุ 36 ปี กับสามีหนุ่มอายุ 33 ปี เธอได้พยายามอยู่นานทีเดียว
จนหมดประจำเดือนไปตามธรรมชาติ เมื่ออายุเพียง 45 ปี
ขณะที่อายุล่วงถึงปีที่ 61 เธอตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการทำ "เด็กหลอดแก้ว" (IVF-ET)
โดยใช้ "ไข่" ของผู้บริจาคร่วมกับ "เชื้ออสุจิ" ของสามี การหยอด "ตัวอ่อน" ทางปากมดลูกครั้งแรก
ไม่ประสบความสำเร็จแต่ในการหยอดครั้งที่สองด้วยการเตรียมมดลูกอย่างดี เธอก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาได้สมใจ
อายุครรภ์ 6 และ 10 สัปดาห์ เธอได้รับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อยืนยันว่า
"ทารกมีสภาพปกติอยู่ภายในโพรงมดลูก"
อายุครรภ์ 18 สัปดาห์ ได้รับการเจาะดูดน้ำคร่ำตรวจโครโมโซมของทารก
อายุครรภ์ 22 สัปดาห์ ได้รับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงอย่างละเอียด
เพื่อหาความผิดปกติแต่กำเนิด
อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ได้รับการทดสอบว่า เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
การตรวจทดสอบทุกอย่างที่ได้กระทำไปในข้างต้น ไม่พบว่ามีความผิดปกติแต่อย่างใด
การตั้งครรภ์ดำเนินไปด้วยดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น น้ำหนักของคุณแม่เพิ่มขึ้น
ตลอดการตั้งครรภ์ 9 กิโลกรัม
เธอได้รับการผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้องขณะอายุครรภ์ 38 สัปดาห์ เป็นทารกเพศชาย
หนัก 2,780 กรัม แข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติให้เห็นเลย
หลังคลอด คุณแม่มีน้ำนมปกติและเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเป็นระยะเวลานานพอสมควร
นับว่าวงการแพทย์ได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดขึ้นมาในจิตใจของมนุษย์
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งครอบครัวก็ตามซึ่งถือเป็นตัวอย่างและกำลังใจให้กับครอบครัวอื่นอีกหลายครอบครัว
ที่มีฝ่ายภรรยาสูงวัยและกำลังได้รับการรักษาอยู่
สำหรับขั้นตอนของการรักษาสรุปย่อๆ ได้ดังนี้
กระตุ้น "ไข่" ของสตรีผู้บริจาคให้ได้หลายๆ ใบและเจาะนำเอา "ไข่" เหล่านั้นออกมาเมื่อสุกเต็มที่
เตรียม "เชื้ออสุจิ" ของสามี
นำ "ไข่" บริจาคและ "เชื้ออสุจิ" สามีมาทำให้ปฏิสนธิกันด้วยวิธี "เด็กหลอดแก้ว"
ธรรมดาหรือ "อิ๊กซี่" ในกรณีจำเป็น
นำ "ตัวอ่อน" ที่ได้ใส่กลับเข้าไปในร่างกายของสตรีผู้นั้นอาจจะเป็นทางปากมดลูก
หรือปีกมดลูกขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
จากนั้นต้องเฝ้าติดตามว่า "ตั้งครรภ์" หรือไม่ในระหว่างนั้นต้องให้ฮอร์โมน
เพื่อเสริมสร้างการคงตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกหากพบว่า "ตั้งครรภ์" ยังต้องให้ฮอร์โมนต่อ
จนอายุครบ 70 วันเป็นอย่างน้อย พ้นจากช่วงเวลานี้ไปแล้วรกจะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน
จนเพียงพอกับการดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไป
ทำไมจึงใช้อายุ 60 ปี เป็นเกณฑ์ อายุสูงสุดในการ "อุ้มบุญ" ด้วย "ไข่" บริจาค
โดยเฉลี่ยสตรีปัจจุบันมีอายุยืนยาวกว่า 80 ปี ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นเราจึงใช้อายุ 60 ปี
เป็นเกณฑ์สูงสุดในการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะเชื่อว่าเด็กจะสามารถเติบโตจนรับผิดชอบตัวเอง
ได้ทันก่อนที่พ่อแม่จะตายหากต่อไปสตรีสามารถมีอายุยืนยาวขึ้นไปอีกไม่แน่
เราอาจจะได้เห็นสตรีวัยคุณย่า "อุ้มท้อง"
ทำไมจะต้องใช้ "ไข่" บริจาคในการรักษาสตรีสูงอายุเหล่านี้
จากรายงานวิจัยที่ได้จากสถาบันสถิติแห่งชาติ ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
เรื่องความสำเร็จในการทำ "เด็กหลอดแก้ว" ปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ.2543) จำนวน 1,312 ราย พบว่า
อัตราตั้งครรภ์ด้วยการใช้ "ไข่" ของตัวเองทำ "เด็กหลอดแก้ว" ในช่วงอายุ 25-29 ปีเท่ากับ 19%
พออายุมารดามากกว่า 40 ปี ความสำเร็จจะลดลงเหลือเพียง 6% เท่านั้น
ที่โรงพยาบาลรอยัล นอร์ท ชอร์แห่งมลรัฐซิดนีย์ (Royal North Shore Hospital of Sydney)
พบว่าอัตราการตั้งครรภ์โดยการทำ "เด็กหลอดแก้ว" ด้วย "ไข่" ของคนไข้เองเท่ากับ 21%
และลดลงเป็น 0% ภายหลังอายุ 41 ปี จึงเป็นที่ตกลงกันว่าไม่มีการรักษาในคนไข้สตรีที่มีอายุเกิน 42 ปี
โดยใช้ "ไข่" ของตัวเอง
จะเห็นว่าสตรีอายุ 42 ปีขึ้นไป "ไข่" จะไม่ค่อยมีคุณภาพ การที่จะใช้ "ไข่" ของคนไข้เอง
โอกาสสำเร็จย่อมมีน้อยมาก ดังนั้นจึงควรพิจารณาใช้ "ไข่" บริจาคในคนไข้สตรีอายุเกินกว่า 42 ปี
ขึ้นไปทุกรายที่กระตุ้น "ไข่" ไม่สำเร็จ
เป็นเรื่องแปลกที่คุณยาย คุณย่าคิดจะมามีลูกเมื่ออายุปูนนี้ แต่เป็นเรื่องที่ดีหากสามารถมีลูกได้
เพราะ "ลูก" คือสิ่งที่มีค่าและวิเศษที่สุดของครอบครัว ลูกจะนำความสุขอย่างที่สุดมามอบให้ในบั้นปลายของชีวิต
การมีลูกได้ย่อมเป็นการบอกนัยๆ ว่า "เธอไม่ได้แก่จนเกินไปและยังมีคุณสมบัติของสตรี
ในด้านการสืบพันธุ์พร้อมไม่บกพร่อง" สมควรยกย่องในความหาญกล้าที่มามีลูกในยามนี้เสีย
แต่ว่ากลัวลูกจะสับสนไม่เรียก "คุณแม่" แต่เรียกเป็น "คุณยาย"
พ.ต.ท.น.พ.เสรี ธีรพงษ์
|