ทุกครั้งที่ผมได้รับเชิญไปพูดกับคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานสัมมนาให้ความรู้
รายการวิทยุหรือโทรทัศน์ คำถามยอดนิยมที่มักจะถูกถามมากที่สุด คือ "นมอะไรดีที่สุด" หรือ
"จะให้ลูกทานนมอะไรถึงจะดีที่สุด" ซึ่งผมจะตอบไปอย่างมั่นใจทุกครั้งว่า "นมแม่ดีที่สุด
และเหมาะสมที่สุดสำหรับเลี้ยงทารก" เพราะถ้าจะนับว่ามนุษย์เป็นผลิตผลมหัศจรรย์อันดับหนึ่ง
ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาโดยยังไม่มีสิ่งไหน หรือประดิษฐกรรมชิ้นใด แม้กระทั่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
จะสามารถเทียบได้ นมแม่ก็นับว่าเป็นผลิตผลที่สุดแสนจะมหัศจรรย์และเป็นสิ่งที่วิเศษ
และดีที่สุดของมนุษย์เท่าที่มนุษย์จะสามารถสร้างได้เพื่อมอบให้เป็นมรดกล้ำค่าแก่ลูบสืบต่อไป
ความมหัศจรรย์ในคุณค่าทางอาหาร
นมแม่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับทารก และคุณค่าทางอาหารนั้น
ยังคงค่าอยู่ไม่ลดลงตลอดไป จนสามารถใช้เลี้ยงทารกได้อย่างน้อย 1-2 ปี หรืออาจนานกว่านั้น
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับนมวัวแล้วนมแม่มีส่วนประกอบของสารอาหารที่ดี เหมาะสมกว่านมวัวอยู่หลายประการ
1. นมแม่มีปริมาณโปรตีนพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป และมีส่วนประกอบของกรดอะมิโนสมดุล
พอเหมาะกับความต้องการและการเจริญเติบโตของทารก ในขณะที่นมวัวจะมีปริมาณโปรตีนมากเกิน
ความต้องการและชนิดของโปรตีนและส่วนประกอบของกรดอะมิโนไม่เหมาะสมกับร่างกายของทารก
ปริมาณโปรตีนที่สูงเกินความต้องการของร่างกายทำให้เกิดการคั่งของสาร BLOOD UREA NITROGEN (BUN)
และเลือดมีภาวะเป็นกรด ไตของทารกจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับถ่ายของเสียนี้ออกจากร่างกาย
ทำให้ทารกอาจไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร โปรตีนในนมวัวส่วนใหญ่จะเป็น CASIEN มากกว่าWHEY
ทำให้เมื่อทารกรับประทานลงไปถูกกับกรดจะกลายเป็นก้อน (CURD) ซึ่งจะถูกย่อยยาก
ซึ่งถ้าคุณแม่สังเกตดูให้ดีว่าถ้าหากลูกอาเจียนหลังทานนมวัวใหม่ๆ จะเห็นว่าอาเจียนที่ออกมาจะเป็นก้อนนม
ที่ยังไม่ย่อยซึ่งจะแตกต่างจากนมแม่ที่โปรตีนเป็นชนิด WHEY มากกว่า CASEIN โปรตีนในนมแม่
จึงมีปริมาณพอเหมาะและย่อยง่ายกว่าโปรตีนของนมวัว
นอกจากนี้นมแม่มีปริมาณ TAURINE ซึ่งอาจถือว่าเป็นกรดอะมิโนจำเป็นสำหรับทารก
ก่อนกำหนดมากกว่านมวัวถึง 55 เท่า ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ทราบหน้าที่ของสาร TAURINE แน่ชัด
แต่เชื่อว่ามีส่วนช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อสมองและเซลล์รับภาพของลูกตา (RETINA)
และที่กำลังเป็นที่สนใจก็คือ สาร NUCLEOTIDE ซึ่งเป็นสารองค์ประกอบที่พบในเซลล์
ทุกเซลล์ของร่างกายและมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและหน้าที่ต่างๆ ของร่างกายทารก
และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานแก่ทารก จากการศึกษาพบว่านมแม่มีปริมาณ NUCLEOTIDE มากพอสมควร
แต่ไม่พบ NUCLEOTIDE ในนมวัว จากความรู้ดังกล่าวประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการผลิต
สูตรนมผสมที่ใช้สำหรับเลี้ยงทารกที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจึงได้รับการปรับปรุงปริมาณ
และส่วนประกอบของโปรตีนให้คล้ายหรือใกล้เคียงกับนมแม่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตบางราย
ได้มีการเติม TAURINE หรือ NUCLEOTIDE ลงในนมผสมบางตรากันบ้างแล้ว
2.
นมแม่มีคุณภาพและส่วนประกอบของไขมันดีและเหมาะสมกว่านมวัว นมแม่มีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัว
ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นสูงกว่านมวัว ทำให้ไขมันในนมแม่มีคุณภาพดีกว่าและถูกดูดซึมง่ายกว่านมวัว
นอกจากนี้ปัจจุบันยังพบว่านมแม่มีกรดไขมัน DOCOSAHEXAENOIC ACID (DHA) แต่นมวัว
และนมผสมส่วนใหญ่ไม่มี DHA นั้นอาจถือได้ว่าเป็นกรดไขมันจำเป็นสำหรับทารกโดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด
จากการวิจัยพบว่า ทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่รับประทานนมแม่หรือนมผสมที่มีการเติม DHA ลงไป
จะมีการมองเห็นได้ดีกว่าทารกที่รับประทานนมผสมที่ไม่ได้เติมสาร DHA ส่วนผลของ DHA ต่อสติปัญญา
และความเฉลียวฉลาดนั้น จากหลักฐานการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้ว่า
DHA มีผลต่อสติปัญญาจริงหรือมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจจะเป็นข้อคิดให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน
ที่หาซื้อน้ำมันปลาทะเลซึ่งมี DHA มากมาให้ลูกรับประทานเพื่อหวังผลให้ลูกเฉลียวฉลาดได้กรุณาไตร่ตรอง
ให้รอบคอบเสียก่อนจะตัดสินใจหลงเชื่อคำโฆษณา แต่อย่างไรก็ตามบริษัทผู้ผลิตนมผสมทั้งหลาย
ได้มีการปรับปรุงคุณภาพและส่วนประกอบของไขมันให้คล้ายกับนมแม่ และมีบางรายได้เติม DHA
ลงในผลิตภัณฑ์นมผสมกันบ้างแล้ว
3. มีคุณค่าเพิ่มภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค นมแม่มีภูมิต้านทานซึ่งกลั่นจากตัวแม่ถ่ายทอดไปสู่ลูก
นับว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าที่หาไม่ได้เลยจากนมวัว ทำให้ลูกน้อยที่เลี้ยงด้วยนมแม่มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อ
ระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ปอดบวม ระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย และหูชั้นกลางอักเสบ
อักเสบน้อยกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยนมผสม ความจริงแล้วนมวัวก็มีภูมิต้านทานเหมือนกัน
แต่เป็นภูมิต้านโรควัวมิใช่โรคคน และภูมิต้านทานที่มีอยู่ในนมวัวนั้นถูกทำลายไปหมดแล้วด้วยความร้อน
ระหว่างผ่านขบวนการผลิต
4. มีสารช่วยย่อย นมแม่นอกจากมีสารอาหารที่ย่อยและถูกดูดซึมง่ายกว่านมวัวแล้ว
ในนมแม่ยังมีเอ็นไซม์ช่วยในการย่อยหลั่งตามออกมาด้วย ทำให้นมแม่ถูกย่อยและถูกดูดซึมง่ายกว่า
นมวัวยิ่งขึ้นไปอีก
5. นมแม่ช่วยให้ปลอดภัยจากการแพ้เนื่องจากโปรตีนในนมวัวมีขนาดโมเลกุลใหญ่และประกอบด้วย
B-LACTOGLOBULIN ทำให้ทารกที่เลี้ยงด้วยนมวัวอาจเกิดอาการแพ้โปรตีนนมวัวได้ จากการวินิจฉัยพบว่า
ทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่แม้จะเป็นเพียงระยะสั้นก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ ทารกร้องร้อยวัน (INFANTILE COLI
และผื่นแพ้ผิวหนังน้อยกว่าทารกที่เลี้ยงด้วยนมวัว การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นอีกหนทางหนึ่ง
ที่จะช่วยป้องกันมิให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้ที่แสนฮิต และทุกคนต้องการหลีกเลี่ยงโดยไม่ต้องเปลืองเงินทองไปซื้อหา
6. นมแม่แก้ปัญหาสังคม ยุคนี้ยุค IMF เศรษฐกิจ ทุกคนและประเทศของเรากำลังวิกฤต
ถ้าหากคุณแม่หันมานิยมไทยใช้นมแม่ก็จะช่วยลดการนำเข้านมผสมปีหนึ่งๆ ได้หลายพันหลายหมื่นล้าน
อีกทั้งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยสร้างความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูกทำให้สถาบันครอบครัวของเรานั้น
เข้มแข็ง เป็นเกราะป้องกันให้ลูกและครอบครัวพ้นจากภัยสังคมที่นับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาหมอหวังว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนคงจะรู้ซึ้งถึงความมหัศจรรย์หรือค่าน้ำนมแม่
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณแม่จำนวนมากปล่อยปละละเลยไม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทำให้นมแม่เป็นของดีที่ถูกลืม
ถูกปล่อยให้เหือดแห้งไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ไม่สายเกินไป ถ้าวันนี้เราจะร่วมกันไม่ปล่อยให้นมแม่ลอยนวลอีกแล้ว
แม่ที่ให้นมลูกก็ต้องการใครสักคนที่คอยดูแล และให้อาหารที่มีประโยชน์แก่เธอ
เพื่อที่เธอจะสามารถสร้างน้ำนมให้กับลูกน้อยได้มากๆ และใครคนนั้นก็คือพ่อของลูกนั่นเอง
|
รศ.นพ.สังคม จงพิพัฒน์วณิชย์
|