ออน
Leena Pantsu ตอกย้ำความตื่นเต้นตะลึงอีกครั้งด้วยการกล่าวว่า มีผลวิจัยล่าสุดที่ระบุว่า
ในจำนวนเด็กทารก 403 คน ที่ตอนอยู่ในครรภ์แม่ร้องเพลงโปรดให้ฟังเป็นประจำ
เวลางอแงทุกคนจะหยุดขี้อ้อนทันที เมื่อร้องเพลงเดียวกันให้ฟังอีก และในจำนวนนี้ 161 คน
จะเปลี่ยนจากงอแงเป็นหลับปุ๋ยภายใน 41 วินาที!!
หลักสูตรนี้ไม่ได้ทำเพื่อสร้างเด็กอัจฉริยะตามความเข้าใจของคนทั้งหลาย
แต่เพื่อหาทางที่จะทำให้เด็กทุกคนที่จะเกิดมาในอนาคตมีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี
และได้รับความรักเต็มอิ่มจากพ่อแม่โดยมีดนตรีเป็นตัวประสาน
ฟินแลนด์มีประเพณีแม่จะต้องขับกล่อมลูกเวลาเลี้ยงลูก ประเพณีนี้มีมาช้านานแล้ว
จนทำให้ภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาที่ไพเราะเหมือนดนตรีและวรรณคดี
เต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็ก
แต่ครั้นพอถึงกลางศตวรรษที่ 20 คุณแม่ชาวฟินแลนด์ชักไม่ค่อยชอบขับกล่อมลูกเหมือนแต่ก่อน
เพราะต้องออกไปทำงานและยังต้องถูกวิทยุโทรทัศน์แบ่งเวลา ร้อนถึงรัฐบาลต้องออกมาตรการพิเศษ
เพื่อฟื้นฟูประเพณีและพร้อมๆ กับให้การศึกษาทางการดนตรีแก่เด็กมากขึ้น
ปีนั้นคือ พ.ศ.2530 และนี่เองคือที่มาของความก้าวหน้าของฟินแลนด์เกี่ยวกับการใช้ดนตรี
สร้างศักยภาพให้กับเด็กตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ที่กำลังเป็นหัวข้อการวิจัยสำคัญของประเทศมั่งคั่งทั้งหลาย
มาตรการหนึ่งของรัฐบาลฟินแลนด์เมื่อ 13 ปีมาแล้วคือการจัดให้วิทยาลัยดนตรี 3 แห่งที่กรุงเฮลซิงกิ
เมือง Lahti และเมือง Jyvaskla เปิดหลักสูตรพิเศษ 4 ปี เพื่อสอนวิชาดนตรีศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
(Early Childhood Music Education) โดยเป็นหลักสูตรแรกๆ ของโลก
ในจำนวน 3 แห่ง ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นที่เมือง Jyvaskyla ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนลือชื่อ
Music Playschool for Babies คำว่า Playschool หมายถึงโรงเรียนที่สอนไปเล่นไป คือ
มีการอสนที่ไม่เหมือนโรงเรียนทั้งหลาย
โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกสอนนักศึกษาภาคปฏิบัติ และขณะเดียวกันก็เป็นห้องทดลอง
การให้การศึกษาทางด้านดนตรีแก่เด็ก ตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งของโรงเรียนคือ Leena Pantsu
ตำแหน่งผู้บรรยายอาวุโส
อาจารย์ Pantsu เริ่มการสอนของเธอด้วยการประกาศหาอาสาสมัครที่เป็นผู้เริ่มตั้งครรภ์
ตามคลินิกแม่และเด็กและเมื่อได้จำนวนครบตามที่ต้องการในวันปฐมนิเทศ
เธอจะบรรยายความมหศัจรรย์เกี่ยวกับความสามารถในการรับรู้ของเด็กในครรภ์
ให้ผู้ที่จะเป็นแม่ทราบ
เริ่มตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนอายุ 6 สัปดาห์ เด็กจะสามารถรับรู้การสั่นสะเทือนอายุ 12 สัปดาห์
รับรู้สภาพอีกสภาพหนึ่งที่อยู่นอกครรภ์และพออายุ 20 สัปดาห์ ระบบการฟัง
และการจำในตัวเด็กจะได้รับการพัฒนาจนครบสมบูรณ์ และสามารถรู้จักเสียงของผู้เป็นแม่
ซึ่งพอบรรยายมาถึงตอนนี้ อาจารย์ผู้นี้ก็จะตอกย้ำความตื่นตะลึงอีกครั้งให้แก่คุณแม่อาสาสมัคร
ด้วยการกล่าวว่า มีผลวิจัยล่าสุดที่ระบุว่าในจำนวนเด็กทารก 403 คน ที่ตอนอยู่ในครรภ์
แม่ร้องเพลงโปรดให้ฟังเป็นประจำเวลางอแงทุกคนจะหยุดขี้อ้อนทันที เมื่อร้องเพลงเดียวกันให้ฟังอีก
และในจำนวนนี้ 161 คน จะเปลี่ยนจากงอแงเป็นหลับปุ๋ยภายในเวลา 41 วินาที !!!
ปฐมนิเทศจบแล้ว การฝึกจะเริ่มด้วยการให้ผู้ที่จะเป็นแม่ นั่งกับพื้นสบายๆ แล้วหลับตาฟังเพลงคลาสสิก
ที่เป็นเพลงขลุ่ยสมัยบาร็อก ฟังอย่างช้าๆ แล้วพยายามปรับจังหวะร่างกายให้เข้ากับจังหวะเพลง
จังหวะมีความสำคัญมาก อาจารย์ Pantsu อธิบายดังนี้โลกของเด็กในครรภ์เป็นโลกของจังหวะ
คือทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวในนั้น มีขั้นตอนและเป็นไปตามจังหวะดังนั้นแม่ที่ต้องการจะส่งความรู้สึกไปให้ลูก
ตอนที่อยู่ในนั้นจึงควรต้องรู้จักการปรับจังหวะร่างกายตัวเองให้เข้ากับจังหวะร่างกายลูก
สมัยก่อนคนรู้จักทำอะไรตามจังหวะพอถึงสมัยนี้เพราะความอลวนคนจึงลืมเรื่องนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องฝึกสอน
จบจากนั้นอาจารย์นักค้นคว้าจะทำให้คุณแม่ผู้อาสาตื่นตะลึงอีก
ด้วยการเปิดเทปให้ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจผู้เป็นแม่กับเสียงการไหลเวียนของโลหิตที่ดังไปถึงลูกน้อย
ที่กำลังนอนอยู่ในครรภ์ เพื่อให้ทราบกันว่าเสียงเป็นอย่างไรจะได้นำความรู้สึกไปใช้ในการปรับจังหวะ
แล้วจึงมาถึงภาคปฏิบัติจริง เมื่อคุณแม่ได้รับคำสั่งให้เหยียดขาออกไปข้างหน้ารวมทั้งนิ้วเท้าแล้ว
ร่วมกันร้องเพลงกล่อมเด็ก ดังที่กล่าวแล้วฟินแลนด์เคยเป็นประเทศที่แม่ชอบร้องเพลงกล่อมลูก
ดังนั้นจึงมีเพลงพวกนี้มากมายซึ่งอาจารย์ Pantsu ก็ได้คัดเอาเพลงที่มีการเน้นจังหวะหนักๆ มาใช้ในการฝึกคุณแม่
คุณแม่จะร้องเพลงกล่อมไปเรื่อยๆ จนทุกคนร้องเข้าจังหวะกันดี
จากนั้นจะเป็นการฝึกให้รู้จักถ่ายทอดเพลงไปยังลูกในท้องจบลงด้วยการนั่งขัดสมาธิ
แล้วคุณแม่โยกตัวซ้ายขวาขณะร้องเพลงใจนึกไปที่ลูก
ลีลาการร้องในตอนนี้และเพลงที่ร้องมีความสำคัญเพราะจะเป็นลีลา
และเพลงที่คุณแม่จะต้องร้องเป็นประจำทำนองเป็นเพลงประจำตัวโดยหวังว่า
เมื่อลูกน้อยเกิดจะจำเพลงที่ร้องให้ฟังได้
โรงเรียน Music Playschool for Babies มีโครงการที่ขยายการฝึกคุณแม่ออกไปเรื่อยๆ
และตอนนี้ได้ขยายไปถึงแม่ที่ลูกอายุ 3 เดือน
พอถึงตอนนี้การฝึกจะทำโดยนักศึกษาปีที่ 3 มีการแบ่งจำนวนคุณแม่ออกเป็นกลุ่มเล็กๆ
แต่ละกลุ่มไม่เกิน 6 คนและครู 2 คน
การฝึกทำโดยการให้เด็กนอนหงายและคุณแม่แต่ละคนเล่นกับลูกโดยการร้องเพลงให้ฟัง
เพลงมีหลายทำนองและหลายจังหวะ การร้องในระยะแรกๆ จะร้องเฉยๆ ต่อๆ ไปจะมีการเพิ่มการให้จังหวะ
ด้วยการใช้เครื่องเคาะเล็กๆ และเครื่องดีดที่คล้ายกับจระเข้เรียกว่า Zither ที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง
ของประเทศยุโรปเขตเหนือ
การร้องและเคาะจะไม่ทำแบบธรรมดาแต่คุณแม่จะถูกฝึกให้สังเกตความเคลื่อนไหวของเด็ก
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของแขนขา เพื่อเพลงจะได้เข้ากับจังหวะการเคลื่อนไหวและแขนขา
ได้รับการพัฒนาให้มีการเคลื่อนไหวที่ดี
ร้องและเล่นกับลูกพักใหญ่ แน่นอนคุณลูกก็ย่อมจะเริ่มตาปรือ การฝึกจะจบด้วยการให้คุณแม่กล่อมลูก
ด้วยเพลงประจำตัวจนลูกหลับ
โรงเรียน Music Playschool for Babies เปิดมาแล้ว 3 ปี การประเมินผลและการวิจัยยังอยู่ในขั้นแรก
อย่างไรก็ตาม Leena Pantsu กล่าวว่า จากการพูดคุยกับแม่ที่เข้ามาเป็นอาสาสมัคร
ลูกของคุณแม่เหล่านี้มักมีอารมณ์ที่เยือกเย็นกว่าลูกของคุณแม่ทั่วไปไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องจู้จี้งอแง
โดยเฉพาะการตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก
นอกจากนี้แล้วยังมักเป็นเด็กที่แคล่วคล่องว่องไวมีประสาทรับรู้ที่ดีทำให้การฝึกเด็กให้ทำสิ่งต่างๆ เป็นไปได้โดยง่าย
สุดท้ายอาจารย์ Pantsu อยากจะกล่าวกับผู้สนใจว่าหลักสูตรที่เธอและโรงเรียนจัดทำขึ้นมานั้น
ไม่ได้ทำเพื่อสร้างเด็กอัจฉะริยะตามความเข้าใจของคนทั้งหลาย แต่ทำเพื่อหาทางที่จะทำให้เด็กทุกคน
ที่จะเกิดมาในอนาคตเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี และได้รับความรักเต็มอิ่มจากพ่อแม่
โดยมีดนตรีเป็นตัวประสาน และเพื่อให้ครูดนตรีไม่ใช่มีบทบาทเพียงสอนดนตรีอย่างเดียว
แต่ยังช่วยเหลือเด็กและแม่ของเด็กให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย
|