ชีวิตของการเป็นแพทย์นั้น การร่ำเรียนขณะเป็นนักเรียนแพทย์นั้น การตรวจร่างกายเป็นศาสตร์หนึ่ง
ที่นักเรียนแพทย์ทุกคนต้องถูกฝึก ถูกสาธิต ถูกทดสอบ ถูกประเมินอย่างเข้มงวดก็เรื่องการตรวจท้อง
หรือตรวจระบบร่างกายส่วนล่างโดยเฉพาะเรื่องของการมีความผิดปกติของท้องหรือของการเกิดเจ็บปวด
เป็นเรื่องที่จะต้องฝึกกระทำอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนเพื่อการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ
ดังนั้น เมื่อพบคนไข้เข้ามาหาด้วยเรื่อง "ปวดท้อง" หมอก็จะต้องเริ่มขั้นตอนทางการแพทย์
ถ้าเคยดูหนังที่กำลังฮิตทางทีวีซึ่งกำลังฉายอยู่ขณะนี้คือเรื่อง "ER" ซึ่งถ่ายทำได้เหมือนจริงมาก
โดยเฉพาะดาราแสดงนำในเรื่องตัวเอกก็ยังคิดเลยว่ายังกับเอาหมอมาแสดง เพราะพวกที่เข้าเรียนหมอ
เรียนแพทย์นั้น นอกจากคัดเกรดการสอนการเรียนแล้ว ยังหล่อคัดออก สวยคัดออกอีก เหมือนชีวิตจริงมาก
ผิดกับภาพยนต์ไทยตัวเอกของเรื่องสวยหล่อไว้ก่อนอ่อนวัยตามมา เลยทำให้หนังไทยค่อนข้างจะขัดกับความจริง
ในหนังจะเห็นว่า ถ้าคนไข้ไม่วิกฤตจะต้องมีการซักถามกันมากมายเหมือนตำรวจสอบสวน
ผู้ต้องสงสัยก็ไม่ปาน และบางครั้งก็ลามไปถึงคนใกล้ชิดก็ต้องถูกซักถามถูกซักไซ้ โดยเฉพาะเด็กเล็กนั้น
พี่เลี้ยงหรือพ่อแม่มีส่วนสำคัญมากในการซักประวัติ โดยเฉพาะคนไข้ปวดท้องนั้นพบว่า
เป็นความทุกข์ของมนุษย์ที่ทรมานสาหัส ปวดหัวปวดฟันยังพอทำเนา ยังเคลื่อนไหวช่วยตัวเองได้
แต่ปวดท้องนั้นมักจะช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้นำส่งหรือช่วยเหลือนำมาโรงพยาบาล
เนื่องจากในช่องท้องนั้นมีอวัยวะต่างๆ อยู่มากมายและอยู่ใกล้กัน บางอันก็ซ้อนกัน
บางอันหรือบางอวัยวะก็มีเส้นประสาทมาเลี้ยงเส้นเดียวกัน ทำให้อาการไปแสดงออกที่อีกอวัยวะหนึ่ง
เรียกได้ว่า อาการปวดท้องนั้นเป็นโรคปราบเซียน คือทำหมอหรือแพทย์ผู้ดูแลเสียเหลี่ยมมานักต่อนัก
ถ้าไม่แม่นในวิชาการ
เคยมีญาติคนไข้มาบ่นทำนองฟ้องว่าลูกสาวไปพบแพทย์เพราะปวดท้องน้อย แพทย์บอกว่า
ต้องผ่าตัดด่วนเพราะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ที่ไหนได้หลังผ่าตัดขอพบญาติบอกว่าต้องตัดรังไข่ออก
เพราะเป็นเนื้องอกรังไข่ ทำเอาตกอกตกใจหมดเพราะเข้าใจตามภาษาชาวบ้านว่าเนื้องอกคือ
มะเร็งและลูกสาวคงหมดอนาคตที่จะมีบุตร ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะเพียงเอาเนื้อที่มีผมที่มีฟันอยู่ภายใน
ก้อนทั้งก้อนรังไข่นั้นออกเท่านั้น คนไข้ยังมีอาการครบสามสิบสอง เพราะรังไข่มีสองข้างเอาออกไปข้างหนึ่ง
ก็ยังเหลือทำพันธุ์ได้อีก
เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมามีเคสหนึ่งซึ่งอดแอบเก็บไปขำกันไม่ได้ คุณแม่อีกเช่นกัน
พาลูกสาวมาห้องฉุกเฉินดึกดื่นพร้อมกับท่าทางตกใจตื่นกลัว เรียกแพทย์พยาบาลให้มาช่วยลูกสาวด้วย
เธออธิบายแทนลูกสาวซึ่งนอนปวดคลุมผ้าห่มร้องดิ้นเป็นพักๆ ว่าลูกสาวเริ่มปวดท้องตอนหัวค่ำ
หลังทานอาหารเย็นก็เก็บตัวในห้องบ่นปวดท้องและเริ่มอาเจียนและถ่ายเหลว เพราะเห็นกระโปรงชุดนอน
เปียกไปหมด ดิ้นร้องไม่ได้หยุด คนป่วยเป็นหญิงสาววัยเรียน คุณแม่ตอบแทนลูกสาวหมดทุกคำถามที่หมอถาม
และเร่งให้หมอช่วยลูกสาวให้หายปวดด้วย คุณหมอก็รีบเข้าไปตรวจเนื่องจากเธอค่อนข้างอ้วน
เลยไม่ดูซูบเซียวเท่าไรนัก พอเข้าไปตรวจร่างกายคุณหมอก็ยิ้มออกทำเอาคุณแม่ของเธอประหลาดใจ
หมอต้องเข้าไปกระซิบว่า เธอปวดท้องคลอด คุณแม่จะได้หลานขอแสดงความยินดีด้วย
เท่านั้นคนดีเลยกลายเป็นคนป่วย เธอล้มลงเพราะไม่ทราบว่าลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่จะเกิดตั้งครรภ์
เธอย้อนคิดถึงอดีตเมื่อเธอฟื้นได้เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาลูกสาวมีพฤติกรรมแปลกๆ ค่อนข้างเก็บตัว
ก็เลยคิดว่าลูกเรียนหนักจะสอบและดูอ้วนขึ้นจึงไม่ได้สงสัย รายนี้เธอทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับได้
แต่ก็ลงเอยด้วยดี
อาการปวดท้องในสตรีนั้นค่อนข้างจะสลับซับซ้อนกว่าผู้ชายเพราะคุณเธอมีอวัยวะที่เพิ่มเติมขึ้นมา
ในช่องเชิงกราน คือ ตัวมดลูกและรังไข่ ซึ่งทั้งสองอวัยวะนี้มีการเปลี่ยนแปลงขนาดทุกรอบเดือน
ตามอิทธิพลของออร์โมนเพศหญิง การที่อวัยวะหนึ่งๆ มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีไดนามิกตลอด
จะเสี่ยงต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแต่ละหน่วยจะต้องมีการเคลื่อนย้าย
ถ่ายโอนหน่วยพันธุกรรมซึ่งเป็นหน่วยที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อนมาก
ถ้าขบวนการในการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนเกิดมีอะไรผิดปกติเพียงธาตุใดธาตุหนึ่งผิดที่ไปเท่านั้น
ก็จะก่อความผิดปกติออกมามากมายอย่างคาดไม่ถึงได้
ไม่เท่านั้นการที่อวัยวะสืบพันธุ์สตรีไปอยู่ในช่องท้องซึ่งต่างจากบุรุษเพศที่อยู่ภายนอก
ทำให้ลักษณะโครงสร้างทางกายภาพเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อเข้าสู่ช่องท้องได้ง่าย และเกิดผลแทรกซ้อนอื่นๆ
จากการทำหน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน เช่น การเกิดสภาวะพังผืดสะสมหรือเอนโดเมทริโอซิส
(Endometriosis) เหล่านี้จะทำให้เกิดพยาธิสภาพไม่เฉพาะของอวัยวะของตัวเอง ยังจะลุกลาม
ไปยังอวัยวะข้างเคียงซึ่งเกิดได้มากมายหลายรูปแบบเพราะในช่องเชิงกรานที่รังไข่และมดลูกอยู่นั้น
มีอวัยวะอื่นๆ ที่เกี่ยวพัน เช่น ลำไส้ตรง กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กบางส่วนที่ห้อยย้อยลงมา
ไส้ติ่ง ท่อไต ฯลฯ ที่กล่าวนั้นเป็นอวัยวะใกล้เคียง บางครั้งผลกระทบก็ไปเกิดกับอวัยวะที่อยู่ห่างออกไป
เช่น ตับ ถุงน้ำดี ในรายติดเชื้อไปที่กรวยไต ในลำไส้ กระเพาะส่วนบนฯ
ดังนั้นเวลาคุณสุภาพสตรีปวดท้องมาพบแพทย์ควรจะต้องเตรียมคำตอบเพื่อตอบหมอให้ได้มากที่สุด
เพื่อจะได้ช่วยให้การวินิจฉัยโรคได้แม่นยำเร็วที่สุดและเพื่อให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล
ดังนั้นการเตรียมตัวมาโรงพยาบาลสำหรับเรื่องปวดท้องในสตรีที่จะต้องปฏิบัติคือการสังเกตอาการผิดปกติ
และไม่ผิดปกติ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่แพทย์ผู้ดูแลจะต้องการคือ ประวัติโดยทั่วไปเฉพาะของสตรี หรือประวัติระดู
หรือเมนส์ต้องพยายามจำให้ได้ว่ามาครั้งสุดท้ายเมื่อไร ซึ่งทางแพทย์ต้องการวันแรกของระดูถ้าจำไม่ได้
ก็ให้บอกคร่าวๆ ว่าผ่านมากี่วัน ถ้าจำไม่ได้ก็กี่สัปดาห์ ถ้าไม่ได้อีกก็คร่าวๆ ว่าช่วงไหนของเดือน ต้นเดือน
กลางเดือน หรือปลายเดือน เท่านั้นไม่พอ หมอก็จะถามต่อว่าแล้วเดือนก่อนๆ มาเมื่อไรบ้าง
จุดประสงค์ก็เพื่อดูว่ามีการขาดระดูไหมเพราะต้องรู้ก่อนว่า มีสภาวะการตั้งครรภ์อยู่หรือไม่
เรื่องเมนส์หรือประจำเดือนนั้นเป็นยาดำสำหรับคนไข้กับหมอเลย
มากกว่าครึ่งจำไม่ได้ว่ามีมาเมื่อไร มากี่วันก็จะต้องจำเพื่อให้แพทย์ประเมินได้ว่าที่บอกกล่าวนั้น
อาจจะไม่ใช่ระดู ทางการแพทย์นั้นเมื่อสตรีเข้ามารับบริการจะต้องตั้งสมมิฐานเสมอว่ามี
การตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะโรคปวดท้องที่ร่วมกับการตั้งครรภ์นั้น บางโรคก่ออันตรายถึงชีวิต
ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรักษาได้เหมาะสม ที่น่ากลัวคือ ท้องนอกมดลูกหรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะตกเลือดในช่องท้องถึงชีวิตได้ คุณสุภาพสตรีจึงควรจดจำ
รอบระดูของตัวเองไว้บนปฏิทินก็จะดี อย่างน้อยก็ช่วยให้เกิดประโยชน์ข้างเคียง คือสามีก็จะได้รู้ว่า
ช่วงไหนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเป็นผลประโยชน์ทางอ้อม
ประวัติการคุมกำเนิดไม่ใช่ว่าพอมีการคุมกำเนิดแล้วจะไม่มีการตั้งครรภ์ แพทย์ก็จะซอกแซก
ถามต่อถึงวิธีที่ใช้เพราะบางคนแม้ใช้ยาคุมก็ใช้ไม่ถูกต้อง ลืมทานบ้างทานไม่ตรงเวลาบ้าง
ที่สำคัญคือมีท้องเสียร่วมขณะทานยา ยาเม็ดคุมกำเนิดก็จะไม่มีประสิทธิภาพ แม้ทานยาคุม
แต่ร่วมกับการทานยาปฏิชีวนะก็จะมีการรบกวนฤทธิ์ของยาคุม จึงไม่น่าแปลกใจที่มีไม่น้อย
ว่าทานยาคุมทุกวันแต่ตั้งครรภ์ได้ แม้ทำหมันแล้วก็ยังตั้งครรภ์ได้ ถ้าแพทย์ซักประวัติระดูแล้ว
สงสัยว่าน่าจะมีการตั้งครรภ์ก็จะต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อพิสูจน์การตั้งครรภ์
ยิ่งกลุ่มที่คุมกำเนิดตามธรรมชาติประเภทนับวันโอกาสพลาดค่อนข้างสูง โดยเฉพาะที่ใช้วิธีหลั่งข้างนอกคือ
เมื่อคุณผู้ชายถึงจุดสุดยอดก็ได้หลั่งน้ำกามข้างนอกช่องคลอดนั้น ท้องมามากต่อมากเพราะตัวอสุจิ
สามารถเล็ดลอดออกมาได้ก่อนที่จะมีการหลั่งน้ำกามด้วยเช่นกัน
พอหมดเรื่องระดูเรื่องคุมกำเนิดก็จะโดนถามด้วยคำถามซอกแซกต่อไปว่าบุตรกี่คน แต่งงานกี่ครั้ง
ทำงานอะไร จนคนไข้บางคนโกรธทางสีหน้า ซึ่งคงต้องเข้าใจแพทย์ว่าสิ่งที่ถามนั้นมีความสัมพันธ์กับกลุ่มโรค
อาชีพหนึ่งก็เสี่ยงต่อกลุ่มโรคหนึ่ง พวกนักร้อง พวกขายบริการ มีคู่นอนเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ทำแท้งบ่อยๆ
นั้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการจะเกิดโรคจากการติดเชื้อมากกว่าประเภทอื่นๆ ถ้าเป็นคุณครูก็ดี
พวกทำงานบริหารก็ดี จะเสี่ยงต่อกลุ่มโรคที่ไม่ใช่การติดเชื้อ
เคยมีสตรีผู้หนึ่งถูกนำมาโรงพยาบาลเพราะขณะยืนสอนหนังสือ (เธอเป็นครู) ต้องเอี้ยวตัวไปมา
พอเธอหันกลับหมุนตัวจากเขียนกระดานก็เกิดอาการปวดท้องและรุนแรงจนอาเจียน ขณะนอนพัก
ที่ห้องพยาบาลในโรงเรียนและอาการปวดไม่ทุเลาจนต้องนำส่งโรงพยาบาล เธอก็ถูกซักถามมากมาย
แต่เธอตอบได้กระจ่างด้วยอาชีพเธออยู่กับการถามตอบอยู่แล้ว ทำให้การตรวจรักษา
มุ่งไปที่โรคที่ไม่ใช่โรคติดเชื้อ
สุดท้ายการวินิจฉัยก็ออกมา เธอปวดท้องจากการบิดตัวของขั้วรังไข่ด้านซ้ายที่มีก้อนทุมถุงน้ำอยู่ภายใน
ต้องเข้ามารับการผ่าตัดในวันนั้น และ 5 วันต่อมา ก็ออกจากโรงพยาบาล
หมอหมัดแย็บซ้ายก็จะถูกหมัดแย็บของหมอต่อการเรียนในเรื่องประจำเดือนอีก
ถึงอาการข้างเคียงขณะมีระดู เช่น อาการปวดท้อง บวม หงุดหงิดฯ เพื่อประเมินสภาวะผิดปกติจากการเกิดระดู
เช่น พังผืด หรือถุงน้ำเลือดรังไข่ (Endometriosis) กลุ่มโรคนี้จะพบมากในสตรีที่มีการศึกษา มีการกินดีอยู่ดี
ถ้าปวดจนต้องกินหยูกยาประจำก็บ่งบอกถึงความรุนแรงของโรคและอาจจะเกิดผลแทรกซ้อน
นี่เพียงหมัดแย็บจากนั้นก็จะถึงหมัดสองตรง คือถึงอาการปวดซึ่งคำถามจะมาเป็นชุดๆ
ตำแหน่งที่ปวดจะเป็นคำถามต้นๆ พร้อมกับลักษณะการปวด บางโรคอาการปวดจะเริ่มอีกที่หนึ่ง
แล้วต่อมาก็จะย้ายหรือลามไปอีกตำแหน่งหนึ่ง เช่น ไส้ติ่งมักจะปวดตรงกลางและย้ายมาปวดที่ด้านขวาล่างๆ
จึงต้องคอยสังเกตว่าเมื่อเริ่มปวดนั้นปวดตรงส่วนไหนของท้องและต่อมาย้ายไปปวดที่ไหน
พอจบคำถามนี้ก็จะถามลักษณะการปวด ตรงนี้มักจะสับสนเพราะให้ความหมายไม่เหมือนหรือไม่ตรงกัน
ระหว่างแพทย์และคนไข้ ปวด? หรือเจ็บ? ปวดตื้อๆ ปวดเป็นพักๆ ปวดแปล็บๆ ปวดหน่วงๆ ปวดหนักๆ
สารพัดจะชนิดปวด บางหมอหรือแพทย์ต้องการข้อมูลลักษณะการปวด เพื่อมาจำแนกว่าพยาธิสภาพ
ที่เกิดการปวดนั้นเกิดจากการอุดกั้นอุดตันหรือเกิดจากการอักเสบ
เท่านั้นไม่พอจะถูกถามต่อถึงคุณลักษณะการปวดว่าปวดนั้นมากขึ้นหรือน้อยลงตามระยะเวลาที่ผ่านไป
และได้ปฏิบัติตัวอย่างไรเวลาปวด บางโรคปวดจะดีขึ้นเมื่อนอนงอตัว เช่น โรคที่มีการอักเสบของไส้ติ่งบางประเภท
บางโรคปวดพอทานยาแก้การบีบตัวของลำไส้ก็ทุเลา
บ้างปวดตอนท้องว่าง บ้างปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ฯ ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ในการที่หมอ
จะนำมาประมวลวิเคราะห์โรค
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น อาการร่วมที่มีขณะปวด เช่น คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายอุจจาระ เรียกว่า
ต้องสังเกตสิ่งขับถ่ายทั้งหลายทุกทวารที่ออกมารวมทั้งทางช่องคลอดด้วย คือ ลักษณะตกขาวจะถูกถามว่า
มีสีอะไร มีกลิ่นอย่างไร ปริมาณมากน้อยเท่าไร มีส่วนประกอบอย่างไรโดยเฉพาะถ้าท้องเสีย มีมูกปน?
มีเลือดด้วย! มีปริมาณมากน้อยถ่ายสุดหรือไม่ ถ้าตกขาวก็จะถูกซักไซ้เช่นกันถึงลักษณะสี กลิ่น ปริมาณ
อาการร่วม ดังนั้นคุณสุภาพสตรีทุกครั้งที่มีการขับถ่ายต้องสำรวจและเก็บข้อมูลไว้จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน
นี่เพียงคร่าวๆ ของขบวนการซักถามยังไม่ได้ลงมือตรวจร่างกายเพราะต้องเก็บข้อมูลมาประมวล
เพื่อจะได้วางขอบเขตของปัญหาได้ถูกต้อง และจะได้ตรวจร่างกายได้กระชับและรวดเร็ว
มีข้อแนะนำสำหรับคุณๆ ที่มีอาการปวดท้อง ไม่ว่ามากหรือน้อยถ้ามีแนวโน้มว่าจะปวดมากขึ้น
ควรที่จะงดรับประทานอาหารที่มีกาก หรืองดรับประทานอาหารเพราะจะช่วยให้
การตรวจร่างกายของแพทย์เป็นไปด้วยความแม่นยำและสะดวก ในขบวนการตรวจร่างกายนั้น
แพทย์ก็จะใช้ทักษะทั้งดู ฟัง (ด้วยเครื่องหูฟัง) คลำ และเคาะ ครบทุกขบวนการ ซึ่งอาจจะขัดเคือง
หรือเจ็บปวดบ้าง เพื่อเป็นการตีกรอบของปัญหาให้กระชับขึ้น อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนท่านอน
ในลักษณะต่างๆ เช่น นอนตะแคงด้านข้างสลับไปมา กดท้องบริเวณท้อง ยิ่งบริเวณที่แพทย์ต้องหาจุดปวด
จุดเกร็งของท้องอาจจะต้องตรวจในลักษณะที่อาจจะเพิ่มความเจ็บปวดเพื่อพิสูจน์จุดปัญหาหลักใหญ่
ใจความในการตรวจท้องก็เพื่อจะแยกว่าสภาวะผิดปกตินั้นเป็นทางศัลยกรรมหรือไม่
ถ้าเป็นซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดก็จะต้องมีการรับตัวไว้สังเกตอาการ
แต่ในสุภาพสตรีต้องเพิ่มเติมขั้นตอนที่สำคัญในการตรวจร่างกาย คือ การตรวจภายใน
อันนับว่าเป็นการตรวจที่สำคัญมาก เพราะอวัยวะสืบพันธุ์สตรีที่ก่อให้เกิดโรคได้มากมาย
เกี่ยวกับอาการปวดท้องนั้น อยู่ลึกในช่องเชิงกราน การตรวจทางหน้าท้องไม่สามารถตรวจพบ
ความผิดปกติได้จึงจำเป็นต้องตรวจภายในเท่านั้น และยังจะต้องเพิ่มเติมด้วยการตรวจทางทวาร
ซึ่งต้องปฏิบัติเสมอในรายปวดท้องมารับการรักษาในโรงพยาบาล
มีไม่น้อยที่พบว่าอาการปวดท้องที่รุนแรงจนต้องหามส่งโรงพยาบาลนั้นเกิดจากอุจจาระ
ไปอุดตันในลำไส้ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันพบกลุ่มโรคดังกล่าวมากขึ้น เพราะคุณสุภาพสตรีรักสวยรักงาม
ได้ขวนขวายซื้อยาหรืออาหารลดน้ำหนักที่โฆษณากรอกหูทุกวันว่าช่วยลดน้ำหนัก
เพราะอุดมไปด้วยเส้นใยต่างๆ แต่เนื่องจากทานน้ำไม่เพียงพอหรือมีสภาวะท้องผูก
เกิดการเกาะเป็นก้อนแข็งของเส้นใยอาหาร เกิดการอุดตันมีไม่น้อยที่ปล่อยไว้จนอาการรุนแรง
ถ้าได้รับการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนอาจจะถูกผ่าตัด ซึ่งปวดท้องดังกล่าวจากโรคนี้เพียงได้สวน
และให้ยาระบายก็แก้ไขได้ ในคนสูงอายุที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว โอกาสที่จะเกิดท้องผูก
จนกลายเป็นลำไส้อุดตันจากก้อนอุจจาระมีมากอยู่แล้ว ถ้าบริโภคอาหารเสริมที่มีเส้นใยปริมาณมาก
จะยิ่งก่อให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้นอีก
มีคนไข้รายหนึ่งน่าสนใจมาก มีอาการปวดท้องอาเจียนมากมาครึ่งวัน หลังทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว
ตอนบ่ายก็ทานยาผงชนิดหนึ่งซึ่งโฆษณาว่าใช้ผสมน้ำทานเพื่อเป็นการลดน้ำหนักเพราะเป็นกากเส้นใยอาหาร
ที่ดัดแปลงเมื่อนำมาผสมน้ำดื่ม เนื่องจากอยากให้ผอมเร็วจึงใส่ 2 ซองแทนที่จะใส่ซองเดียวผสมน้ำ 1
แก้วแล้วดื่ม หลังจากนั้น 4 ชั่วโมงก็มีอาการปวดท้องอาเจียนตลอดมา จนอ่อนเพลียต้องนำส่งโรงพยาบาล
ในตอนตี 3 ของคืนนั้น พอเข้ามาในห้องฉุกเฉินแพทย์ตรวจพบว่า มีการอุดตันของทางเดินอาหาร
และให้น้ำเกลือเตรียมจะตรวจเอกซเรย์ขณะเข็นเปลไปยังห้องเอกซเรย์คงจะกระเทือน
ก็เกิดอาเจียนออกมาจำนวนมาก ปรากฏว่ามีก้อนลักษณะเหนียวคล้ายยางรูปกลมรีหลุดออกมา
คือก้อนยาที่ละลายน้ำดื่มเข้าไปตอนบ่ายนั่นเอง หลังจากนั้นอาการก็หายเป็นปลิดทิ้ง
การตรวจเอกซเรย์ก็ไม่พบความผิดปกติอื่นๆ และกลับบ้านได้ในตอนเช้านั่นเอง
ในขบวนการตรวจร่างกายทั้งฟังทั้งเคาะนั้น แพทย์จะพยายามแยกเสี่ยงที่ตรวจพบว่าเป็นลักษณะใด
เสียงลำไส้ทำงานมากหรือไม่ทำงาน เสียงลมเสียงของเหลวในลำไส้ เหล่านี้เมื่อมีการเคลื่อนไหว
ก็จะให้เสียงต่างกันออกมา ในบางครั้งอาจจะต้องทำการตรวจเพิ่มเติมจากการใช้เครื่องมือเพิ่มเติม
เช่น ใส่สายยางเข้าไปในทางเดินอาหารเพื่อดูดเอาของเหลวมาตรวจดู หรือในรายที่สงสัยว่า
จะมีเลือดออกในช่องท้องก็จักต้องเจาะตรวจโดยใช้เข็มเจาะ ในเพศชายก็จะเจาะผ่านทางหน้าท้อง
แต่ในคุณสุภาพสตรีมักเจาะผ่านทางช่องคลอด โดยเฉพาะในสภาวะท้องนอกมดลูกเมื่อได้เลือดแล้ว
ก็บ่งบอกว่าเป็นสภาวะทางศัลยกรรมคือ ต้องผ่าตัดทันที
การตรวจที่กล่าวมานั้น 70-80 เปอร์เซ็นต์สามารถที่จะให้การวินิจฉัยได้ แต่บางครั้งก็อาจจะต้อง
มีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์หรือตรวจเลือด
เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน
ในสตรีนั้นอาการปวดท้องเป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ถึงเกือบครึ่งของผู้มาใช้บริการ
มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องการการตรวจพิเศษและรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรคุณสุภาพสตรี
ก็ควรจะได้เพิ่มความสนใจสังเกตตัวเองให้มากขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง
นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|