นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ
ยาเม็ดคุมกำเนิดคือยาที่กินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์
คือโปรเจสโตเจนหรือโปรเจสติน ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสโตโรนตามธรรมชาติ
กับฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจน
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบ่งเป็นสองชนิดใหญ่ๆ คือ
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptions)
1.1 monophasic or fixed dose pill
1.1.1 high dose
1.1.2 low dose
1.1.3 ultralow dose
1.2 multiphasic pills
1.2.1 biphasic
1.2.2 triphasic
2. ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีแต่ โปรเจสโตเจน
2.1 low dose progestogen
2.2 high dose progestogen
|
รายละเอียดยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิด
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (combined oral contraceptions)
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมคือในหนึ่งเม็ดมีทั้ง เอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ
กลุ่มที่มีปริมาณเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนเท่ากันทุกเม็ด เรียก monophasic หรือ fixed dose pill
กับอีกกลุ่มคือ multiphasic คือในแต่ละเม็ดจะมีฮอร์โมนไม่เท่ากัน
1.1 monophasic or fixed dose pill
ยาคุมแต่ละเม็ดจะมีเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในขนาดเท่ากันทุกเม็ดเหมือนกันทุกเม็ดในหนึ่งแผง
จะมี 21 เม็ด แต่ถ้ามี 28 เม็ด ก็แปลว่า 7 เม็ดสุดท้ายไม่มีตัวยาฮอร์โมน (ใน21เม็ดแรกจะกินเม็ดไหนก่อนก็ได้
แต่ให้ดีกินเรียงไปตามลูกศรจะดีกว่า กันสับสน)
1.1.1 ยาคุมที่มีฮอร์โมนในปริมาณสูง คือมี เอสโตรเจน 50 ไมโครกรัมหรือมากกว่านั้น
รวมทั้งปริมาณโปรเจสโตเจนก็มีมากด้วย ยาคุมในกลุ่มนี้ หมอมักไม่ค่อยจ่ายให้คนไข้เพื่อการคุมกำเนิด
แต่จะใช้เพื่อรักษาอาการทางนรีเวช ดังตัวอย่างยาในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนสูง (high dose)
ชื่อยาเม็ดคุมกำเนิด |
ชนิดและขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์/เม็ด |
ขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์ทั้งแผง 21 เม็ด |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Ovulen | M100 |
Ethynodiol Diacetate 1000 |
2,100 |
21,000 |
Lyndiol | M75 |
Lynestrenol 2500 |
1,575 |
52,500 |
Anovlar | EE50 |
Norethisterone Acetate 4000 |
1,050 |
84,000 |
Gynovlar | EE50 |
Norethisterone Acetate 3000 |
1,050 |
63,000 |
Minilyn | EE50 |
Lynestrenol 2500 |
1,050 |
52,500 |
Ovostat | EE50 |
Lynestrenol 1000 |
1,050 |
21,000 |
Eugynon, Ovral | EE50 |
Nogestrel 500 |
1,050 |
10,500 |
Norinyl, Noriday | M50 |
Norethisterone Acetate 1000 |
1,050 |
21,000 |
Microgynon ED50 | EE50 |
Levonorgestrel 125 |
1,050 |
2,625 |
คำย่อ ED= Every Day, EE= Ethinyl Estradiol, M=Mestranol |
1.1.2 ยาคุมที่มีฮอร์โมนในปริมาณต่ำ คือมีเอสโตรเจนน้อยกว่า 50 ไมโครกรัม
และปริมาณโปรเจสโตเจนก็น้อยกว่าแบบแรก คือมีเอสโตรเจนเพียง 30 หรือ 35 ไมโครกรัมเท่านั้น
ยาคุมกลุ่มนี้ใช้กันมากที่สุด ตามตัวอย่างในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนต่ำ (low dose)
ชื่อยาเม็ดคุมกำเนิด |
ชนิดและขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์/เม็ด |
ขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์ทั้งแผง |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Diane-35 |
EE 35 |
Cyproterone acetate 2000 |
735 |
42,000 |
Microgynon ED30, Nordette, Microgest |
EE 30 |
Levonorgestrel (LNG) 150 |
630 |
3,150 |
Marvelon , Prevenon |
EE 30
|
Desogestrel (DG)150
|
630
|
3,150
|
Minulet, Gynera |
EE 30
|
Gestodene(GSD) 75
|
630
|
1,575
|
1.1.3 ยาคุมที่มีฮอร์โมนในปริมาณต่ำมาก คือมีเอสโตรเจนเพียง 20 ไมโครกรัม ยาในกลุ่มนี้มีข้อดีคือ
มีเอสโตรเจนต่ำ จึงมีอาการข้างเคียงจากเอสโตรเจนน้อย แต่ก็มีข้อเสียคือ อาจทำให้มีเลือดออกกระปริบกระปรอย
หรือรอบเดือนอาจขาดหายไปเลย และถ้าลืมกินเมื่อไหร่ โอกาสที่จะตั้งครรภ์มีสูงกว่าแบบที่สอง
ที่มีจำหน่ายในเมืองไทยขณะนี้มี 2 ยี่ห้อ ดังตัวอย่างตารางที่ 3
ตารางที่ 3 ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนต่ำมาก (ultralow dose)
ชื่อยาเม็ดคุมกำเนิด |
ชนิดและขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์/เม็ด |
ขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์ทั้งแผง |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Mercilon |
EE 20 |
DG 150 |
420 |
3,150 |
Meliane |
EE 20 |
GSD 75 |
420 |
1,575 |
1.2 multiphasic pills คือยาคุมที่มีทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน แต่ในแต่ละเม็ด
จะมีปริมาณฮอร์โมนไม่เท่ากัน เท่าที่มีการผลิตและจำหน่ายในตลาด เป็นแบบฮอร์โมน 3 ระดับ
เรียกว่า triphasic หรือ three steps pills ตามตัวอย่างยาในตารางที่ 4 ยาคุมประเภทนี้ต้องกินเรียงตามลำดับ
ห้ามแซงคิวโดยเด็ดขาด
ตารางที่ 4 ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนไม่เท่ากัน (multiphasic pills)
ชื่อยาเม็ดคุมกำเนิด |
ชนิดและขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์/เม็ด |
ขนาดของฮอร์โมนสังเคราะห์ทั้งแผง |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Estrogen (ไมโครกรัม) |
Progestogen (ไมโครกรัม) |
Triquilar |
EE (30x6) +(40x5) + (10x30) |
LNG (50x6) + (75x5) +(10x125) |
680 |
1,925 |
Trinordiol |
EE (30x6) +(40x5) + (10x30) |
LNG (50x6) + (75x5) +(10x125) |
680 |
1,925 |
คำย่อ LNG=Levonorgestrel |
2. ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่มีแต่โปรเจนโตเจน
ยาคุมในกลุ่มนี้ไม่มีเอสโตรเจน มีแต่โปรเจสโตเจน เรียก microdose คือมีโปรเจสโตเจนปริมาณน้อย
มีปริมาณฮอร์โมนเท่ากันทุกเม็ด แต่ละแผงจะมี 35 เม็ด ดังตัวอย่างในตารางที่5 ยาคุมชนิดนี้ไม่มีอาการข้างเคียง
ของเอสโตรเจน ไม่มีผลต่อคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไม่มีอาการข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
เช่นความดันโลหิตสูง แต่ยาคุมแบบนี้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำ เพราะการระงับไข่ตกไม่แน่นอน
ถ้าเกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา โอกาสที่จะเป็นท้องนอกมดลูกจะสูงกว่าคนปกติทั่วไป
ยาคุมอีกชนิดในกลุ่มนี้คือ ยาคุมที่มีโปรเจสโตเจนในปริมาณสูง คือ levonorgestrel ในขนาด 0.75 มิลลิกรัม
เท่าที่มีขายในเมืองไทยมี 2 ยี่ห้อ คือ postinor กับ madonna เรียกยาคุมประเภทนี้ว่า ยาคุมฉุกเฉิน
ให้กินทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น 12 ชั่วโมงกินอีกเม็ดที่เหลือ
ใช้ยานี้ในกรณีที่การคุมกำเนิดวิธีอื่นแล้วเกิดผิดพลาดเช่นถุงยางอนามัยแตก รั่ว หรือถูกข่มขืน
ตารางที่ 5 ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนชนิด microdose
ชื่อยาคุมกำเนิด |
ชนิดของProgestogen |
ปริมาณโปรเจสโตเจน (มิลลิกรัม) |
microlut |
levonorgestrel |
0.030 |
exluton |
lynestrenol |
0.5 |
ovrette |
levonorgestrel |
0.075 |
- ยาคุมทำให้ไม่ท้องได้อย่างไร
1. ยับยั้งไข่ตก เมื่อไข่ไม่ตก ก็ไม่มีไข่ให้อสุจิไปผสม ก็ไม่ท้อง
2. เปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมที่ไข่ที่ผสมแล้วจะฝังตัว
3. เปลี่ยนแปลงสภาพของมูกที่ปากมดลูก ให้เป็นด่าง และเหนียวข้นขึ้น
ทำให้อสุจิผ่านเข้าไปในมดลูกได้ยาก
4. เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของท่อนำไข่ ทำให้ไข่ที่ผสมแล้วเดินทางเร็ว
ไปถึงมดลูกเร็วเกินไปจนไม่สามารถฝังตัวได้
ถ้าไม่สะดวกที่จะพบแพทย์ก็สามารถซื้อยามากินเองได้ แต่ต้องศึกษาให้รู้จริง และเมื่อใช้ไป 12-18 เดือน
ควรจะได้พบแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพสักครั้ง
เมื่อจะจ่ายยาคุมให้คนไข้ ผมจะพิจารณาองค์ประกอบดังนี้
1. เป็นผู้หญิงแบบไหน (ประเทืองไม่เกี่ยว) ผู้หญิงทั่วไปจะมีภาวะของฮอร์โมนในตัวไม่เหมือนกัน บางคนก็ผิวเนียน บางคนก็ขนดก บางคนก็อ้วน บางคนต้องดูให้ดีๆจึงจะรู้ว่าเป็นผู้หญิง ทั้งนี้ก็ขึ้นกับภาวะฮอร์โมนของแต่ละคนว่ามีแนวโน้มไปทางไหน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสามประเภท
- ประเภท estrogenic
- มีรอบเดือนออกมาก และออกนานกว่า 6 วัน
- ระยะรอบเดือนสั้น มักจะน้อยกว่า26วันต่อครั้ง(มาเร็ว)
- รูปร่างท้วมหรืออ้วน
- ไม่ค่อยมีขนตามตัว
- ประเภทปกติ
- มีรอบเดือนสม่ำเสมอ ปริมาณเลือดไม่มากไม่น้อย 4-6 วัน
- น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ประเภท progestonic
- รอบเดือนมีเลือดน้อยไม่ค่อยเปลืองผ้าอนามัย มาน้อยกว่า 4 วัน
- ระยะรอบเดือนยาว บางคนกว่า30วันจึงจะมา(เลื่อนออกไปบ่อยๆ)
- รูปร่างออกไปทางผู้ชาย
- เต้าเล็ก
- มีขนตามตัว
- เป็นสิวบ่อยๆ
|
ถ้าเป็นประเภทแรกก็ต้องพิจารณาให้ยาคุมที่มี progestogen มากหน่อย ถ้าเป็นประเภทไปทางแต๋วหรือ progestogen ก็ต้องเลือกยาคุมที่มี estrogen มากหน่อย
2. ถ้ามีลูกแล้ว ก็ต้องดูว่าตอนท้องแพ้ท้องมากหรือเปล่า เช่นคลื่นไส้ อาเจียน หรือบวม แสดงว่าตอบสนองต่อเอสโตรเจนมาก ก็ต้องเลือกยาคุมที่มีเอสโตรเจนน้อย แต่ถ้าท้องแล้วอ้วนมาก และมีสิวมากแสดงว่าตอบสนองต่อ โปรเจสโตเจน และแอนโดรเจนมาก ก็เลือกยาคุมที่มี โปรเจสโตเจนน้อยหน่อย กรณีนี้ Dian )เป็นตัวเลือกแรก
3. อายุ ถ้าอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่แนะนำให้กินยาคุมเพราะอาจทำให้ตัวเตี้ยได้ มักจะลืมกินบ่อยๆ และแรงกระตุ้นให้กินอย่างส่ำเสมอก็ไม่มีจึงทำให้การคุมกำเนิดล้มเหลวได้ง่าย
ถ้าอายุมากกว่า 40 ปี ก็ไม่แนะนำให้กินยาคุมกำเนิด แนะนำให้ใช้วิธีฉีดยาคุมกำเนิดหรือใส่ห่วงอนามัยจะดีกว่า แต่ถ้ายืนยันจะกินยาคุม ก็เลือกยาคุมที่ไม่มีเอสโตรเจนหรือมีเอสโตรเจนน้อย จะได้ไม่มีผลต่อโรคหัวใจและระบบหลอดเลือด
4. แม่ลูกอ่อน ถ้ากำลังให้นมลูก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาจเลือกแบบไม่มีเอสโตรเจน หรือถ้ามีเอสโตรเจนก็ไม่เกิน 20 ไมโครกรัม แต่เมื่อหยุดให้นมลูกแล้วก็เปลี่ยนกลับมากินแบบปกติได้ เพราะเอสโตรเจนขนาดสูงอาจมีผลให้ปริมาณน้ำนมลดลงได้ และฮอร์โมนเอสโตรเจนออกทางน้ำนม อาจทำให้เด็กตาเหลืองได้ เริ่มกินได้ตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอด
ยาคุมทุกชนิด แผงแรกเม็ดแรกให้เริ่มกินภายใน 5 วัน นับจากวันแรกที่มีรอบเดือน
มิฉะนั้นจะยับยั้งไข่ตกไม่ทันในรอบนั้น ยกเว้นยาคุมแบบ 20 ไมโครกรัมควรเริ่มตั้งแต่วันแรกที่รอบเดือนมา
เมื่อเริ่มกินยาคุมแล้ว ก็สามารถมีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่แผงแรกทันที ไม่ต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นช่วย
ทั้งสามารถหลั่งภายในช่องคลอดได้เลย และไม่ต้องไปนับวันปลอดภัย (7หน้า 7 หลัง)อีกต่อไป
เมื่อเริ่มกินยาคุมแล้ว ให้กินไปเรื่อยๆเรียงไปตามลูกศร ระหว่างกำลังกินยา
ถ้ารอบเดือนมากระปริบกระปรอยก็ไม่ต้องหยุดยา เดินหน้ากินต่อไปเรื่อยๆ จนหมดแผง
หมดแผงแล้ว ถ้าเป็นแบบ 28 เม็ดวันรุ่งขึ้นให้กินแผงใหม่ต่อทันที ไม่ต้องรอรอบเดือน
ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา รอบเดือนจะหยุดหรือไม่หยุดก็ตาม ถ้าเป็นแบบ 21 เม็ดหมดแผงแล้ว
(ปกติหมดเม็ดที่ 21 แล้ว อีก 2-3
วันรอบเดือนก็จะมา) เว้นไม่กิน 7 วัน เมื่อครบ 7 วันที่ไม่กินแล้ว วันที่ 8 ให้เริ่มแผงใหม่ทันที
ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา รอบเดือนจะหยุดหรือไม่หยุดและระหว่างที่ไม่กินยา 7 วันนั้น
ก็สามารภมีเพศสสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลว่าจะตั้งครรภ์
- กรณีปกติทั่วไป รอรอบเดือนมาก็กินได้ทันที
- กรณีหลังคลอดบุตร โดยปกติหลังคลอดบุตร 6 สัปดาห์ไข่ก็จะตกเป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงควรเริ่ม 4-6 สัปดาห์หลังคลอด แต่ถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็อาจเริ่มกินช้ากว่านี้ได้
- กรณีแท้งบุตร
- ถ้าท้องน้อยกว่า 12 สัปดาห์ (3 เดือน) จะมีไข่ตกทันทีในรอบเดือนถัดมา ดังนั้นต้องเริ่มกินทันทีหลังแท้ง
- แต่ถ้าแท้งเมื่อท้องได้ 12-28 สัปดาห์ (3-7 เดือน) ไข่จะตกราว 3 สัปดาห์หลังแท้ง จึงควรกิน ภายในสัปดาห์แรกหลังแท้ง
1. ถ้าลืมกิน นึกได้เมื่อไหร่ ให้ไปหยิบเม็ดที่ลืมมากินทันที (เท่ากับกินเม็ดนั้นช้าไปหน่อย)
ห้ามผัดวันอีกต่อไป แล้วกินเม็ดถัดมาตามเวลาที่เคยกิน แต่ถ้านึกได้ในเวลาที่ต้องกินอีกเม็ด
ก็กินสองเม็ดควบเลย
2. ในกรณีที่ลืมกิน 2 เม็ด ให้กิน 2 เม็ดที่ลืม แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นกินอีก1เม็ด เย็นนั้นกิน 1 เม็ด
เช้าวันรุ่งขึ้นกินอีกเม็ด (เพิ่มตอนเช้า สองเช้า เช้าละเม็ด) กรณีเช่นนี้อาจทำให้รอบเดือนมากระปริบกระปรอยได้
และถ้าลืมในช่วง 1 7 เม็ดแรก โอกาสพลาดอาจเกิดขึ้นได้ จึงต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นช่วย เช่น
ถุงยางอนามัย แต่ถ้าลืมในช่วงท้ายๆหรือจะหมดแผงก็ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไหร่
3. ถ้าลืมกิน 3 เม็ด ก็จบเลยครับ หยุดยา รอให้รอบเดือนมา แล้วเริ่มแผงใหม่ภายใน 5 วัน
นับจากวันแรกที่มีเลือด
4. ถ้ากินยาแล้วอาเจียน ถ้าอาเจียนหลัง 2ชั่วโมงไปแล้วก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง
ก็ต้องกินซ้ำอีกเม็ด ถ้าเป็นแบบที่มีฮอร์โมนเท่ากันทุกเม็ด จะกินเม็ดไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบ triphasic คือ
แต่ละเม็ดมีฮอร์โมนไม่เท่ากัน ก็ต้องซื้ออีกแผงมาเสริมเม็ดที่อาเจียนออกไป (กินตรงเม็ดที่อาเจียน)
5. กรณีท้องเดินหลายวัน การดูดซึมของยาจะไม่ดี ควรใช้การป้องกันวิธีอื่นช่วยด้วย
(กรณีเช่นนี้อาจมีเลือดออกกระปริบกระปรอยได้)
- อาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดและการแก้ไขด้วยตนเอง
1. คลื่นไส้อาเจียน เป็นผลจากฮอร์โมนเอสโตรเจน มักเกิดในช่วง 2-3 เดือนแรก
แก้ไขโดยกินทันทีหลังอาหารเย็น
2. เลือดออกกระปริบกระปรอย แก้ไขโดยการกินยาเวลาใกล้เคียงกันที่สุดในทุกวัน
แต่ถ้าใช้ยาคุมชนิดที่มีเอสโตรเจนต่ำอยู่ (เช่น 20 ไมโครกรัม) ให้เปลี่ยนเป็นแบบที่มีเอสโตรเจนมากขึ้น
เช่น แบบ 30 ไมโครกรัม
3. น้ำหนักตัวเพิ่ม แก้ไขโดยการใช้ยาคุมชนิดเอสโตรเจนต่ำกว่า แต่ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่ม
มากกว่า 5 กิโลกรัม และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คงต้องพิจารณาเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
4. ความดันโลหิตสูงขึ้น แก้ไขโดยการลดปริมาณเอสโตรเจน จาก 30 ไมโครกรัม
ให้เหลือแบบ 20 ไมโครกรัม และต้องหมั่นตรวจวัดความดันโลหิตบ่อยๆ
5. หน้าเป็นฝ้า ถ้าเริ่มเป็นฝ้า ก็คงต้องพิจารณาใช้ยาที่มีเอสโตรเจน 20 ไมโครกรัม
พร้อมกับการรักษาฝ้า ยากันแดด หลีกเลี่ยงแดด และถ้ายังเป็นอยู่ ก็ต้องพิจารณาเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
6. อาการปวดศีรษะ ถ้าปวดเล็กน้อยก็กินยาแก้ปวด แต่ถ้าเป็นการปวดแบบไมเกรน
ที่มีอาการปวดหัวข้างเดียว ก็ต้องหยุดยา
7. รอบเดือนมากระปริบกระปรอย หรือขาดระดู มักเป็นกับคนที่ใช้ยาคุมแบบ 20 ไมโครกรัม
ให้เปลี่ยนไปใช้แบบ 30 ไมโครกรัมแทน
8. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่นอาการซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นผลจากโปรเจสโตเจนสูง
ถ้ามีอาการมาก คงต้องปรึกษาแพทย์
กรณีที่กินยาคุมติดต่อกันมานาน (เช่นเป็นปีๆ) แล้วมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
1. ปวดหัวมาก รุนแรง ซึ่งอาจเป็นเรื่องความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก หรือไมเกรนก็ได้
2. ปวดท้องรุนแรง อาจเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดของลำไส้
3. ตาพร่า ตามัว เห็นภาพผิดปกติ อาจเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดในตา
4. เจ็บหน้าอกมาก อาจเกิดจากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน
5. ปวดน่องอย่างรุนแรง เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณนั้น
6. อาการตาเหลือง เกิดจากตับอักเสบ
7. รอบเดือนขาดนาน 3 เดือนติดต่อกัน
8. ความดันโลหิตสูงมากๆ
9. โรคภูมิแพ้ที่มีอาการกำเริบมากขึ้น เช่นโรคหอบหืด
ที่ว่ามาข้างต้นไม่ใช่อาการที่เกิดบ่อยๆ โอกาสเกิดน้อยมาก แต่เกิดแล้วรุนแรง
จึงบอกกล่าวเตือนให้ระลึกไว้เท่านั้น
|