|
|
โรคที่กำลังระบาดในหมู่คนไทยยุคมิลลินเนี่ยมที่หุ้นตก
ค่าเงินบาทหล่น คือ "โรคชัก" ที่หมอรักษาไม่ได้เพราะโรคชักหน้า
ไม่ถึงหลังเป็นกันมากจนต้องเรียกว่า ระบาดกันได้เลย
ในหมู่มนุษย์เงินเดือนที่หัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่ง
บัญญัติศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่เป็น "บรรทัดฐาน" โรคนี้แม้ในหมอก็
เป็นแต่มักเป็นในหมอหนุ่มๆ ที่ทำรังเกินตัว ชอบใช้รถใหม่
ชอบบ้านใหญ่ พวกมือเติบก็มักจะติดต่อโรคนี้ได้เช่นกัน
โรคนี้มักจะเป็นเรื้อรัง คือ ใช้เวลานานในการแก้ไข
|
ควรรักษาโรคนี้แทนที่จะอยู่สงบ อยู่นิ่ง เพื่อให้ร่างกายมีการซ่อมแซมกลับต้องขยันมากขึ้นบริโภคน้อยน้อย
จึงจะดีขึ้นหรืออาจจะหาย
ในยุคฟองสบู่แตกโรคนี้ลุกลามจากคนชั้นรายได้น้อยสู่ระดับเศรษฐีติดต่อกันทั้งประเทศ
ทำเอาประเทศเกือบจะล่มจม ต้องให้หมอดอกเตอร์ IMF มาช่วยค่อยทุเลา ตรงกันข้ามกับโรคที่กล่าวมา
มีโรคชักเช่นกันแต่เกิดขึ้นเฉียบพลัน คือเกิดรวดเร็วปุ๊ปปั๊ปเกิดได้เลย และเกิดเฉพาะในสตรีที่ตั้งครรภ์
ในเมืองไทยนับเป็นสาเหตุของการตายในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีผลต่อทั้งแม่และลูก
ที่สำคัญโรคนี้ป้องกันได้ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ในโรงพยาบาลที่ปฏิบัติงานอยู่นี้จะพบได้ปีละหลายราย
ซึ่งมีแนวโน้มลดลงบ้างแต่ก็ยังไม่น่าพอใจ ควรที่จะไม่พบเลยเพราะเป็นโรคที่ป้องกันได้
เมื่อไม่กี่วันมานี้พบหนึ่งรายเป็นสตรีครรภ์ที่หนึ่งคือ ตั้งครรภ์ครั้งแรก เธออายุ 24 ปี แต่งงานได้ 3 ปี
ก็ปล่อยให้ตั้งครรภ์ มีอาชีพรับจ้างอยู่โรงงานทอผ้า สามีก็อยู่โรงงานเดียวกัน คงเคยได้ฟังเพลงฉันทนา
หรือสาวโรงงาน ซึ่งสะท้อนชีวิตสาวในโรงงานโดยเฉพาะ โรงงานทอผ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มาบูม
ในประเทศไทยหลังจากญี่ปุ่นโละอุตสาหกรรมดังกล่าวออกจากประเทศ เพราะสิ้นเปลืองแรงงานมาก
ภาษาฝรั่งเรียกชนิดของโรงงานประเภทนี้ว่า "Labor Intensive" คือใช้แรงงานมากในหน่วยการผลิต
สำหรับประเทศด้อยพัฒนาที่แรงงานโดยเฉพาะสตรีมีมากและราคาค่าแรงถูก เครื่องจักรทำงานตลอดเวลา
คนงานเลยต้องมี 3 กะบ้าง 2 กะบ้างเข้ามาหมุนเวียนกัน
กล่าวได้ว่ามีงานให้ทำทั้งโอที (O.T.) และโอแถมมากมาย ถ้าขยันก็สามารถกอบโกยสร้างฐานะขึ้นมาได้
จึงมีแรงงานสตรีอพยพจากท้องไร่ท้องนาเข้าสู่สังคมโรงงานมีชีวิตครอบครัวกันในโรงงาน เรียกได้ว่า
โรงงานคือทุกๆ อย่าง เมื่อตั้งครรภ์ก็ต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว
ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงยิ่งต้องขยันเก็บหอมรอบริม เมื่อเธอตั้งครรภ์เธอได้รับคำแนะนำจากหมอโรงงาน
ให้มาฝากครรภ์ แล้วเธอก็เข้าสู่กระบวนการดูแลฝากครรภ์
2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์เธอแพ้ท้องเอาการ แพทย์ได้ให้ยารักษาแก้ไข้
แต่เธอก็ไม่ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ยังคงทำงานทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ การทำงานที่ต้องเข้ากะสลับไปมา
ทำให้เธอไม่สามารถมาฝากครรภ์ ได้อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด หลังจากหายไป 3 เดือน
เธอก็มาพบแพทย์ด้วยอาการบวม อ่อนเพลีย จากการตรวจพิเคราะห์โรคก็พบว่าเธอเริ่มมีอาการ
ของโรคพิษแห่งครรภ์ ฟังดูทะแม่งๆ แต่เป็นภาษาหมอที่ทางราชการยอมรับกัน แม้จะฟังดูไม่ค่อยเข้าใจ
แต่บ่งบอกสมมติฐานของโรคได้ตรงเป้าเลย คือ พิษหรือโรคที่เกิดจากการตั้งครรภ์ พอสิ้นสุดการตั้งครรภ์
ไม่ว่าจะแท้งหรือคลอด ความผิดปกตินี้จะดีขึ้นมาเอง คือหายได้เอง ซึ่งก็บ่งบอกเลยว่าเป็นพิษ
จากการมีท้องตามภาษาชาวบ้าน
และความดันโลหิตสูงนี้ก็ไม่เหมือนกับความดันโลหิตสูงอย่างที่เข้าใจกัน อย่างที่พบในคนสูงอายุ
โดยเฉพาะพวกที่อ้วนไขมันมากๆ พวกที่อยู่ดีกินดีหรือพวกมีอันจะกินมักเป็นกันมาก
แต่ปัจจุบันลิขสิทธิ์โรคความดันไม่ได้จำกัดอยู่กับกลุ่มฐานะดีเท่านั้น ยังเผื่อแผ่มาถึงพวกหาเช้ากินค่ำด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอย่างประเทศไทยเราที่มีของกินให้เลือกซื้อทั่วทุกหัวระแหง
ยิ่งยุค IMF แม่ค้ายังบ่นเพราะคนขายของกินมากกว่าคนซื้อ คนไทยจนเงินแต่ไม่จนของรับประทาน
ฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยแล้วไม่อยากกลับ ถึงกับให้ฉายาเมืองไทยเพิ่มเติมว่า Fruit Land (ไม่ใช่ Foot Land)
ลำใยเอย เงาะเอย หรือแม้แต่ลิ้นจี่ มีเงิน 2 ดอลล่าร์ ซื้อรับประทานได้เป็นกิโล ไม่มีที่ใดในโลกที่จะพานพบได้
จึงมีคนกล่าวว่าหากไม่เคยไปนอกเลยจะไม่รู้ว่าสวรค์จริงๆ อยู่ที่ประเทศไทยเรานี่เอง
การเกษตรที่พัฒนาก้าวหน้าก็เกิดผลพวงของทุโภชนาการ จนคนไทยเราเป็นโรคไขมัน
ในโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งโรคเบาหวาน ความดัน และลงท้ายด้วยเส้นเลือดอุดตัน
อุบัติการโรคเบาหวานและความดันจึงสูงมาก จนเป็นสาเหตุการตายอันดับสองรองจากอุบัติเหตุแซง
โรคติดเชื้อมาหลายสิบปีแล้ว ประเภทของโรคที่เป็นกันในหมู่ประชากรก็เป็นเครื่องบ่งชี้หน้าตาของประเทศด้วย
ถ้าประเทศด้อยพัฒนาก็จะตายด้วยโรคติดต่อ (คือโรคที่เกิดจากเชื้อโรค) มาก
ถ้าประเทศเจริญก็จะตายด้วยโรคไม่ติดต่อ ถ้าเป็นกลุ่มโรคหัวใจ โรคความดันล่ะก็เจ๋ง
แสดงว่าพัฒนาไปมาก ไทยเราก็เลยติดอันดับประเทศที่กำลังพัฒนาเขยิบขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะได้สมญา
เสือแห่งเอเชีย พอปี 2539 ก็กลายเป็นเสือตกภูเขาบาดเจ็บบอบช้ำจนกลายเป็นแมว
ที่ว่าโรคความดันสูงชนิดพิษแห่งครรภ์แตกต่างจากความดันโลหิตสูงทั่วๆ ไป ซึ่งเกิดจากท่อเลือดตีบ
เพราะไขมันไปจุกหรือเกาะผนังท่อเลือด เหมือนตะกรันที่เกาะในท่อปะปาทำให้รูท่อเลยแคบ
ปั๊มน้ำคือหัวใจก็เลยต้องออกแรงปั๊มมากต้องใช้แรงดันสูงๆ เพื่อดันเลือดส่งผ่านไปยังทั่วร่างกาย
พอปั๊มทำงานหนัก นานเข้าก็จะเสีย หัวใจก็เช่นกันจะออกแรงขับดันเลือด นานเข้าหัวใจก็จะโตและวายในที่สุด
ในกรณีครรภ์พิษ ท่อน้ำเลือดที่ตีบเกิดจากท่อเลือดหดตัว เพราะมีสารเคมีที่เกิดจากการตั้งครรภ์
ไปกระตุ้นให้ร่างกายผู้เป็นแม่สร้างสารที่ทำให้เส้นเลือดบีบรัดหดตัว ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลง
ของเยื่อบุผิวเส้นเลือดทำให้มีการไหลซึมออกของน้ำเลือดไปนอกเส้นเลือดและไปคั่งค้างตามเนื้อเยื่อต่างๆ
ทำให้มีการบวมเกิดขึ้น โดยเฉพาะตามแขนขาและบริเวณหน้าจะเห็นชัดเจน บางครั้งจะบวมจนตาปิด
อาการบวมนี้จะเป็นอาการนำหลักของโรคพิษแห่งครรภ์ก็ว่าได้ และมักจะเริ่มเกิดหลัง 5 เดือนของการตั้งครรภ์ไปแล้ว
และเมื่อบวมแล้ว ความดันโลหิตมักจะเริ่มสูงตามมา ในระยะแรกๆ ของความผิดปกตินี้ควรจะรีบบำบัดดูแลแก้ไข
การพักผ่อนที่เพียงพอ การดูแลเรื่องอาหาร และการติดตามดูความเปลี่ยนแปลงของโรค
โดยแพทย์จะนัดมาตรวจติดตามถี่ขึ้น หลังจากแนะนำให้พักผ่อนมักจะดีขึ้น
แต่อาชีพของเธอ ลักษณะงานที่ต้องยืนทำงานเป็นระยะเวลา และงานก็เครียดต้องอยู่กับเครื่องจักร
ที่มีการเคลื่อนไหว ทำให้เธอไม่ได้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำที่ดีพอ ประกอบกับการไม่มาตรวจตามนัด
อาการก็รุนแรงเพิ่มขึ้นจากระดับครรภ์พิษอ่อนๆ ก็เปลี่ยนแปลงเป็นครรภ์พิษรุนแรง
หลังจากขาดการตรวจติดตาม 3 เดือน ในเดือนที่เธอตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนเศษ เธอบวมจนจำแทบไม่ได้
เธอปวดหัวมาก ทำงานไม่ได้ สามีต้องนำเธอมาโรงพยาบาลตามคำแนะนำของแพทย์ที่โรงงาน
ให้การวินิจฉัยเบื้องต้นว่าพิษแห่งครรภ์รุนแรง เธอชักกระตุกขณะเดินทางมาโรงพยาบาล
เธอได้ถูกรับไว้ในโรงพยาบาลทันทีๆ แพทย์ได้ทำการตรวจและพบว่า เธอมีอาการพิษแห่งครรภ์รุนแรงมากและชัก
เธอบวมไปทั้งตัว เท้าเธอโดยเฉพาะหน้าแข้งกดเป็นรอยบุ๋มของนิ้วมือ ตาเธอบวมจนลืมไม่ขึ้น
เธอเริ่มสับสนปวดศีรษะมาก เธอกระตุกให้เห็น เผอิญเหตุการณ์เกิดในห้องตรวจที่มีพร้อม
ทั้งบุคลากรและเครื่องมือ เธอได้รับการดูแลรักษาโรคครรภ์พิษชักทันที ร่างกายเธอถูกเกาะเกี่ยว
ด้วยสายระโยงระยาง สายน้ำเกลือเข้าเส้น สายสวนปัสสาวะ สายไฟฟ้า เพื่อตรวจติดตามดูสภาวะทารก
สายอ๊อกซิเจน
เธอได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดอยู่ระยะหนึ่งก็ถูกนำเข้าห้องผ่าตัดเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
เป็นการลดการเสี่ยงของทารกและแม่ ตามข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ ซึ่งหมายถึงว่าเป็นการสิ้นสุดการตั้งครรภ์
ด้วยวิธีการผ่าตัดออกทางหน้าท้องหรือที่เข้าใจกันว่า "ซีซาร์" ย่อมาจาก "ซีซาร์เลียน เซคชั่น"
ซึ่งทางการแพทย์นั้นมีการวิจัยศึกษากันมาอย่างต่อเนื่องตลอดว่าสภาวะโรคดังกล่าว
ถ้าเป็นครรภ์พิษแล้วชักควรจะให้การรักษาอย่างไร ถ้าอายุครรภ์เท่านั้นเท่านี้ ควบคุมสภาวะได้เท่านั้นเท่านี้
หรือทารกท่าก้นคือเอาก้นลงล่างเมื่อไรควรจะต้องทำการผ่าตัดออก หรือสภาวะที่จะให้คลอดทางช่องคลอดได้
จะมีอะไรเป็นดรรชนีบ้าง หรือแม่ที่เป็นโรคหัวใจและตั้งครรภ์จะต้องทำการสิ้นสุดการตั้งครรภ์
ด้วยวิธีใดในสภาวะใด
มีการศึกษาเปรียบเทียบให้ได้เรียนรู้อยู่ตลอดจนอ่านแทบไม่ไหว หมอจึงต้องศึกษา
เพื่อนำเอาการศึกษาวิจัยที่มีผู้ทำไว้มาปรับเข้ากับการดูแลรักษาคนไข้ให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้น
โรคครรภ์พิษแม้เป็นโรคที่รู้จักกันมานานเป็นศตวรรษแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากอะไร
รู้เพียงว่าถ้าสิ้นสุดการตั้งครรภ์จะเป็นผลดีต่อการดูแลรักษา จึงต้องรักษาตามอาการโดยมีการพัฒนา
แผนการรักษามาโดยตลอด
โรคครรภ์พิษป้องกันไม่ได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นโรคครรภ์พิษชัก (Eclanpsia) ได้
ถึงแม้จะป้องกันไม่ได้แต่ก็มีคนพยายามศึกษาหาวิธีที่จะทำนายว่าใครจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้แต่ก็ไม่แม่ยำนัก
โดยการวัดความดันขณะกำลังท้องอ่อนๆ ทั้งท่านั่งและท่านอน ถ้าต่างกันมากก็พอจะเตือนให้ระวังโรคครรภ์พิษ
ที่จะเกิดได้ง่ายในกลุ่มสตรีเหล่านี้
การป้องกันโรคชักในพิษแห่งครรภ์ได้ดีที่สุดคือ การมาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอตามนัดของแพทย์
แพทย์โรคครรภ์พิษนั้นจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการมาตรวจอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรคได้ทัน พอพบว่าครรภ์พิษเปลี่ยนจากระดับอ่อนไปสู่ระดับปานกลาง
คือความดันเริ่มไม่สามารถควบคุมให้ลดลงได้ อาการบวมไม่ลดลง ก็จะต้องรับไว้ในโรงพยาบาล
เพื่อให้การรักษาอย่างเข้มข้น
ในครรภ์พิษนั้นเมื่อตรวจพบว่าเป็น คุณแม่ก็จะถูกแนะนำให้ฝากครรภ์กับคลินิกความเสี่ยงสูง
ซึ่งจะมีการตรวจดูแลที่สลับซับซ้อนมากขึ้น นัดถี่ขึ้นเพื่อติดตามโรค เมื่อเห็นว่าโรครุนแรงจะต้องรีบรับตัว
ไว้ในโรงพยาบาลทันที เพราะถ้าโรคพัฒนาไปเป็นการครรภ์พิษชักแล้ว อัตราตายของแม่และทารกจะสูงมาก
เพราะโรคครรภ์พิษที่รุนแรงนั้น จะทำให้อวัยวะภายในเช่น ตับ ม้าม สมอง บวมโต หรือเรียกได้ว่า
อวัยวะทุกอย่างบวมโตจากความดันโลหิตที่สูง และถ้าโรครุนแรงขึ้น ตับอาจจะฉีก ม้ามฉีก สมองถูกกระตุ้นจนชัก
และอาจจะมีเลือดออกในสมอง ซึ่งจะทำให้มีผลแทรกซ้อนรุนแรงตามมา และจะส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้
รวมทั้งตัวแม่เองด้วย
ในอดีตจึงมีคำเล่าลือกันถึงอันตรายของการท้องแล้วเกิดเสียชีวิตทั้งแม่และลูก ซึ่งพบได้บ่อยที่เรียกว่า
"ตายทั้งกลม" ร่ำลือว่าดุนักหนา สมัยก่อนพบมากเพราะมีปัจจัยเกื้อหนุนต่อโรคนี้ ถึงสภาวะทุโภชนา
ที่พบได้ในท้องแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ในสตรีที่สูงอายุจะพบมากขึ้น แม่ที่เป็นเบาหวาน
หรือคุณสตรีที่หัวพ่อค้าอยากตั้งครรภ์แฝดเพื่อถอนทุนครั้งเดียวคุ้งคงจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
สตรีที่มีโรคไตและโรคความดันโลหิตสูงหรือสตรีที่มีประวัติครรภ์พิษในครอบครัว ควรสำรวจตัวเอง
ถ้ามีปัจจัยหลายข้อ โอกาสจะเป็นโรคครรภ์พิษก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ถึงโรคนี้จะดูน่ากลัวเพราะป้องกันไม่ได้
แต่การรักษากลับตรงกันข้ามเพราะยาหลักๆ ที่ใช้ในการรักษาไม่ได้วิลิศมาหรามากมาย
เป็นเพียงดีเกลือชนิดหนึ่งเท่านั้น ดีเกลือนั้นคือยาระบายนั่นเอง เข้าตำรา "โรคร้าย แต่พ่ายยาถูก"
นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|