ได้อ่านข่าว "แฝดสาม" ทางหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่วันมานี้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกอึดอัด เอาล่ะก่อนที่ผมจะว่าต่อไป ก็ขอเท้าความถึงเรื่องลูกแฝดให้คุณๆ ที่ยังไม่ทราบเรื่องได้รับทราบกันก่อน เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นในครอบครัวที่ยากจนและน่าจะยากจนเอามากๆ ตามเนื้อข่าว เพราะฝ่ายพ่อต้องหาเช้ากินค่ำ ด้วยการขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ฝ่ายแม่ไม่มีงานการอะไรทำ เพราะต้องเลี้ยงลูกกันวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นแล้ว ทำไมแฝดครอบครัวนี้จึงมีปัญหาก็เพราะมันเกิดมาเป็นแฝดตั้งสามท้องนะซีครับ เหมือนพระเจ้าพิโรธ ครรภ์แรกให้มาเป็นแฝดสอง นั่นพอทำเนาถึงแม้จะยากจน เพราะเป็นท้องแรกพอจะหาเลี้ยงกันได้ มาถึงครรภ์ที่สอง ซึ่งห่างกันไม่นานนัก ครรภ์ที่สองออกมาแค่หนึ่งไม่ถึงกับแฝด รวมกันแล้วครอบครัวนี้ก็มีลูกแล้วสาม ตามตำราบอกว่ามีลูกมากจะยากจน มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี นั่นมันเป็นยุคก่อนไอเอ็มเอฟ มาถึงยุคไอเอ็มเอฟ ยุคที่ผู้คนตกงานผู้คนไม่มีงานทำ แล้วผู้คนยากจนลง ไม่มีรายได้มากพอยาไส้สมาชิกในครอบครัว การมีลูกกันแต่ละคน ถ้านับครอบครัวที่มีความคิดผมเชื่อว่า เขาต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีลูกดีมั้ย หากมีแล้วจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ลูกมีความสุข ให้ลูกได้กินอาหารที่ดีมีคุณภาพ ให้ลูกได้เรียนหนังสืออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างมีมาตรฐาน บางครอบครัว อาจจะคิดยาวไปกว่านั้น ถึงโน่นเลย ถึงเมื่อลูกจบการศึกษาแล้วน่าจะได้มีงานมีการทำที่ดี มีคุณภาพ มีฐานะที่ดี เพื่อสร้างครอบครัวที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ นั่นหมายถึงการเติบโตของสังคม แต่ถ้าไม่คิด เอาแต่เพียงแค่ทำลูกแต่เพียงอย่างเดียว พอคลอดออกมาทีก็ได้แต่กลุ้มใจ ในความยากจนของตัวเอง โทษความยากจนที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เต็มที่ โทษความยากจน ว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกให้ดีได้ เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง หลังจากนั้นอีกไม่นาน ครอบครัวลูกสาวก็ตามมาด้วยแฝดอีกหนึ่งคู่ กลายเป็นลูกห้าในเวลาไม่นานปี ผมไม่เข้าใจว่าทำไม หมอแพทย์ที่ช่วยดูแลในตอนนั้น ไม่ได้แนะนำให้ทำหมัน เพื่อหยุดการมีลูกเสียโดยเด็ดขาด เพราะบางครั้ง ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ การศึกษาน้อย อาจจะไม่ได้คิดถึงการทำหมัน เพื่อหยุดการมีลูกในอนาคต เขาคงไม่ได้คิดถึงหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะแต่ละวันได้แต่คิดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อนม ซื้ออาหารเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว ลองคิดดูซีครับว่าจะกลุ้มใจกันแค่ไหนกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพื่อหารายได้มาเลี้ยงเจ็ดชีวิตในครอบครัว เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น และถึงตอนนั้นก็ยังไม่มีข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์ แต่มาเป็นข่าวก็เมื่อพระเจ้าเล่นตลกอีกครั้ง ครั้งสุดท้ายนี้มาแรงหน่อย ที่บันดาลให้คุณแม่ตั้งครรภ์เป็นแฝดสาม แฝดสาม ซึ่งหาทำยากได้ไม่ง่ายนัก นอกจากจะทำกิฟ ทำเด็กหลอดแก้ว เท่านั้นแหละ ถึงจะเจอกันได้ง่ายๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมชาติคุณก็ลองเอา 89 คูณกับ 89 หรือผลลัพท์ของ 89 ยกกำลังสองออกมาเป็นเท่าใด นั่นหมายความว่า ครรภ์แฝดสามจะมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้ เพียงครั้งเดียวในช่วงของการตั้งครรภ์ 89 ยกกำลังสองนั่นเป็นสถิติ แล้วทำไมต้องมาเกิดกับครอบครัวนี้ด้วย คิดแล้วทำให้กลุ้มแทน มาวันนี้ ครอบครัวนี้หาเช้ากินค่ำ มีลูกเกิดมาทีเดียวพร้อมๆ กันอีกสาม รวมเป็นลูกทั้งหมดแปดคน หากเป็นเมื่อสมัยสี่สิบปีที่แล้ว การมีลูกแปดคนหรือสิบคน มิใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหญ่โตอะไร เพราะสมัยนั้นประชาชนคนไทยมีความเป็นอยู่แบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี หากเป็นชนบทหรือหมู่บ้านแทบจะไม่อดตาย เงินทองแทบไม่ต้องใช้ ของกินของใช้มีให้แลกเปลี่ยนกันฉันพี่น้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ต่างกับทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะประชาชนมีมากขึ้น การแก่งแย่งกันเพื่อความอยู่รอดก็มีมากขึ้น อนาคตจะยิ่งลำบากมากกว่าวันนี้ ความเป็นอยู่จะต้องลำบาก และต้องต่อสู้กันมากขึ้น การต่อสู้กันอย่างยุติธรรมอยู่ในกฎเกณฑ์ก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่มันจะไม่เป็นอย่างนั้นนั่นซีครับ คงมีการใช้กำลัง เล่ห์เหลี่ยมหรือไม่ก็อำนาจเพื่อความอยู่รอดของตน คิดแล้วให้นึกถึงทุ่งหญ้าซาฟารี อาฟริกาที่เห็นสิงโตไล่ตะครุบม้าลายเห็นหมาป่าไฮยีน่า เช้าแย่งอาหารจากสิงโต ที่นอนแทะเนื้อม้าลายอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไฮยีน่า เล่นมาทีเป็นฝูง สิงโตเจ้าป่าเพียงลำพังตัวเดียวก็ต้องเผ่นหนี นั่นเป็นชีวิตสัตว์โลกที่ด้อยในสมองและปัญญา ไม่เหมือนสมองของมนุษย์ แต่นับวันมองเห็นพฤติกรรมของมนุษย์ชักจะเลียนแบบสัตว์ป่าซาฟารีกันมากขึ้นทุกที ก็คงเป็นเพราะการเพิ่มมากขึ้นของประชากรโลกนั่นเอง และเป็นการเพิ่มมากขึ้นทางด้านปริมาณ ซึ่งขาดคุณภาพ เมื่อขาดคุณภาพเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ แต่เกิดขึ้นจนได้ ช่วยกันวางแผนครอบครัวมีบุตรแต่พอดี และให้บุตรมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ มีบุตรที่มีคุณภาพ เติบโตขึ้นมาเป็นที่พึ่งของสังคมและบ้างเมืองได้ ใช่ว่าเกิดมาเป็นภาระให้แก่บ้านเมือง และสร้างปัญหาให้กับสังคม หากเป็นเช่นนี้เรื่อยไป ถอยหลังสู่ซาฟารีแน่นอนครับ น.พ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ

(update วันที่ 25 กันยายน 2543)

main