มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc




ผมมีลูกชาย 2 คน ลองถามตัวเองว่า คิดหวังไว้อย่างไร ก็ตอบได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ อยากเห็นลูกเป็นคนที่มีความมั่นคงภายในจิตใจ มีความภาคภูมิในตัวเอง เป็นคนที่รักในการเรียนรู้ และมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างไม่หยุดนิ่ง กล้าคิด กล้าแก้ปัญหาด้วยสติสัมปชัญญะ และศรัทธาในคุณธรรมความดีงาม สุดท้ายเขาควรเป็นผู้ค้นพบตัวเอง รู้ซึ้งในความถนัด และความสามารถที่ตนมีอยู่จริง และพัฒนาศักยภาพนี้ให้เต็มสมบูรณ์ขึ้นมาได้

ความคิดหวังนี้ไม่ต่างไปจากของพ่อแม่ทุกคน พร้อมกันนั้นก็เป็นความหวัง ที่ยังไม่สามารถหลับตาลงได้ด้วยความเบาใจ พ่อแม่ท่านอื่นก็คงเช่นกัน

โรงเรียนครอบครัว (Family School)  ถึงเวลาของการเริ่มต้นแล้ว


มนุษย์พัฒนาได้ด้วยการศึกษาเรียนรู้ จากการศึกษาที่สร้างปัญญา จนทำให้รู้จัก ที่จะสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีงามขึ้นมาได้ ปัญหาที่เราประสบกันอยู่ก็คือ เรามีแต่การศึกษาที่สร้างความทุกข์ สร้างความบีบคั้นจากการแข่งขัน การศึกษาที่คนแพ้ต้องถูกคัดออก ถูกทำลายความมั่นใจในตนเอง การศึกษาที่บ่มเพาะให้คนเห็นแก่ตัวด้วยระบบที่มีที่ว่างเฉพาะสำหรับคนที่รู้จักเอาตัวรอดเท่านั้น เป็นที่ว่างสำหรับคนจำนวนน้อยนิดที่มีโอกาสมากกว่า แล้วผลักไสให้คนจำนวนมาก กลายเป็นเบี้ยล่างรองรับความไม่เป็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง ด้วยการศึกษาประเภทที่ว่านี้ ลูกหลานของเราจึงอ่อนแอลงทุกวัน ขาดมโนธรรมกันมากขึ้นทุกที พากันติดกับดักของสังคม บ้างก็ติดสิ่งมอมเมายั่วยุ เช่นนี้ คนเป็นพ่อแม่จึงมีแต่ความกังวลใจ

ยิ่งมองไปในอนาคต ซึ่งสังคมเราได้ดึงเอาทรัพยากรของวันข้างหน้ามาใช้ไปแล้ว อย่างชนิดทำลายล้าง ปัดทิ้งภาระมหาศาลไปไว้ให้กับลูกหลานที่จะต้องแบกรับต่อไป อนาคตที่คงจะเต็มไปด้วยปัญหาหนักหนาสาหัสกว่าที่เผชิญกันอยู่ในปัจจุบันหลายเท่า ภารกิจของคนเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่เพียงการดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ หรือยังเสพสุขอยู่อย่างขาดสำนึก สิ่งสำคัญที่สุดคือ การให้การตระเตรียมที่ดีพอสำหรับลูกหลาน เพื่อให้พวกเขามีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างในวันข้างหน้าได้

ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นคือการศึกษาชนิดที่สร้างปัญญา การศึกษาที่นำไปสู่การพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งกาย ใจ สติ ปัญญา และจิตวิญญาณ การศึกษาที่ทำให้คนทุกคนสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม มีอิสรภาพ มีคุณค่าและมีความสุข

ลำพังการศึกษาในโรงเรียนในระบบอย่างที่เป็นอยู่ แม้อาจมีการพยายามพัฒนาอยู่บ้าง แต่คงพึ่งพาได้เป็นบางส่วนเท่านั้น คำตอบที่แท้จริงของวันนี้จึงต้องการการสร้างทางเลือก ทางการศึกษาขึ้นใหม่ด้วยการลงมือกันเอง แม้เราไม่ได้คิดจะพาลูกหลานหนี หรือทำตัวแปลกแยกกับสังคม แต่ก็มีความจำเป็นที่กลุ่มครอบครัวที่ใฝ่หาการศึกษา ที่แท้จริงให้กับลูกหลานจะต้องคิดพึ่งตนเอง แนวความคิด โรงเรียนครอบครัว (Family School) จึงเกิดขึ้น เป็นความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มครอบครัว มีการจัดสรรแบ่งภาระหน้าที่กัน ไปตามสถานภาพอย่างยอมรับในเงื่อนไขข้อจำกัดที่เป็นจริงของกันและกัน เป็นโรงเรียนที่มีปรัชญาการศึกษามีอิสระในการจัดการศึกษาของตน ขณะเดียวกันก็มีความสัมพันธ์กับการศึกษาในระบบเดิมตามความจำเป็น

บางคนอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของโรงเรียนบ้าน (Home School) ที่พ่อแม่จัดการศึกษา ให้กับลูกของตนเองที่บ้านเมืองไทยเรายังมีคนที่กล้าทำน้อยมาก อาจเพราะกฎหมายของเรา ที่ผ่านมายังไม่เปิดช่องให้ (สังคมไทยยังปิดกั้นในเรื่องเสรีภาพทางการศึกษา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์) แต่ในนานาประเทศ จะมีการศึกษาในรูปแบบต่างๆ หลากหลาย เป็นการศึกษาทางเลือกให้กับประชาชนคู่ขนาน ไปกับการศึกษากระแสหลัก เฉพาะในสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 1 ล้านครอบครัวที่เลือกจัดการศึกษา ให้ลูกของตนเองอยู่ที่บ้าน แทนที่จะส่งเข้าโรงเรียนในระบบ

โรงเรียนครอบครัว (Family School) มีรากฐานความคิดความเชื่อเช่นเดียวกับโรงเรียน (Home School) ที่เรียกต่างกันก็เพื่อแสดงถึงลักษณะการจัดการศึกษาให้ลูกหลานร่วมกัน ของกลุ่มครอบครัว แทนที่จะต่างบ้านต่างจัดมีความเป็นชุมชนมากกว่าความเป็นปัจเจกชน ทำให้สามารถแบ่งปัน ทรัพยากรและความรู้ความสามารถแก่กัน และเด็กๆ ก็มีเพื่อนมีกลุ่มสังคมมากขึ้น

ภาพในจินตนาการเบื้องต้นขณะนี้ก็คือ โรงเรียนครอบครัวจะเป็นหน่วยการศึกษาขนาดเล็ก ในความปักใจร่วมกันของครอบครัวกัลยาณมิตรประมาณสัก 10 ครอบครัว มีเด็กนักเรียนที่เป็นลูกหลานของตนเองประมาณ 10-20 คน สถานที่เรียนอาจใช้บ้าน ตึกแถว หรือแม้ขออาศัยศาลาวัดเป็นอาคารเรียนประจำ แต่เวลาส่วนใหญ่จะเป็นกระบวน การเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นห้องเรียนเคลื่อนที่พากันไปยังแหล่งความรู้ พบครูที่มีอยู่เต็มแผ่นดิน ครูประจำของโรงเรียนนี้จะมีเพียง 2-3 คน ทำหน้าที่ประสานงานและสร้างสรรค์กิจกรรม เพื่อการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ เป็นหลัก พ่อแม่หรือเพื่อนของพ่อแม่บางท่านทำหน้าที่เป็นครูสอน บางเรื่องบางวิชาได้ด้วย ในบางวิชาก็ไปขอเรียนร่วมกับบางโรงเรียนในระบบ ในลักษณะที่เป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องกัน

โรงเรียนครอบครัวจะมีปรัชญาการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์อย่างเป็นองค์รวมมากกว่า เป็นการศึกษาแบบสายพานลำเลียงฝึกคนป้อนสู่ระบบการผลิตอย่างเชื่องๆ มีการจัดหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลเป็นของตนเอง ทั้งยังสามารถเทียบโอน ผลการเรียนกับการศึกษาในระบบปกติได้ด้วยถ้าต้องการ

การจัดการศึกษาในแบบโรงเรียนครอบครัวตามที่กล่าวในทางกฎหมายมีโอกาส ที่จะเป็นจริงแล้ว ด้วยคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดนโยบายที่จะผลักดันเรื่องนี้ เอาไว้อย่างชัดเจน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ก็ให้ความคุ้มครอง ในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว พร้อมทั้งบทบัญญัติใน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งกำลังอยู่ ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ก็กำหนดเรื่องนี้ไว้อย่างเป็นรูปธรรมเช่นกัน นอกจากให้สิทธิ์พ่อแม่สามารถจัดการศึกษาให้กับลูกหลานตนเองได้ ยังให้สามารถเทียบโอน ผลการเรียนกับการศึกษาในระบบ ทั้งรัฐจะต้องจัดงบประมาณให้การสนับสนุนแก่พ่อแม่ เท่าเทียมกับเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนตามปกติด้วย

ขณะนี้มีครอบครัวกลุ่มหนึ่งได้เริ่มต้นเดินหน้าในเรื่องนี้แล้ว มีการประชุมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันและเตรียมหลักสูตร เตรียมการในเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหวังที่จะเห็นโรงเรียนครอบครัวแห่งแรกเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในต้นปี 2543 พ่อแม่ที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมได้ด้วยการติดต่อที่โทร.237-0080 ต่อ 217 (ยุทธชัย เฉิมชย)

มาเริ่มต้นด้วยกัน สร้างความใฝ่ฝันให้เป็นจริง เพื่อลูกหลานของเราเอง

ยุทธชัย เฉลิมชัย

(update วันที่ 26 สิงหาคม 2543)


[ที่มา.. life & family   ปีที่ 3 ฉบับที่ 36 มีนาคม 2542 ]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600