คนสมถะ
เศรษฐกิจไม่กระเตื้อง พลอยทำให้พวกเรา ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวมากขึ้น อันที่จริงไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย
คนหาเช้ากินค่ำก็ต้องทำงานหนักด้วยกันทั้งนั้น จะไปโทษแต่สภาพเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ดีอย่างเดียวคงไม่ได้
ต้องโทษตัวเองที่เกิดมาจนด้วย กระนั้นความจนก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไรนักหรอก
สำหรับบางคน "ความจน" ทำให้ขยันขันแข็งขึ้นด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีคนจนมากมายที่รวยขึ้นมาได้เพราะเจียมตัวว่าจนนี่แหละ
อย่างไรก็ตาม คนเราทำงานมากก็ต้องรู้จักปลีกเวลาไปพักผ่อนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ทำงานอย่างเดียว
บางทีใจเราอาจสู้ แต่สังขารไปไม่ไหวก็มี ด้วยเหตุนี้ จึงอย่าหักโหม หากมัวแต่ทำงานมากๆ ระวังความเครียด, ความกังวล
และความวิตกจริต จะเข้ามาครอบงำซะก่อนนะจ๊ะ
หลังเศรษฐกิจถดถอย มีบริษัทต้องปิดตัวเป็นจำนวนมาก หรือไม่บางแห่ง ก็เสนอวิธีเกษียณอายุงานก่อนกำหนด
มาตรฐานการเกษียณอายุ จึงอาจไม่ใช่จากที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาว่า 55 ปี, 60 ปี หรือ 65 ปีเสียแล้ว
ชีวิตจึงเป็นเรื่องที่คาดคะเนไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน
ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรตระหนัก ถึงชีวิตในวัยเกษียณไว้ให้มาก ด้วยการไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท
ของสิ่งไหนหากไม่จำเป็นต้องซื้อ ก็ควรประหยัดไว้ หรืออย่าไปซื้อของชิ้นใหญ่เกินกำลังความสามารถ
เพราะการเป็นลูกหนี้นั้นชีช้ำเหลือเกินท่าน
เขียนถึงตรงนี้รู้สึกไม่เจริญหูยังไงก็ไม่รู้ หันเหไปคุยเอาใจคนถูกปลดออกจากงานกันดีกว่า
เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นคนที่น่าเห็นใจ หากไม่มีภาระอะไรมากก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีภาระมหาศาล
เช่นมีลูกที่อยู่ในวัยกำลังกินกำลังใช้ด้วยอีก สถานการณ์ส่วนตัวยิ่งหนักขึ้นหลายเท่า ขอเสนอว่า
- พยายามหางานใหม่ อะไรก็ได้ไว้ก่อน อย่าไปจำกัดอย่างงั้นอย่างนี้ว่า ทำไม่ได้เลยไม่ยอมทำ หากมีงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน
แต่ถ้าอาศัยการปรับตัว และพยายามอีกนิด แล้วทำได้ ก็ทำไปเถอะ
- ปลดภาระที่มีอยู่ มากมายลงไปบ้าง อย่าไปยื้อที่ต้องผ่อนบ้านถ้าตัวเองไม่มีกำลังส่ง กลับไปอยู่กับพ่อแม่ก่อนก็ได้
ไม่เห็นจะเสียหน้าตรงไหน
- อย่าเก็บความกังวลใจไว้คนเดียว ลองเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง บางทีพวกเขาอาจช่วยชี้ทางสว่างให้
และอย่าเศร้าซึมตลอดเวลา เปิดวิทยุฟังเพลงได้ควรฟัง ไปเข้าวัดเข้าวาทำสมาธิก็ไปเถิด อย่าอยู่คนเดียว
เดี๋ยวไปย้ำคิดย้ำทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้วจะยุ่ง
|