ถึงวันนี้ไม่น่าที่จะมีใครไม่รู้จัก โรคกระดูกพรุนแล้วนะครับ โรคนี้บางครั้ง อาจมีคนเรียกด้วยชื่ออื่น
เป็นต้นว่าโรคกระดูกโปร่งบาง บ้างก็เรียกว่าโรคกระดูกผุ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า osteoporosis
แปลเป็นไทยได้ว่า กระดูกเป็นรูพรุน ใช้คำว่าโรคกระดูกพรุนจึงน่าจะตรงตัวที่สุด
อันที่จริงกระดูกของคนเราเป็นรูพรุนเล็กๆ อยู่แล้ว กระดูกหากมองจากด้านนอกจะเห็นเป็นผิวเงาเรียบ
มองไม่เห็นรูพรุน แต่เมื่อลองหักกระดูกมองดูตรงแกนด้านในจะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ เต็มไปหมด
ในกรณีของโรคกระดูกพรุนนั้นรูพรุนเล็กๆ เหล่านี้ จะกว้างขึ้นกว้างกระทั่งกระดูกโปร่ง ขาดความแข็งแรง
โรคกระดูกพรุนนี้สร้างปัญหาให้กับผู้คนมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว มีการขุดซากกระดูกของมนุษย์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ พบว่าซากกระดูกเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีร่องรอยของภาวะกระดูกพรุนอยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกต้นขาและกระดูกเชิงกราน นอกจากนี้ ยังพบปัญหากระดูกพรุนในบริเวณกระดูกสันหลัง
อีกจำนวนไม่น้อย
ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้คนเกิดปัญหากระดูกพรุนหรือกระดูกผุส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคนยุคก่อน
หรือคนยุคนี้มาจากมีการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากเกินไป แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลัก
ที่ใช้ในการสร้างมวลกระดูก เมื่อกระดูกได้รับแคลเซียมเพิ่มเติมจากเลือดไม่เพียงพอ
สมดุลแคลเซียมในกระดูกเป็นลบ นานวันเข้าแคลเซียมในกระดูกก็สลายออกไปมากจนกระทั่ง
เนื้อกระดูกหายไป กระดูกเกิดเป็นรูพรุนมากขึ้น กระดูกที่เคยแข็งแรงจึงเปลี่ยนสภาพเป็นกระดูกผุไปในที่สุด
การสูญเสียแคลเซียมเกิดขึ้นได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงเมื่อถึงวัยหมดระดู
หรือหมดประจำเดือนในช่วงอายุประมาณ 40-45 ปีหรือในช่วงอายุต่ำกว่านี้ในบางคน
ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดปริมาณลง การดึงแคลเซียมในเลือดเข้าสู่กระดูกลดลง ขณะที่แคลเซียมจากกระดูก
สูญเสียออกไปมากกว่า หญิงเหล่านี้ปีแรกที่หมดประจำเดือนจะสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 2.5%
ปีที่ 2-3 สูญเสียประมาณ 2-2.5% ปีถัดมาสูญเสียประมาณ 1-2% นานวันเข้ากระดูกจะบางลงไปเรื่อยๆ
ผู้หญิงจึงมีปัญหากระดูกพรุนค่อนข้างมาก มีข้อมูลว่าหญิงหมดประจำเดือนจำนวนถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหากระดูกพรุน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่าหญิงชราที่มีอายุมากกว่า 80 ปีจำนวน 1 ใน 3 มีประสบการณ์กระดูกสะโพกหักมาแล้ว
คนชราที่กระดูกสะโพกหักเหล่านี้ทนทุกข์ทรมานมาก 80% ของคนเหล่านี้จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี
ผู้ชายอย่าเพิ่งเข้าใจว่าตนเองไม่เกิดปัญหากระดูกพรุนนะครับ ผู้ชายอายุเกิน 65 ปี
มีโอกาสสูญเสียมวลกระดูกไม่น้อยไปกว่าผู้หญิง ข้อมูลที่แย่กว่านั้นคือผู้ชายวัยชราที่เกิดปัญหากระดูกสะโพกหัก
จะมีโอกาสเสียชีวิตภายใน 1 ปี มากกว่าผู้หญิง เรื่องนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าธรรมชาติของผู้หญิง
มีน้ำอดน้ำทนมากกว่าผู้ชาย เขาจึงว่าหากให้ผู้ชายเป็นฝ่ายตั้งครรภ์มนุษย์อาจจะถึงคราสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้
เหตุผลคือผู้ชายจะทนความเจ็บปวดจากการคลอดบุตรได้น้อยกว่าผู้หญิง
ดังนั้น บรรดาชายอกสามศอกทั้งหลายจึงควรจะเลิกหยิ่งทระนงได้แล้วล่ะครับว่าตนเองแข็งแรงกว่า
ข้อเท็จจริงคือผู้ชายมีเพียงกล้ามเนื้อและพละกำลังมากกว่าเท่านั้นแต่ไม่ได้แข็งแรงหรืออดทนกว่าแต่อย่างใด
โรคกระดูกพรุน นับเป็นภัยเงียบสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง การเกิดกระดูกพรุนนั้น
เกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย หากกระดูกไม่หักอาการเจ็บปวดก็ไม่เกิดขึ้น
กระดูกพรุนมากกระทั่งเกิดอุบัติเหตุกระดูกหักแล้วนั่นแหละครับอาการเจ็บปวดจึงปรากฏ
เป็นอาการเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ทรมานทั้งผู้ป่วยทั้งลูกหลานญาติมิตร สูญเสียทางเศรษฐกิจ
อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
คนที่กระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนเกือบทั้งหมดเป็นคนชรา หากทนทุกข์ทรมานมากถึงขั้นเสียชีวิต
รายงานการเสียชีวิตของแพทย์มักจะเป็นไปในทางที่ว่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา ไม่ค่อยกล่าวถึงโรคกระดูกพรุน
โรคนี้จึงกลายเป็นภัยเงียบขนานแท้ ทั้งๆ ที่ดูตามสถิติแล้ว ปัญหาความเจ็บป่วยด้วยกระดูกพรุนของสตรี
มีมากกว่าโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งอีกหลายชนิดรวมกันด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมีตัวเลข
การสูญเสียชีวิตปรากฏให้เห็น
ปัญหาของกระดูกพรุนแก้ไขด้วยสามแนวทาง ได้แก่ การแนะนำให้บริโภคแคลเซียมมากขึ้น
การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและการให้ฮอร์โมนทดแทน กรณีหลังนี้ต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์ครับ
หากทำกันเองอาจเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคอื่นๆ ตามมาได้ ส่วนกรณีแรกหรือการเสริมแคลเซียมนั้น
นับเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ทำง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด
แคลเซียมมีมากในนมและผลิตภัณฑ์จากนม ไม่น่าเชื่อนะครับว่าฝรั่งมังค่าที่ดื่มนมกันเป็นประจำ
ยังมีปัญหาของการบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอ อย่างเช่นรายงานการสำรวจข้อมูลในสตรีออสเตรเลีย
เมื่อต้นปี 2000 นี้เอง ปรากฏว่าออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีการรณรงค์ในเรื่องโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างมาก
กลับพบว่าสตรี 76% บริโภคแคลเซียมในปริมาณต่ำกว่าที่แนะนำกันทั่วไป ในจำนวนนี้มี 14%
ได้รับแคลเซียมต่ำกว่าระดับ 300 มก./วัน ซึ่งถือว่าต่ำมาก
สรุปแล้วภาวะกระดูกพรุนเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกสังคมไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันออกหรือตะวันตก
มีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่าคนผิวขาวและคนเอเชียจะเสี่ยงต่อกระดูกพรุนมากกว่าคนนิโกร ดังนั้น
เราจึงพบปัญหากระดูกพรุนในสังคมของเรามากกว่าในอัฟริกา ลองสังเกตดูเอาก็คงได้คนชราไทย
ที่หลังค่อมหลังโกงมีจำนวนไม่น้อย เหตุที่หลังค่อมก็เพราะกระดูกสันหลังพรุนจนทรุด ร่างกายจึงเตี้ยลง
ปัจจัยแรก คือ การเป็นเพศหญิง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนมากกว่าชาย
เรื่องนี้เป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยหมดระดูนั่นเอง ส่วนผู้ชายโดยทั่วไป
การสูญเสียแคลเซียมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าวัยชรา หรืออายุเกิน 65 ปีแล้วเท่านั้น
คุณผู้หญิงอย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจนะครับว่าตนเองเกิดปัญหากระดูกพรุนก่อนชายตั้ง 20 ปี
หากจะมองกันในแง่ดีจะเห็นว่าผู้หญิงมีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าผู้ชาย แถมยังทนต่อปัญหาได้มากกว่า
เรื่องนี้มีข้อมูลสนับสนุนครับ มีรายงานทางการแพทย์ กล่าวว่า หากชายเกิดกระดูกสะโพกหักในวัยชรา
จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าหญิงที่เป็นอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าผู้ชายทนต่อภาวะกระดูกเสื่อมได้น้อยกว่า
หรือจะว่าใจเสาะกว่าก็น่าจะได้
ความใจเสาะของเพศชายนั้น เคยมีแพทย์อเมริกันท่านหนึ่งกล่าวว่า
หากให้เพศชายเป็นฝ่ายตั้งครรภ์และคลอดบุตรแล้ว มนุษย์อาจจะถึงคราสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้
เพราะผู้ชายใจเสาะมากกว่า คงจะทนต่อการความเจ็บปวดจากการคลอดบุตรไม่ไหว
ปัจจัยที่สอง คือ การรับประทานโปรตีนมากเกินไป อย่างเช่น หากเพิ่มโปรตีนในมื้ออาหาร
จาก 40 เป็น 80 กรัมต่อวัน จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมทางปัสสาวะมากขึ้น 1 มิลลิโมลต่อวัน
เหตุนี้เองครับที่ทำให้มีการตั้งสมมติฐานกันว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชากรในชาติด้อยพัฒนา
เสี่ยงต่อการเกิดปัญหากระดูกพรุนน้อยกว่าชาติพัฒนาแล้ว ก็เพราะได้รับโปรตีนไม่สูงนักนี่เอง
พูดถึงเรื่องโปรตีนแล้ว บางคนอาจจะกังวลไม่รู้ว่าตนเองรับประทานโปรตีนมากเกินไปหรือเปล่า
เอาเป็นว่าการรับประทานโปรตีนมากจนผิดปกติ อย่างเช่น รับประทานสเต็กชิ้นใหญ่ๆ สักสองชิ้นทำนองนั้น
อาจจะสร้างปัญหาทำให้เสียแคลเซียมจากร่างกายมากขึ้น คนไทยส่วนใหญ่รับประทานโปรตีน
ไม่มากเกินไปหรอกครับ อย่าได้ห่วงเลย
เรื่องบริโภคโปรตีนมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากนี้ มีรายงานทางการแพทย์
บางรายงานเหมือนกันที่ให้ข้อมูลว่าการบริโภคโปรตีนมากไม่น่าจะสร้างปัญหาเรื่องกระดูกพรุน
เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติทางวิทยาศาสตร์ครับ คือเห็นตรงกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง แต่ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว
เอาเป็นว่าบริโภคโปรตีนอย่าให้น้อยหรือมากเกินไปจะดีกว่า
ปัจจัยที่สาม คือ ปัญหาการขาดวิตามินดี ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเกิดความบกพร่อง
ในการดูดซึมแคลเซียม เกิดการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากขึ้น เสี่ยงต่อกระดูกสะโพกหักมากขึ้น
ดังนั้น มีรายงานทางการแพทย์ของฝรั่งกล่าวว่า การเสริมวิตามินดีในอาหาร จะช่วยลดการสูญเสียเนื้อกระดูก
ตลอดจนลดปัญหากระดูกสะโพกหักในสตรีวัยชรา
เรื่องวิตามินดีนี้เกิดขึ้นในกรณีของฝรั่งหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศหนาวได้รับแสงแดดน้อย
เท่านั้นหรอกครับ ยังไม่เคยมีรายงานคนไทยเกิดปัญหาขาดวิตามินดีเลย ประเทศไทยมีแสงแดดจ้าทั้งปี
วิตามินดีสร้างขึ้นได้ที่ใต้ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด ดังนั้น คนไทยในเมืองไทยทั้งหลาย อย่าได้ห่วง
เรื่องขาดวิตามินดีให้มากนัก
ปัจจัยที่สี่ คือ การรับประทานอาหารเค็มมากเกินไป มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า
หากร่างกายได้รับโซเดียมมาก อาจส่งผลให้ร่างกายขับแคลเซียมทางปัสสาวะมากขึ้น
โซเดียมไม่ใช่จะมีเฉพาะในเกลือแกงเท่านั้น ในผงชูรสก็มีโซเดียมอยู่ด้วย
ผงชูรสคือโมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือเอ็มเอสจี จะเห็นได้ว่ามีโซเดียมอยู่หนึ่งตัว
เหตุนี้เองครับที่ทำให้เชื่อกันว่าการบริโภคผงชูรสมากนักจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
เหตุผลในเรื่องนี้เห็นทีจะอยู่ตรงโซเดียมในผงชูรสนั่นแหละครับ
ปัจจัยที่ห้า คือ การดื่มกาแฟหรือบริโภคสารกาเฟอีน ในกรณีสตรีสูงวัย
หากร่างกายไม่ได้รับแคลเซียมในอาหารอย่างเพียงพอแล้ว อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากระดูกพรุนได้เร็วขึ้น
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากสารกาเฟอีนมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม
และคลอไรด์ในปัสสาวะมากกว่าปกติ
คนวัยสาวเมื่อสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ ร่างกายจะชดเชยโดยการดูดซึมแคลเซียม
จากทางเดินอาหารมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดปัญหาจากการบริโภคกาเฟอีนเพราะมักได้รับแคลเซียมเพียงพออยู่แล้ว
แต่ทว่า กลไกชดเชยที่ว่านี้ขาดหายไปในผู้หญิงสูงวัย ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องดื่มกาแฟ ชา นี้ มีรายงานการศึกษาที่เรียกว่า Flamingham Study
ซึ่งเป็นการติดตามศึกษาในกลุ่มประชากรจำนวนมากนับได้หลายหมื่นคนในเมืองฟลามิงแฮม
ใกล้ๆ นครบอสตันของสหรัฐอเมริกา ผู้ศึกษาคือแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดร่วมกับหลายมหาวิทยาลัย
ได้ผลสรุปออกมาว่าการดื่มกาแฟ หากดื่มไม่มาก แค่หนึ่งถ้วยต่อวัน จะไม่สร้างปัญหากระดูกพรุน ดังนั้น
หากคุณย่าคุณยายอยากจะดื่มกาแฟสักถ้วย ขออย่าไปห้ามเลยครับ
ปัจจัยที่หกและเจ็ด คือ การสูบบุหรี่กับการดื่มเหล้า ซึ่งมีข้อมูลออกมาแล้วว่าการสูบบุหรี่
และดื่มเหล้าจะมีผลทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกของผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น
ใครที่ไม่อยากกระดูกพรุนในวัยชรา คงต้องหยุดสูบบุหรี่และดื่มสุราตั้งแต่วันนี้
เรื่องบุหรี่มีข้อมูลที่ค่อนข้างน่าห่วงว่าในขณะที่ประชาชนโดยทั่วไปสูบบุหรี่น้อยลง
การสูบบุหรี่ในสตรีทำงาน กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น สตรีเหล่านี้กำลังสร้างปัญหากระดูกพรุนบวกมะเร็งให้กับตนเอง
หากเปลี่ยนใจหยุดสูบบุหรี่เสียได้ ก็ยังไม่สายเกินไปครับ
ดร.วินัย ดะห์ลัน
|