มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



แคลเซียมกับกระดูกพรุน


ถึงวันนี้ไม่น่าที่จะมีใครไม่รู้จัก โรคกระดูกพรุนแล้วนะครับ โรคนี้บางครั้ง อาจมีคนเรียกด้วยชื่ออื่น เป็นต้นว่าโรคกระดูกโปร่งบาง บ้างก็เรียกว่าโรคกระดูกผุ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า osteoporosis แปลเป็นไทยได้ว่า กระดูกเป็นรูพรุน ใช้คำว่าโรคกระดูกพรุนจึงน่าจะตรงตัวที่สุด

อันที่จริงกระดูกของคนเราเป็นรูพรุนเล็กๆ อยู่แล้ว กระดูกหากมองจากด้านนอกจะเห็นเป็นผิวเงาเรียบ มองไม่เห็นรูพรุน แต่เมื่อลองหักกระดูกมองดูตรงแกนด้านในจะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ เต็มไปหมด ในกรณีของโรคกระดูกพรุนนั้นรูพรุนเล็กๆ เหล่านี้ จะกว้างขึ้นกว้างกระทั่งกระดูกโปร่ง ขาดความแข็งแรง

โรคกระดูกพรุนนี้สร้างปัญหาให้กับผู้คนมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว มีการขุดซากกระดูกของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ พบว่าซากกระดูกเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีร่องรอยของภาวะกระดูกพรุนอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกต้นขาและกระดูกเชิงกราน นอกจากนี้ ยังพบปัญหากระดูกพรุนในบริเวณกระดูกสันหลัง อีกจำนวนไม่น้อย

ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้คนเกิดปัญหากระดูกพรุนหรือกระดูกผุส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคนยุคก่อน หรือคนยุคนี้มาจากมีการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากเกินไป แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลัก ที่ใช้ในการสร้างมวลกระดูก เมื่อกระดูกได้รับแคลเซียมเพิ่มเติมจากเลือดไม่เพียงพอ สมดุลแคลเซียมในกระดูกเป็นลบ นานวันเข้าแคลเซียมในกระดูกก็สลายออกไปมากจนกระทั่ง เนื้อกระดูกหายไป กระดูกเกิดเป็นรูพรุนมากขึ้น กระดูกที่เคยแข็งแรงจึงเปลี่ยนสภาพเป็นกระดูกผุไปในที่สุด

การสูญเสียแคลเซียมเกิดขึ้นได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงเมื่อถึงวัยหมดระดู หรือหมดประจำเดือนในช่วงอายุประมาณ 40-45 ปีหรือในช่วงอายุต่ำกว่านี้ในบางคน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดปริมาณลง การดึงแคลเซียมในเลือดเข้าสู่กระดูกลดลง ขณะที่แคลเซียมจากกระดูก สูญเสียออกไปมากกว่า หญิงเหล่านี้ปีแรกที่หมดประจำเดือนจะสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 2.5% ปีที่ 2-3 สูญเสียประมาณ 2-2.5% ปีถัดมาสูญเสียประมาณ 1-2% นานวันเข้ากระดูกจะบางลงไปเรื่อยๆ ผู้หญิงจึงมีปัญหากระดูกพรุนค่อนข้างมาก มีข้อมูลว่าหญิงหมดประจำเดือนจำนวนถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหากระดูกพรุน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่าหญิงชราที่มีอายุมากกว่า 80 ปีจำนวน 1 ใน 3 มีประสบการณ์กระดูกสะโพกหักมาแล้ว คนชราที่กระดูกสะโพกหักเหล่านี้ทนทุกข์ทรมานมาก 80% ของคนเหล่านี้จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี

ผู้ชายอย่าเพิ่งเข้าใจว่าตนเองไม่เกิดปัญหากระดูกพรุนนะครับ ผู้ชายอายุเกิน 65 ปี มีโอกาสสูญเสียมวลกระดูกไม่น้อยไปกว่าผู้หญิง ข้อมูลที่แย่กว่านั้นคือผู้ชายวัยชราที่เกิดปัญหากระดูกสะโพกหัก จะมีโอกาสเสียชีวิตภายใน 1 ปี มากกว่าผู้หญิง เรื่องนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าธรรมชาติของผู้หญิง มีน้ำอดน้ำทนมากกว่าผู้ชาย เขาจึงว่าหากให้ผู้ชายเป็นฝ่ายตั้งครรภ์มนุษย์อาจจะถึงคราสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้ เหตุผลคือผู้ชายจะทนความเจ็บปวดจากการคลอดบุตรได้น้อยกว่าผู้หญิง

ดังนั้น บรรดาชายอกสามศอกทั้งหลายจึงควรจะเลิกหยิ่งทระนงได้แล้วล่ะครับว่าตนเองแข็งแรงกว่า ข้อเท็จจริงคือผู้ชายมีเพียงกล้ามเนื้อและพละกำลังมากกว่าเท่านั้นแต่ไม่ได้แข็งแรงหรืออดทนกว่าแต่อย่างใด

โรคกระดูกพรุน นับเป็นภัยเงียบสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง การเกิดกระดูกพรุนนั้น เกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย หากกระดูกไม่หักอาการเจ็บปวดก็ไม่เกิดขึ้น กระดูกพรุนมากกระทั่งเกิดอุบัติเหตุกระดูกหักแล้วนั่นแหละครับอาการเจ็บปวดจึงปรากฏ เป็นอาการเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ทรมานทั้งผู้ป่วยทั้งลูกหลานญาติมิตร สูญเสียทางเศรษฐกิจ อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

คนที่กระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนเกือบทั้งหมดเป็นคนชรา หากทนทุกข์ทรมานมากถึงขั้นเสียชีวิต รายงานการเสียชีวิตของแพทย์มักจะเป็นไปในทางที่ว่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา ไม่ค่อยกล่าวถึงโรคกระดูกพรุน โรคนี้จึงกลายเป็นภัยเงียบขนานแท้ ทั้งๆ ที่ดูตามสถิติแล้ว ปัญหาความเจ็บป่วยด้วยกระดูกพรุนของสตรี มีมากกว่าโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งอีกหลายชนิดรวมกันด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมีตัวเลข การสูญเสียชีวิตปรากฏให้เห็น

ปัญหาของกระดูกพรุนแก้ไขด้วยสามแนวทาง ได้แก่ การแนะนำให้บริโภคแคลเซียมมากขึ้น การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและการให้ฮอร์โมนทดแทน กรณีหลังนี้ต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์ครับ หากทำกันเองอาจเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคอื่นๆ ตามมาได้ ส่วนกรณีแรกหรือการเสริมแคลเซียมนั้น นับเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ทำง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด

แคลเซียมมีมากในนมและผลิตภัณฑ์จากนม ไม่น่าเชื่อนะครับว่าฝรั่งมังค่าที่ดื่มนมกันเป็นประจำ ยังมีปัญหาของการบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอ อย่างเช่นรายงานการสำรวจข้อมูลในสตรีออสเตรเลีย เมื่อต้นปี 2000 นี้เอง ปรากฏว่าออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีการรณรงค์ในเรื่องโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างมาก กลับพบว่าสตรี 76% บริโภคแคลเซียมในปริมาณต่ำกว่าที่แนะนำกันทั่วไป ในจำนวนนี้มี 14% ได้รับแคลเซียมต่ำกว่าระดับ 300 มก./วัน ซึ่งถือว่าต่ำมาก

สรุปแล้วภาวะกระดูกพรุนเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกสังคมไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันออกหรือตะวันตก มีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่าคนผิวขาวและคนเอเชียจะเสี่ยงต่อกระดูกพรุนมากกว่าคนนิโกร ดังนั้น เราจึงพบปัญหากระดูกพรุนในสังคมของเรามากกว่าในอัฟริกา ลองสังเกตดูเอาก็คงได้คนชราไทย ที่หลังค่อมหลังโกงมีจำนวนไม่น้อย เหตุที่หลังค่อมก็เพราะกระดูกสันหลังพรุนจนทรุด ร่างกายจึงเตี้ยลง

ปัจจัยแรก คือ การเป็นเพศหญิง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนมากกว่าชาย เรื่องนี้เป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยหมดระดูนั่นเอง ส่วนผู้ชายโดยทั่วไป การสูญเสียแคลเซียมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าวัยชรา หรืออายุเกิน 65 ปีแล้วเท่านั้น

คุณผู้หญิงอย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจนะครับว่าตนเองเกิดปัญหากระดูกพรุนก่อนชายตั้ง 20 ปี หากจะมองกันในแง่ดีจะเห็นว่าผู้หญิงมีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าผู้ชาย แถมยังทนต่อปัญหาได้มากกว่า เรื่องนี้มีข้อมูลสนับสนุนครับ มีรายงานทางการแพทย์ กล่าวว่า หากชายเกิดกระดูกสะโพกหักในวัยชรา จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าหญิงที่เป็นอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าผู้ชายทนต่อภาวะกระดูกเสื่อมได้น้อยกว่า หรือจะว่าใจเสาะกว่าก็น่าจะได้

ความใจเสาะของเพศชายนั้น เคยมีแพทย์อเมริกันท่านหนึ่งกล่าวว่า หากให้เพศชายเป็นฝ่ายตั้งครรภ์และคลอดบุตรแล้ว มนุษย์อาจจะถึงคราสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้ เพราะผู้ชายใจเสาะมากกว่า คงจะทนต่อการความเจ็บปวดจากการคลอดบุตรไม่ไหว

ปัจจัยที่สอง คือ การรับประทานโปรตีนมากเกินไป อย่างเช่น หากเพิ่มโปรตีนในมื้ออาหาร จาก 40 เป็น 80 กรัมต่อวัน จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมทางปัสสาวะมากขึ้น 1 มิลลิโมลต่อวัน เหตุนี้เองครับที่ทำให้มีการตั้งสมมติฐานกันว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชากรในชาติด้อยพัฒนา เสี่ยงต่อการเกิดปัญหากระดูกพรุนน้อยกว่าชาติพัฒนาแล้ว ก็เพราะได้รับโปรตีนไม่สูงนักนี่เอง พูดถึงเรื่องโปรตีนแล้ว บางคนอาจจะกังวลไม่รู้ว่าตนเองรับประทานโปรตีนมากเกินไปหรือเปล่า เอาเป็นว่าการรับประทานโปรตีนมากจนผิดปกติ อย่างเช่น รับประทานสเต็กชิ้นใหญ่ๆ สักสองชิ้นทำนองนั้น อาจจะสร้างปัญหาทำให้เสียแคลเซียมจากร่างกายมากขึ้น คนไทยส่วนใหญ่รับประทานโปรตีน ไม่มากเกินไปหรอกครับ อย่าได้ห่วงเลย

เรื่องบริโภคโปรตีนมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากนี้ มีรายงานทางการแพทย์ บางรายงานเหมือนกันที่ให้ข้อมูลว่าการบริโภคโปรตีนมากไม่น่าจะสร้างปัญหาเรื่องกระดูกพรุน เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติทางวิทยาศาสตร์ครับ คือเห็นตรงกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง แต่ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว เอาเป็นว่าบริโภคโปรตีนอย่าให้น้อยหรือมากเกินไปจะดีกว่า

ปัจจัยที่สาม คือ ปัญหาการขาดวิตามินดี ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเกิดความบกพร่อง ในการดูดซึมแคลเซียม เกิดการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกมากขึ้น เสี่ยงต่อกระดูกสะโพกหักมากขึ้น ดังนั้น มีรายงานทางการแพทย์ของฝรั่งกล่าวว่า การเสริมวิตามินดีในอาหาร จะช่วยลดการสูญเสียเนื้อกระดูก ตลอดจนลดปัญหากระดูกสะโพกหักในสตรีวัยชรา

เรื่องวิตามินดีนี้เกิดขึ้นในกรณีของฝรั่งหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศหนาวได้รับแสงแดดน้อย เท่านั้นหรอกครับ ยังไม่เคยมีรายงานคนไทยเกิดปัญหาขาดวิตามินดีเลย ประเทศไทยมีแสงแดดจ้าทั้งปี วิตามินดีสร้างขึ้นได้ที่ใต้ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด ดังนั้น คนไทยในเมืองไทยทั้งหลาย อย่าได้ห่วง เรื่องขาดวิตามินดีให้มากนัก

ปัจจัยที่สี่ คือ การรับประทานอาหารเค็มมากเกินไป มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า หากร่างกายได้รับโซเดียมมาก อาจส่งผลให้ร่างกายขับแคลเซียมทางปัสสาวะมากขึ้น โซเดียมไม่ใช่จะมีเฉพาะในเกลือแกงเท่านั้น ในผงชูรสก็มีโซเดียมอยู่ด้วย

ผงชูรสคือโมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือเอ็มเอสจี จะเห็นได้ว่ามีโซเดียมอยู่หนึ่งตัว เหตุนี้เองครับที่ทำให้เชื่อกันว่าการบริโภคผงชูรสมากนักจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน เหตุผลในเรื่องนี้เห็นทีจะอยู่ตรงโซเดียมในผงชูรสนั่นแหละครับ

ปัจจัยที่ห้า คือ การดื่มกาแฟหรือบริโภคสารกาเฟอีน ในกรณีสตรีสูงวัย หากร่างกายไม่ได้รับแคลเซียมในอาหารอย่างเพียงพอแล้ว อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากระดูกพรุนได้เร็วขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากสารกาเฟอีนมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และคลอไรด์ในปัสสาวะมากกว่าปกติ

คนวัยสาวเมื่อสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ ร่างกายจะชดเชยโดยการดูดซึมแคลเซียม จากทางเดินอาหารมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดปัญหาจากการบริโภคกาเฟอีนเพราะมักได้รับแคลเซียมเพียงพออยู่แล้ว แต่ทว่า กลไกชดเชยที่ว่านี้ขาดหายไปในผู้หญิงสูงวัย ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องดื่มกาแฟ ชา นี้ มีรายงานการศึกษาที่เรียกว่า Flamingham Study ซึ่งเป็นการติดตามศึกษาในกลุ่มประชากรจำนวนมากนับได้หลายหมื่นคนในเมืองฟลามิงแฮม ใกล้ๆ นครบอสตันของสหรัฐอเมริกา ผู้ศึกษาคือแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดร่วมกับหลายมหาวิทยาลัย ได้ผลสรุปออกมาว่าการดื่มกาแฟ หากดื่มไม่มาก แค่หนึ่งถ้วยต่อวัน จะไม่สร้างปัญหากระดูกพรุน ดังนั้น หากคุณย่าคุณยายอยากจะดื่มกาแฟสักถ้วย ขออย่าไปห้ามเลยครับ

ปัจจัยที่หกและเจ็ด คือ การสูบบุหรี่กับการดื่มเหล้า ซึ่งมีข้อมูลออกมาแล้วว่าการสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจะมีผลทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกของผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น ใครที่ไม่อยากกระดูกพรุนในวัยชรา คงต้องหยุดสูบบุหรี่และดื่มสุราตั้งแต่วันนี้

เรื่องบุหรี่มีข้อมูลที่ค่อนข้างน่าห่วงว่าในขณะที่ประชาชนโดยทั่วไปสูบบุหรี่น้อยลง การสูบบุหรี่ในสตรีทำงาน กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น สตรีเหล่านี้กำลังสร้างปัญหากระดูกพรุนบวกมะเร็งให้กับตนเอง หากเปลี่ยนใจหยุดสูบบุหรี่เสียได้ ก็ยังไม่สายเกินไปครับ

ดร.วินัย ดะห์ลัน

(update 4 พฤศจิกายน 2000)


[ ที่มา... เนชั่นสุดสัปดาห์   ปีที่ 8 ฉบับที่ 438 วันที่ 23-29 ตุลาคม 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600