มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ไอเรื้อรังในเด็ก


อาการไอเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่ร่างกายต้องการขับสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากทางเดินหายใจ โรคทางระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม ฯลฯ มักจะมีการทำลาย Cilia ซึ่งเป็นตัวที่โบกพันได้อยู่บนเซลล์ของเยื่อบุทางเดินหายใจ ตัว Cilia มีหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอม ที่อยู่ในทางเดินหายใจและโบกพัดออกมาภายนอก ถ้า Cilia ถูกทำลายจะทำให้สิ่งแปลกปลอม อุดอยู่ที่ทางเดินหายใจ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหายใจไม่โล่ง ดังนั้นจึงต้องอาศัยการไอซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่ง ในการขจัดสิ่งแปลกปลอม, เสมหะออกจากทางเดินหายใจ การไอที่มีประสิทธิภาพจะเป็นวิธีการสำคัญ ที่ช่วยขจัดสิ่งแปลกปลอมและเสมหะจำนวนมากออกไป

การไอเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้น Cough Receptors ซึ่งคือจุดสัญญาณที่จะทำให้ไอ Cough Rceptors นี้ อยู่บริเวณกล่องเสียง ผนังหลอดลมด้านหลัง ทางเดินหายใจขนาดใหญ่ ฯลฯ เมื่อ Cough Receptors รับสัญญาณแล้วจะไปกระตุ้นเส้นประสาทซึ่งจะส่งสัญญาณต่อไปยังสมองตรงส่วนที่ควบคุมการหายใจ (ศูนย์หายใจ) เมื่อศูนย์หายใจได้รับสัญญาณก็จะส่งสัญญาณลงไปตามเส้นประสาทที่ควบคุม กล้ามเนื้อกระบังลม กล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างซี่โครง กล้ามเนื้อท้อง กล้ามเนื้อเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้หดตัว ซึ่งทำให้มีการเพิ่มของความดันภายในปอดอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการไอขึ้น

การไออาจถูกกระตุ้นหรือถูกกอดได้ ถ้ามีการกดของสมอง เช่น เป็นโรคเนื้องอกในสมอง ฯลฯ มีการทำลายของเส้นประสาทซึ่งรับสัญญาณต่างๆ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ก็จะทำให้การไอลดน้อยลง หรือไม่สามารถไอได้ ผลร้ายที่จะตามมาก็คือ ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจได้บ่อย และเป็นอยู่อย่างเรื้อรัง

ระยะต่างๆ ของการไอ

การไอจะเริ่มจากช่วงหายใจเข้า คือ จะมีการหายใจเข้าลึก 1.5-2 เท่าของปกติ ทำให้มีการขยายของทางเดินหายใจ จากนั้นจะมีการปิดของกล่องเสียง มีการขยายของผนังอก ท้องและช่องเชิงกราน ระยะนี้จะกินเวลา 0.08-0.3 วินาที ทำให้มีความดันปอดสูง จากนั้นกล่องเสียงจะเปิดทันทีทำให้ลมหายใจที่ออกมาออกด้วยความเร็วสูง เกิดอาการไอขึ้น ซึ่งในระยะนี้ต้องอาศัยการประสานงานของกล้ามเนื้อต่างๆ

สาเหตุของการไอเรื้อรัง

สาเหตุของการไอที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุ คือ การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบน โดยทั่วไปจะไออยู่ 1-3 สัปดาห์ แล้วจะหายไปเอง แต่ก็มีเชื้อบางชนิดเช่น Influenza Virus Type A. หรือ Adenovirus อาจทำให้ไอนาน 8-12 สัปดาห์

อาการไอเรื้อรัง โดยทั่วไปถือว่าไอนานเกิน 4 สัปดาห์ เกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
ในเด็กทารก (ต่ำกว่า 1 ปี)
  • เกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิดของทางเดินหายใจ
  • การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่อยู่ในครรภ์และหลังคลอด เช่น เชื้อหัดเยอรมัน เชื้อ Chlamydia ซึ่งอาจทำให้เป็นปอดบวมตั้งแต่อยู่ในครรภ์
  • การสำลักนม, น้ำลาย หรือน้ำย่อยจากกระเพาะ
ในเด็กอายุ 1-5 ปี (วัยก่อนเรียน)
  • เกิดจากสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม เช่น สำลักเมล็ดน้อยหน่า ฯลฯ
  • ติดเชื้อโรคในปอดทำให้ปอดแฟบเป็นบางส่วน
  • หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
ในเด็กอายุ 5-15 ปี (วัยเรียน)
  • เกิดจากการสูบบุหรี่
  • การติดเชื้อ Mycloplasma
  • การไอจากสาเหตุด้านจิตใจ
พบบ่อยในทุกอายุ ได้แก่
  • การติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ
  • หอบหืด
  • ไอกรน
การวินิจฉัยโรค
จากประวัติ
  • ถ้าลักษณะของการไอมีเสมหะหรือไอแห้งๆ ถ้ามีเสมหะก็เป็นเมือกใส คิดถึงภูมิแพ้ เสมหะสีเหลืองหรือเขียว คิดถึงการติดเชื้อ
  • อายุเริ่มแรกที่มีอาการ เช่น ถ้าเริ่มไอช่วงทารก คิดถึงพยาธิสภาพที่เป็นมาแต่กำเนิด
  • สิ่งที่ทำให้เกิดอาการหรือทำให้อาการดีขึ้น เช่น ถ้าเป็นตามฤดูกาล นึกถึงโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาของหลอดลม
  • อาการที่เกิดร่วมกับการออกกำลังกาย คิดถึงโรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคที่เกิดจากมีการกดหลอดลมเช่น เนื้องอกบางอย่าง
  • อาการที่เกิดร่วมกับการให้อาหาร คิดถึงการสำลัก
  • อาการที่ดีขึ้น เมื่อกินยาขยายหลอดลม คิดถึงโรคหอบหืด
  • อาการที่หายไปเมื่อนอนหลับ หรือเป็นมากขึ้นเมื่อมีความกังวล คิดถึงอาการไอที่เกิดจากภาวะจิตใจ
ดังนั้นท่านหรือบุตรหลานมีอาการไอเรื้อรังควรสังเกตว่า มักไอช่วงใดและเกี่ยวโยงกับกิจกรรมใด เพื่อจะได้ให้ประวัติแก่แพทย์ให้ถูกต้อง เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายดูว่า มีความผิดปกติอะไรบ้าง ถ้าแพทย์ฟังปอดได้ยินเสียงหวัดหวี (Wheeze) ก็แสดงว่าอาจเป็นหอบหืด

ถ้ามีอาการไข้ ไอ หอบหืด ฟังได้ยินเสียงกรอบแกรบในปอด (Crepilahon) ซึ่งเป็นเสียงพัก ในถุงลมก็เป็นปอดบวม ถ้าตรวจพบว่าเด็กเลี้ยงไม่โตก็ต้องคิดถึงว่ามีการอักเสบเรื้อรัง

นอกจากการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์อาจขอตรวจเลือด ฉีดยาทดสอบเชื้อวัณโรค ตรวจเสมหะเพื่อหาว่ามีเชื้อวัณโรคหรือเชื้อแบคทีเรียหรือไม่อาจ X-Ray ปอดและบริเวณคอดูว่า มีอะไรผิดปกติไหม นอกจากนี้ยังมีการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจการทำงานของปอด โดยใช้เครื่องตรวจสมรรถภาพปอด

การรักษาอาการไอ มี 2 แบบ คือ
1. รักษาตามสาเหตุ
2. รักษาตามอาการ
ยาที่ใช้รักษาตามอาการมี 3 ประเภทคือ ยาระงับอาการไอ ยาขับเสมหะ และยาระบายเสมหะ

ยาระงับอาการไอ ไม่มีผลในการแก้หรือรักษาสาเหตุโดยตรง แต่จะช่วยให้ไอน้อยลง ได้พักผ่อนนอนหลับดีขึ้น ลดอาการระคายคอลงได้ ยาประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
  • ยาระงับไอที่ออกฤทธิ์ต่อสมองส่วนกลาง จะออกฤทธิ์ที่ศูนย์การไอของสมอง ยากลุ่มนี้ที่ใช่บ่อยคือ Codein (มีฝิ่นเป็นส่วนประกอบของยา) และ Dextronethorphan
  • ยาระงับไอที่ออกฤทธิ์ที่ส่วนปลาย ได้แก่ ยาอมที่มียาชาเป็นส่วนประกอบ ยานี้จะออกฤทธิ์ที่ Receptor ของเส้นประสาทในทางเดินหายใจ กดการไอทำให้ไอน้อยลง แต่ผลที่ได้ไม่ค่อยแน่นอน
ยาระงับไอ ที่นิยมใช้กันมากได้แก่ Codeine ยานี้ระงับการไอได้ดีมาก แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ จะทำให้เสพย์ติดได้
ข้อดีคือ ระงับอาการไอได้ผลดี ผู้ป่วยทนต่อยาได้ดี ถ้าให้ขนาดต่ำๆ ไม่ทำให้กดการหายใจหรือเสพย์ติด
ข้อเสียคือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มึนงง ใจสั่น ง่วงนอน ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7-10 วัน

ส่วน Dextronethorphan ระงับอาการไอได้ผลดี แต่อ่อนกว่า Codine ไม่เสพย์ติด
ข้อเสียคือ ทำให้ง่วงนอนเล็กน้อย คลื่นไส้ มึนหัว ถ้าใช้เกินขนาดอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากยาไปกดศูนย์หายใจ ยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยหอบหืดเพราะหลอดลมตีบตันมากขึ้น ไม่ควรใช้ในเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ

ในขณะที่ Diphenhydramine เป็นยาระงับไอที่ดีแต่อ่อน ไม่ทำให้เสพย์ติด ข้อเสียคือ ง่วงนอน

ยาขับเสมหะ ได้แก่
  • Ammonium Chlovicle
  • Glyecryl guaicolate
ยาละลายเสมหะ ได้แก่
  • Fluimueil
  • Bromhexine, Ambraxol
สำหรับผู้ป่วยที่ไอเรื้อรังมานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการไอ จะได้รักษาให้ถูกต้องตรงตามสาเหตุ ไม่ควรซื้อยากินเอง ผู้เขียนพบบ่อยๆ ว่าเด็กที่ไอเรื้อรังหลายราย เกิดจากเป็นหอบหืด แต่ผู้ปกครองไม่ทราบ มัวแต่ให้ยากินแก้ไอก็ไม่หาย ในที่สุดเมื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และได้ยาพ่นแก้หอบหืดอาการก็ดีขึ้น

มีเด็กรายหนึ่งมีอาการไอเป็นๆ หายๆ เนื่องจากบิดาสูบบุหรี่จัดมาก ครอบครัวนี้อยู่ในห้องเช่าเล็กๆ เมื่อพ่อสูบบุหรี่ เด็กก็ต้องดมควันพิษตลอดเวลาเหมือนกับเด็กสูบบุหรี่เอง เด็กคนนี้จะดีขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพ่อยังไม่เลิกสูบบุหรี่ในห้องพัก

มลภาวะทางอากาศก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เป็นโรคภูมิแพ้กันมาก สาเหตุสำคัญของมลภาวะทางอากาศคือ ควันไอเสียรถยนต์ โดยเฉพาะควันไอเสียรถยนต์จากรถมอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ และควันไอเสียรถที่ใช้น้ำมันดีเซล เนื่องจากในควันท่อไอเสียเหล่านี้มีสารพิษชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมาก เชื้อ DEP สารพิษนี้สามารถซึมแทรกไป ในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างได้และลอยอยู่ได้เป็นเวลานาน คนที่อาศัยอยู่ริมถนนที่มีรถติดมากๆ แม้จะปิดประตูหน้าต่างและติดแอร์ก็ไม่อาจหนีสารพิษนี้ได้ การอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี กลับมีปริมาณสารพิษ DEP นี้น้อยกว่าในห้องแอร์

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดที่จะลดภาวะอากาศเป็นพิษก็คือ เราต้องร่วมกันใช้รถยนต์ให้น้อยลง อย่าขับรถออกไปในช่วงรถติดเพราะระหว่างที่เราอยู่ในรถที่ติดแอร์เราก็ได้รับสาร DEP ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ในคนกรุงเทพฯ

สาร DEP จากควันไอเสียรถยนต์ในกรุงเทพ โดยเฉพาะถนนสำคัญๆ เช่น สีลม จะมีปริมาณมากกว่าที่ควรจะมีได้หลายสิบเท่า ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องร่วมมือกัน ลดมลภาวะในอากาศ โดยช่วยกันรักษาเครื่องยนต์ให้ดีอย่าให้มีควันดำ อย่าใช้รถที่ใช้น้ำมันดีเซล อย่าใช้มอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ และพยายามใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงการใช้รถ ใช้ถนนในเวลาเร่งด่วน หรือช่วงรถติด เพราะเราจะได้รับสาร DEP มาก (สาร DEP นอกจากจะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้แล้วยังพบว่าทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ แต่ในคนยังไม่มีการศึกษา)

สาร DEP จะน้อยลงถ้ามีฝนตกหรือถ้ามีการถ่ายเทอากาศดี หากท่านอาศัยอยู่ริมถนนที่มีรถติดมาก ท่านควรเปิดประตูหรือหน้าต่างหลังบ้านให้อากาศได้ถ่ายเทบ้าง ดีกว่าขังตัวเองอยู่ในห้องแอร์ที่มี DEP อยู่เต็มห้อง

พ.ญ.ลำดวน นำศิริกุล

(update 12 ธันวาคม 2000]


[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก   ปีที่ 22 ฉบับที่ 329 พฤศจิกายน 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600