|
|
คำถาม : ระหว่างถูกต้องกับถูกใจ ท่านเลือกอะไร ?
เวชปฏิบัติหรือการประกอบโรคศิลป์ เป็นการใช้ทั้ง
วิทยาศาสตร์และศิลปะ คือใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์แต่นั่น
หมายถึงในการปฏิสัมพันธ์กับคนไข้ ซึ่งต่างจากวิชาชีพอื่น
ที่ทำกับวัตถุในห้องทดลอง เช่น ช่างต่างๆ นักวิทยาศาสตร์
วิศวะหรือสถาปนิก ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตและที่มีจิตใจ
เช่น มนุษย์ การปฏิบัติของแพทย์หรือหมอจึงต้องมีศิลปะจะ
จับจะต้องคนไข้ซึ่งเป็นมนุษย์ย่อมแตกต่างจากจับเหล็กจับไม้
ที่สำคัญการสื่อสาร ที่เน้นการสื่อสารเพราะอาจจะใช้
สื่อสารด้วยวาจาคำพูดหรืออาศัยร่างกายท่าทางก็สื่อได้ ยิ่ง
ท่าทางยิ่งสำคัญ |
คงได้อ่านข่าวผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกายบริเวณ RCA ไม่รู้จักกัน ไม่ได้พูดจากันมาก่อน
เพียงมองด้วยหางตาพร้อมท่าทางฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าดูถูกเลยถูกรุมกินโต๊ะเป็นภาระหมอไปอีก
แต่การแพทย์ที่เน้นคุณภาพนั้นก็ยังเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่ศาสตร์นั้นเน้นหนักมากขึ้น
โดยเฉพาะการให้ข้อมูลกับผู้ป่วย ซึ่งการแพทย์ยุคใหม่ถือว่าผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ทั้งการเลือกหมอการเลือกวิธีรักษา
ดังนั้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า Evidence Base Medicine
เป็นการให้ข้อมูลทางวิชาการในการวางแผนรักษาหมดสมัยที่จะอ้างประสบการณ์ส่วนบุคคลมาเป็นพื้นฐาน
การวางแผนการดูแลรักษาคนไข้
เรียกได้ว่า การแพทย์แบบถูกต้องแต่อาจจะถูกหรือไม่ถูกใจผู้มารับบริการต้องมีหลักการหรือสติ
ว่าจะวางน้ำหนักลงที่ส่วนไหนระหว่างถูกต้องกับถูกใจ ซึ่งกำลังก่อปัญหาทำให้กับผู้ป่วยหรือคนไข้
หรือผู้มาใช้บริการทางการแพทย์มากกว่าตัวแพทย์ซึ่งก็เพียงแต่เกิดความไม่สบายใจไม่ถึงกับขัดใจ
เพราะเป็นสิทธิของผู้ป่วยตามสัตยาบันที่แพทยสภาได้ให้แพทย์ปฏิบัติ เพราะบางกรณีสิ่งที่คนไข้เลือก
เป็นหนทางปฏิบัตินั้น อาจจะก่อปัญหาในระยะยาวได้ ซึ่งในสังคมโดยเรามีผู้หวังดีมากมายรอบข้าง
ผู้ป่วยมักจะให้คำแนะนำที่มีพื้นฐานมาจากการฟังเขาเล่าว่า ที่กำลังฮิตคือเรื่องของฮอร์โมน
ที่จริงแล้วฮอร์โมนที่ใช้ในคุณสุภาพสตรีที่ใช้มากเพียงสองตัวคือ กลุ่มเอสโตรเจน และกลุ่มโปรเจสเตอโรน
(Estrogen, Progesterone) ที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาคือตัวเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ปกติ
มีในร่างกายอยู่แล้วและสร้างโดยรังไข่เป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่สร้างจากต่อมหมวกไต ที่อยู่เหนือไตครอบอยู่ก็ว่าได้
คนไทยเราก็เรียกว่าต่อมหมวกไต ได้ความหมายดี และมีบ้างที่สร้างโดยเซลล์ไจมันใต้ผิวหนังของคุณสุภาพสตรี
ดังนั้นถ้ามีจำนวนไขมันมากก็จะมีปริมาณฮอร์โมนกลุ่มนี้สร้างออกมามาก
คุณสมบัติพื้นๆ ของฮอร์โมนตัวนี้คือ กระตุ้นให้เซลล์อาจจะกล่าวได้ว่าทุกชนิดตื่นตัวสร้าง
และเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่กับว่าเซลล์กลุ่มใดมีรีเซพเตอร์ (Receptor) หรือหน่วยรับการกระตุ้นของฮอร์โมนมากน้อย
เนื้อเยื่อหรือเซลล์ของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น เต้านม เยื่อบุโพรงมดลูก รังไข่ ปากมดลูก เยื่อบุช่องคลอด
จะมีรีเซฟเตอร์ (Receptor) ปริมาณมากก็จะตอบสนองได้มาก
ไม่เท่านั้นยังพบว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้ยังมีผลต่อการเผาผลาญ (Metabolism) ของระบบสารกลุ่มไขมัน
และมีผลต่อกลไกการแข็งตัวของเลือดทำให้ในคุณผู้หญิงวัยที่ยังมีระดูมีอุบัติการของโรคหลอดเลือด
และหัวใจต่ำกว่าเพศชายมาก แต่อุบัติการของโรคนี้จะเปลี่ยนไปในทางด้านตรงข้ามเมื่อเข้าสู่วัยหมดระดู
พบว่าอุบัติการการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 3 เท่า ข้อมูลทางการศึกษาดังกล่าวนี้ก็พอสรุปได้ว่า
ฮอร์โมนจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ แต่ข้อมูลนี้อาจจะเปลี่ยนไปในอีก 10 ปีข้างหน้า
ถ้าการศึกษาซึ่งมีอยู่ตลอดเวลามีข้อมูลใหม่ออกมา
ตัวอย่างเคยเชื่อว่าฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนช่วยรักษาโรคสมองเสื่อมสมองฝ่อ หรือโรคอัลไซเมอร์
ซึ่งพบมากในฝรั่งแต่คนไทยดัดจริตเป็นฝรั่งมากขึ้น เลยได้กุศลกรรมเพื่อแพร่โรคนี้มาด้วยมากขึ้น
เป็นโรคที่อาจจะก่อปัญหาแก่สังคมในอนาคตเพราะจะมีผู้สูงอายุมากขึ้นในไทย คาดว่าในทศวรรษหน้า
จะมีประชากรสูงอายุใกล้สิบล้านคน โรคนี้เมื่อเป็นแล้วใช้เวลา 5-7 ปี หรืออาจจะใกล้สิบปี
กว่าจะเสียชีวิตจะก่อปัญหาแก่ผู้ดูแลมาก เพราะต้องการการดูแลอย่างมากจะช่วยตัวเองไม่ได้เลย
คนดังที่รู้จักกันขณะนี้คือ อดีตประธานาธิบดีเรแกนกำลังเผชิญอยู่
จากข้อมูลใหม่ที่สรุปออกมาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่มีผลต่อการรักษาโรคนี้
แต่ก็มีข้อมูลว่าใบแปะก๊วย ซึ่งผลแปะก๊วยบ้านเรานำมาทานเป็นของหวาน กลับพบว่า
ช่วยทำให้โรคดังกล่าวดีขึ้นเป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ ไม่เด่นชัด คำว่าเด่นชัดในทางการแพทย์นั้น
หมายถึงการศึกษาที่ต้องทำในคนไข้ที่ใช้ข้อมูลจำนวนเหมาะสมกับโรค ถ้าโรคที่พบน้อยข้อมูล
การทดลองต้องมีจำนวนมากอาจจะใช้คนเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าโรคที่พบมากอาจจะใช้ข้อมูลน้อย
เป็นร้อยเป็นพันตามกรรมวิธีทางสถิติ
สมัยก่อนการศึกษาทำกันแบบตัวใครตัวมันกว่าจะได้งานสักงานก็ใช้เวลาหลายปี
บางทีเกือบตลอดชีวิตคนทำวิจัย เช่น มะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ฯ สมัยก่อนเป็นแบบแข่งกันดัง
สมัยนี้เปลี่ยนไปใช้นโยบายร่วมกันดัง คือหลายๆ สถาบันร่วมกันทำวิจัยและการทำวิจัย
ปัจจุบันพอทำไปได้ครึ่งทางถ้าพบว่าได้ผลในทางบวกก็จะกระจายข่าวให้สังคมรับทราบ
เพื่อจะได้มีแนวร่วมทำวิจัยหรือมีคนเสนอข้อแนะนำหรือติติงเรียกว่าเปิดกว้าง
ดังตัวอย่างตัวแปะก๊วย โชคร้ายไม่มีในเมืองไทย เพราะเป็นไม้เมืองหนาวทางยุโรปปลูกไว้ตามริมถนน
เป็นไม้ประดับ แต่คนจีนปลูกเป็นไม้แดก (รับประทาน) ใครฉลาดกว่าคงจะบ่งบอกได้ ต้นไม้แปะก๊วยนี้
เป็นไม้โบราณพบตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ยุคไดโนเสาร์อย่างไร ปัจจุบันก็คงลักษณะเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พระเจ้าคงรู้สภาพคุณเลยประทานให้คงกระพันมาตลอด จนหลายร้อยปีล่วงมนุษย์ถึงเรียนรู้สรรพคุณ
ด้วยคุณสมบัติของเอสโตรเจนที่มีผลในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์การแบ่งตัว
ทำให้เซลล์อวัยวะสืบพันธุ์ที่มีประตูหรือหน่วยรับการกระตุ้นจะตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้จะตื่นตัว
เพิ่มจำนวนเกิดขึ้นหรือไม่ก็ขยายขนาดเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจจะเลยเถิดไปเกิดเป็นก้อนทูม
หรือเนื้องอกได้แต่ไม่ใช่จะเป็นได้ง่ายๆ ต้องมีปูมหลังคือมีความโน้มเอียง คือมีความบกพร่อง
ทางหน่วยพันธุ์กรรมแฝงอยู่แต่ในคนธรรมดาปกติไม่เกิดความผิดปกติจากฮอร์โมน
ความบกพร่องทางพันธุ์กรรมนั้นเดิมเป็นสิ่งเร้นลับเป็นกระโถน อธิบายอะไรไม่ได้ก็โยนลูกใส่ไว้ก่อน
แต่ปัจจุบันสามารถหาความบกพร่องของหน่วยพันธุกรรมได้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า อองโคยีน (Oncogene)
คือยีนที่เกี่ยวพันกับการเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง ที่ศึกษาจนได้เรื่องได้ราวก็ดูจะเป็นเต้านม
พบตำแหน่งที่จะควบคุมการเป็นมะเร็งที่แน่นอนและให้ชื่อไว้ว่า BRCA มี 1 และ 2 ตำแหน่ง
แต่ไม่ใช่ว่ามียีนนี้แล้วจะเป็นทุกคนไม่ ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอันกำลังศึกษาอยู่ เพราะมีหลักฐานว่า
ธรรมชาติไม่ได้ให้อะไรมาเดี่ยวๆ ต้องมีบาลานซ์ (Balance) เสมอพบว่ามียีนที่ควบคุมยีน
ที่ทำให้เกิดมะเร็งอยู่ด้วย
นอกจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเกี่ยวกับระบบต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบที่สำคัญมากคือ
ระบบโครงสร้างร่างกายรวมทั้งผิวหนังย่อยหุ้มร่างกายเนื้อเยื่อพื้นผิวต่างๆ อ่อนนุ่ม อุ้มน้ำได้ดี
หญิงสาวจึงมีผิวพรรณเปล่งปลั่งนุ่มเนียนกว่าเพศชาย
แต่ขณะเดียวกันฮอร์โมนนี้ก็มีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้โครงกระดูกแข็งแรง
เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงในวงจรการสร้างกระดูกสะสม กระดูกเกิดขึ้นอย่างสมดุล
แต่วงจรกระดูกก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองคือจะสะสมได้มากที่สุดจนอายุ 30 ปี หลังจากนั้นการสะสม
จะน้อยกว่าการดูดซึม แม้จะมีฮอร์โมนเพศก็ทำได้เพียงชะลอการดูดซึมให้ช้าลง ดังนั้นสำหรับความแข็งแรง
ของกระดูกขึ้นอยู่กับต้นทุนการสะสมกระดูกในช่วงก่อนอายุ 30 ปี
ด้วยสภาพสังคมปัจจุบันที่สตรีไม่ต้องเป็นผู้ใช้แต่ทำงานแบกหามดังแม่บ้านสมัยก่อน
ทำแต่งานในออฟฟิศหรืองานบ้านทำให้กระดูกมีการสะสมน้อย การสะสมกระดูกจะเกิดก็ต่อเมื่อ
กระดูกมีความเครียด คือมีการรับน้ำหนักเลยทำให้สตรีสมัยปัจจุบันต้นทุนกระดูกต่ำเมื่อขาดฮอร์โมนเพศ
จะทำให้อุบัติการเกิดกระดูกบางสูงและเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักเมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย
นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ไม่ดี และอาจจะเป็นสาเหตุของการทุพลภาพหรือเสียชีวิตได้
ในประเทศทางตะวันตกหรือประเทศอุตสาหกรรมที่เจริญซึ่งประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดนั้น
พบว่าอุบัติการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากสาเหตุกระดูกหักสูงมากจึงไม่แปลกที่ประเทศทางตะวันตก
โรงพยาบาลต่างๆ แผนกที่ดูแลโรคกระดูกใหญ่โตเพราะคนไข้มากแม้จะเป็นประเทศที่อุบัติเหตุทางถนนน้อย
แต่โรคกระดูกในคนสูงอายุกลับเพิ่มมากขึ้น
ที่กล่าวมานั้นเป็นหลักฐานทางวิชาการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีต่อร่างกายในทางบวกและทางลบ
ที่อธิบายทางลบไว้ไม่มากเพราะยังมีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนบ่งชี้ไม่ชัดเจนถึงกับสามารถบ่งจำเพาะ
ลงไปว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี พบเพียงแนวโน้มและความสัมพันธ์ทางอ้อม
ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงชัดเจนคือมีพันธุกรรมถ่ายทอดมาในสายพันธุ์ใกล้ชิด แต่ก็มีข้อสังเกตว่า
ในกลุ่มที่พบว่าฮอร์โมนมีส่วนในการเกิดมะเร็งนั้น การทำนายโรคมักจะดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ฮอร์โมน
แล้วเกิดโรคมะเร็ง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกลุ่มที่ได้รับฮอร์โมนมักจะมาพบแพทย์สม่ำเสมอ
คือใกล้ชิดแพทย์มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ฮอร์โมนก็เป็นได้
เนื่องจากในปัจจุบันคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องถูกผ่าตัดเจาะรังไข่ออกในวัยก่อนหมดระดู
ซึ่งกลุ่มนี้เป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่าต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน แต่มีไม่น้อยที่ปฏิเสธไม่รับฮอร์โมน
ซึ่งย่อมเป็นสิทธิของผู้รับบริการแต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น คือความเปราะบางของกระดูก
สภาวะโรคหลอดเลือดและหัวใจ
และที่สำคัญโรคชราก่อนอายุอันควรที่เรียกกันว่า โรคตึงอย่างเดียว (หู) และหย่อนยานหมดทุกอย่าง
น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|