ใครมีลูกสาวอยู่ในวัยเรียนระวัง ผลงานวิจัย อ.เอแบคระบุอันตรายสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นักศึกษาสาวต่างจังหวัดที่มาเช่า 'หอพัก' อยู่ในกรุง เวลาออกเดทมีสิทธิ์ถูกแฟนหนุ่ม
ใช้กำลังบังคับให้เสียสาวสูงเพราะสถานที่เอื้ออำนวย ขณะเดียวกันงานวิชัยยังชี้ว่า
วัยรุ่นชายไทยทุกคนเมื่อมีแฟนแต่ละคนต่างมุ่งที่จะล่วงล้ำความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงแทบทั้งสิ้น
สภาพสังคมที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้าครอบงำนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือค่านิยมในเรื่องเพศที่เปลี่ยนแปลงไป การปล่อยเนื้อปล่อยตัว
และไม่หวงแหนในเยื่อพรหมจารีย์ของตนเองคือสิ่งที่สามารถพบเห็นได้เกลื่อนกลาดในเวลานี้
ล่าสุดมีงานวิจัยของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ยืนยันออกมาว่า
บรรดาหญิงสาวที่มีแฟนนั้นมีความจำเป็นต้องระมัดระวังเนื้อตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่
'ออกเดท' หรือมีนัดกับชายหนุ่มที่ตนเองมอบความรักให้ เพราะมีสิทธิ์เสียตัวค่อนข้างมาก
ที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจเท่านั้น หากยังมีสภาพของการใช้กำลังบังคับ
ในลักษณะของ 'การข่มขืน' อีกด้วย
นอกจากนั้น ผลงานวิจัยยังระบุอีกว่ากลุ่มคนที่มีถิ่นพำนักพักอาศัยอยู่ตาม 'หอพัก'
ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก ทั้งระดับนักศึกษา
และนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ดร.นันทพันธ์ ชิ้นล้ำประเสริฐ อาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)
ผู้ซึ่งทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเปิดเผยที่มาที่ไปอันเป็นที่มาของงานวิจัยว่า
เกิดขึ้นมาจากการสังเกตุพฤติกรรมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงค่านิยม
ทางด้านพฤติกรรมทางเพศออกไปจากในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก โดยมีเสรีภาพแทบจะไม่ต่างอะไร
ไปกับฝรั่งตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเมื่อได้มีโอกาสไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์แห่งชิคาโก
ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงมีความคิดที่จะศึกษาเกี่ยวกับปัญหาถูกข่มขืนระหว่างออกเดทในเมืองไทย
พร้อมทั้งเริ่มเก็บข้อมูลทั้งในกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เรียนอยู่ในประเทศ และนักศึกษาระดับปริญญาโท
ที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ปี 2542 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ปัญหาเรื่องถูกแฟนข่มขืนตอนออกเดทมีมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ในสังคมไทยไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน
ขณะเดียวกันปัจจุบันการออกเดทระหว่างชายหญิงมีแนวโน้มที่เด่นชัดมาก ปัญหาการทำแท้งก็มีอัตราสูงขึ้น
จึงตั้งข้อสังเกตและตัดสินใจทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
ในที่สุด เมื่อผลการวิจัยจบสิ้น บทสรุปที่ได้ก็พบว่า การเสียตัวระหว่างการออกเดทโดยใช้กำลังบังคับ
ของฝ่ายชายนั้นมีอยู่จริงและนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ
ซึ่งเอื้อต่อการถูกข่มขืนก็คือ 'สถานที่' และ 'เวลา' ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชายและผู้หญิงอยู่กันตามลำพัง
ยิ่งในกลุ่มของเด็กที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด และพ่อแม่ผู้ปกครองส่งให้มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ
พร้อมกับเช่า 'หอพัก' เป็นสถานที่อยู่อาศัย ยิ่งเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างสูง
เพราะบรรดาชายหนุ่มไทยนั้นมีทัศนคติทางเพศที่พร้อมจะกดขี่ฝ่ายหญิงเสมอ เรียกว่า
มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้อง 'ฟัน' เสมอ
อย่างเบาที่สุด ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ฝ่ายหญิงยินยอมพร้อมใจหรือฝ่ายชายมีความรับผิดชอบ
เรื่องราวก็จะยุติลงด้วยดี กลายเป็นคู่ผัวตัวเมียระหว่างวัยเรียนที่สามารถพบเห็นกันเกลื่อนกลาด
ในสังคมนักศึกษาไทยอยู่ในเวลานี้
แต่ที่รุนแรงไปกว่านั้น คือในกรณีที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอม ฝ่ายชายก็พร้อมที่จะใช้กำลังรุนแรงเข้าจัดการ
โดยไม่รอช้า และไม่ฟังคำอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจหรือน้ำตาที่พร่างพรูจากแฟนของตนเองแต่อย่างใด
คำว่า 'ไม่' ที่ฝ่ายหญิงเอื้อนเอ่ยออกมา กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ฝ่ายชายฮึกเหิมมากขึ้น
พร้อมทั้งตีความไปว่าไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ที่พูดออกมาเป็นเพียงลีลาหรือชั้นเชิงตามมารยาหญิงเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วในจิตใจก็มีความต้องการอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญคือไม่มีถุงยาง ไม่มีการป้องกัน
ซึ่งนั่นหมายความว่าฝ่ายหญิงมีสิทธิ์ที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีหรือเป็นเอดส์ได้ทุกเมื่อเช่นกัน
"การที่เขาอยู่กัน 2 ต่อสองในหอพักของแฟนหรือตัวเอง มีส่วนสำคัญที่เปิดโอกาสให้เกิดการเสียตัวได้ง่าย
เพราะสถานที่และเวลาอำนวย แรกๆ อาจจะยอมให้มีการกอดจูบธรรมดาได้ แต่เมื่อจะเกินเลยไปกว่านั้น
ผู้หญิงจะขอหยุดไม่ต้องการมีเซ็กซ์ต่อ อาจเป็นเพราะกลัวท้อง กลัวพ่อแม่ทราบ กลัวติดโรค
แต่ว่าผู้ชายไม่ยอมหยุดและให้เหตุผลว่าถ้าหยุดก็ไม่ต่างอะไรไปจากควายสิ เพราะเมื่อยอมขนาดนี้แล้ว
ทำไมถึงจะต้องหยุด"
"ถามว่ามีสักกี่เปอร์เซ็นต์ จำนวนมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่จากการเก็บข้อมูลทำให้รู้ว่า
มันแพร่หลายมากและเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องในนิยายหรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น
เฉพาะต่างประเทศ"
นอกจากนั้น ก่อนที่จะไปจบลงที่หอพัก จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงมักเกิด
ที่แหล่งเที่ยวกลางคืนก่อนเป็นลำดับแรก ไม่ว่าจะเป็นผับหรือเธค เพราะหลังจากเหล้าเข้าปากไป
สิ่งแรกที่ผู้ชายนึกถึงร้อยทั้งร้อยก็คือพรหมจรรย์ของฝ่ายหญิงที่ตนเองพาไปด้วย และพยายามหาโอกาส
ที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วยตลอดเวลา
ขณะเดียวกันผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ในช่วงระหว่างที่ดื่มเหล้าอย่างสนุกสนานเฮฮาในดิสโก้เธคนั้น
หญิงสาวที่ออกเที่ยวกลางคืนยังมีความเสี่ยงที่จะถูก 'วางยา' จากทั้งชายหนุ่มที่ไปด้วยและชายหนุ่มที่รู้จักกัน
ชั่วข้ามคืนเช่นกัน
โดยยากล่อมประสาทที่มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้มีอยู่ 3 ชนิดด้วยกันคือ Rohypnol
ยาเลิฟและยาอี
ยิ่ง Rohypnol ด้วยแล้ว ยิ่งอันตรายหนักเพราะเป็นยาที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ
เป็นยาที่เมื่อใช้แล้วผู้หญิงจะหลับยาวเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง และเมื่อตื่นขึ้นมาจะไม่สามารถ
จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยว่าตนเองไปกับใคร ที่ไหน อย่างไร และเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อะไรบ้าง
" ตอนนี้วัยรุ่นไทยมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการข่มขืนว่าจะต้องเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักกัน
หรือคนแปลกหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เวลาที่ถามเรื่องถูกแฟนใช้กำลังบังคับตอนออกเดท
แทบทุกคนเห็นว่าไม่น่าจะใช้คำว่าข่มขืน น่าจะใช้คำว่าสมยอมมากว่า ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน
มีคนทักท้วงเหมือนกันตอนที่คิดจะทำว่าในสังคมไทยมีจริงหรือ แต่เมื่อศึกษาเสร็จก็พบว่ามีจริง
เพียงแต่ไม่ได้มีความสนใจมากนัก "
" แล้วระดับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ทัศนคติ
และพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยเพราะจากกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยเก็บตัวอย่าง
ในกลุ่มปริญญาตรีจากสถานศึกษาภายในประเทศ 2 แห่งและในกลุ่มปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ
พบว่า มีเปอร์เซ็นต์ที่จะถูกข่มขืนในช่วงระหว่างที่ออกเดทค่อนข้างใกล้เคียงกัน "
ดร.นันทพันธ์อธิบายเพิ่มเติมว่า การใช้กำลังบังคับข่มขืนหญิงสาวที่เป็นแฟนในระหว่างการออกเดท
เป็นปัญหาที่สังคมไทยยังคงมีความไม่เข้าใจอยู่ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ มูลเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด
เกิดขึ้นจากสภาพวัฒนธรรมและการเลี้ยงดูของคนไทยที่แตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญิงค่อนข้างมา
โดยเพศชายจะมีสิทธิในการแสดงออกทางด้านเพศสัมพันธ์มากกว่า ขณะที่ผู้หญิงจะถูกกดเอาไว้ตลอด
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อฝ่ายหญิงพลาดท่าเสียทีลงไป ก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยเรื่องดัง กล่าวกับใคร
แม้กระทั่งพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะสังคมมักจะโทษฝ่ายหญิงเสมอว่าไปเปิดโอกาสให้เอง
โดยยินยอมให้ผู้ชายใกล้ชิด 2 ต่อสอง
" สังคมจะไม่มองว่า ทำไมผู้ชายไปทำอย่างนั้น แต่จะบอกว่าทำไมผู้หญิงถึงไปเปิดโอกาส ทำไมผู้หญิงถึงยอม
ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องอบรมคนรุ่นใหม่
ให้มีความเข้าใจใหม่ว่า ผู้ชายไม่ได้มีสิทธิพิเศษที่จะล่วงล้ำร่างกายผู้หญิงได้ ถ้าต่างคนต่างรู้สิทธิของตนเอง
มันก็จะดีกว่าสภาพปัจจุบัน ปัญหานี้อาจจะน้อยลง "
"ในต่างประเทศนั้น แม้ตอนแรกฝ่ายหญิงจะยินยอมให้มีการกอดจูบได้ แต่เมื่อไหร่ที่ฝ่ายชาย
จะทำเกินเลยไปกว่านั้น และฝ่ายหญิงไม่ต้องการ บอกว่าไม่ก็คือไม่ ทั้งสองฝ่ายจะเคารพสิทธิในเรื่องนี้ร่วมกัน
ถ้าเกินเลยไปกว่านั้นฝ่ายหญิงมีสิทธิฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลได้ "
สำหรับทางออกในเรื่องนี้นั้น ดร.นันทพันธ์แสดงความคิดว่า ควรจะต้องมีการแก้กฎหมาย
เพื่อที่จะลงโทษฝ่ายชายหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น โดยเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกับกรณีข่มขืน
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่จะควบคุม พฤติกรรมทางเพศ
ขณะเดียวกันในส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะดูแลเอาใจใส่และติดตามพฤติกรรมบุตรหลาน
ของตนเองอย่างใกล้ชิดด้วย ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยให้มาดำรงชีวิตตามลำพังเหมือนดังเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
|