มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดแผล เริม


แผลเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณอวัยวะเพศทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่เป็นผลของการติดเชื้อไวรัสชื่อ เฮอร์ปีส์ (Herpes Simplex Virus ชื่อย่อ HSV) ซึ่งมีสองชนิดใหญ่คือ Type I และ Type II

เชื้อไวรัสชนิดที่ 1 (HSV I) ชอบอาศัยบริเวณริมฝีปากหรือในช่องปากทำให้เกิดตุ่มพองมีน้ำใสอยู่ข้างใน ต่อมาแตกเป็นแผลที่เราเรียกกันว่า "เริม" แต่สามารถแทรกเข้าสู่ร่างกายตามเยื่อบุช่องคลอด หรือผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากมีการใช้ปากร่วม ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทำให้ปัจจุบันพบ HSV I เพิ่มมากราว 5-30% ของคนไข้ ที่เริ่มมีอาการติดเชื้อเป็นครั้งแรก

ไวรัสชนิดที่ 2 (HSV) มีแหล่งที่อยู่ในช่องคลอดและบริเวณอวัยวะเพศทั้งหญิงและชาย รวมทั้งทวารหนักคือขอบอยู่แถบใต้เอวลงมา

อาการสำแดงผิดปกติ มักเกิดหลังจากได้รับเชื้อไวรัสประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยเริ่มเป็นตุ่มพองเล็กๆ ส่วนมากเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่ง และมักเป็นกลุ่ม 3-5 ตุ่มใกล้เคียงกัน ต่อมาตุ่มพองที่มีน้ำใสนี้แตกออก เกิดเป็นแผลเปิดและมีอาการปวดแสบมากโดยเฉพาะเวลาโดนน้ำปัสสาวะหรืออุจจาระส่วนมาก ถ้าคนไข้เพิ่งได้รับเชื้อไวรัสเป็นครั้งแรก เขาหรือเธอมักมีความรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว แบบไข้หวัดก่อนมีตุ่มพองเกิดขึ้นหรือพร้อมกับเริ่มมีอาการเจ็บคันและตุ่มเกิดขึ้นที่ผิวหนัง คนไข้อาจมีอาการเจ็บขัดๆ บริเวณขาหนีบเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั่นโตขึ้น แผลเล็กๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสนี้อาจบวมแดงและเป็นหนองเฟะได้ถ้าเชื้อแบคทีเรียเข้ามาผสมโรงทีหลัง แต่ถ้าได้รับการรักษาทันท่วงทีหรือแผลที่เกิดได้รับการดูแลชำระล้างไม่ให้มีเชื้อแบคทีเรียมาซ้ำเติมแล้ว แผลจะหายไปภายในหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่เหลือร่องรอยให้เห็นว่า เคยเป็นปัญหาบริเวณนั้นมาก่อน (ส่วน Dorsal ganglion) ตราบจนเมื่อร่างกายของบุคคลนั้นอ่อนแอลง เชื้อไวรัสย่อมเดินทาง มาตามเส้นประสาทสู่ผิวหนัง หรือเยื่อบุช่องคลอด เยื่อบุทวารหนัก ก่อให้เกิดอาการเจ็บเสียว เจ็บๆ คันๆ บริเวณนั้นและเกิดตุ่มพองมีน้ำใสอยู่ข้างในแต่อาการความรู้สึกไม่สบาย โดยทั่วไปของร่างกายอาจไม่เกิดขึ้นเพราะร่างกายคุ้นเคยกับไวรัสตัวนี้แล้ว

เนื่องจากทุกวันนี้ วงการแพทย์ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยตรง แบบยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ให้สิ้นซากไปได้ ดังนั้น เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดนับพันชนิด และโรคไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งโรคเอดส์ และเจ้าไวรัส HSV I + II นี้ต่างไม่ถูกทำลายได้โดยง่าย ยารักษารคนี้ คือ ยา Acyclovir, Famciclovir or Valaciclovir ต่างไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ยาเหล่านี้เพียงแต่ไม่ลดประสิทธิภาพในการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนเชื้อไวรัส เพื่อให้ร่างกายของบุคคลนั้น คือ พวกเม็ดเลือดขาวระดมกำลังมาพิชิตเชื้อไวรัส อย่าไรก็ตามเชื้อไวรัสจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปแอบซ่อนอยู่ในไขสันหลังส่วนที่ส่งเส้นประสาท ไปดูแลผิวหนังบริเวณนั้น แต่เดิมแพทย์เข้าใจกันว่า เชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายไปติดต่อผู้อื่น เฉพาะเวลาที่บุคคลนี้มีอาการที่ผิวหนัง คือ เชื้อไวรัสอยู่ในน้ำใสๆ ที่ตุ่มและแผลเปิดดังกล่าว

ปัจจุบันผลการศึกษาเฝ้าติดตามแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้บุคคลนั้นไม่มีอาการสำแดงผิดปกติ ให้เห็นภายนอกแต่อย่างไร ไวรัสสามารถแพร่กระจายออกจากไขสันหลังมาสู่ภายนอกได้ ประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อวัน ดังนั้นบุคคลที่มีไวรัสอยู่ในตัวแต่ไม่มีอาการนั้น สามารถแพร่เชื้อไวรัสให้คู่นอนได้ทำให้คู่นอนได้รับเชื้อประมาณ 5-10% ต่อปี ด้วยเหตุนี้บางครั้ง แพทย์ซักประวัติคู่นอนของคนไข้ถึงไม่ได้ต้นตอชัดเจน

ภายในช่วงเวลาอีกสองปีคงได้ข้อมูลสรุปชัดเจนว่า บุคคลที่มีเชื้อไวรัสถึงแม้ไม่มีอาการ เขาควรรับประทานยาดังกล่าว (เช่น Acyclovir) เผื่อลดการแพร่กระจายโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ ปัจจุบัน Dr.Karl R Beutner หัวหน้าสูนย์วิจัยทางไวรัสวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (U.S.S.F) ได้เสนอให้คนไข้รับประทานยาติดต่อไปถึงหกเดือนหลังจากเริ่มมีอาการตุ่มและแผลดังกล่าว แทนที่ใช้รักษาระยะสั้นเพียงแค่ 7-10 วันดังที่นิยมกันอยู่ขณะนี้ และควรเริ่มรับประทานยาทันที ที่คนไข้มีอาการเสียวคัน หรือบวมแดง ก่อนเกิดตุ่มขึ้นมาเพื่อช่วยลดอาการเปลี่ยนแปลงบริเวณนั้น ระยะเวลาที่เชื้อไวรัสสงบเงียบก่อนแผลงฤทธิ์สำแดงอาการนั้นอาจยาวนานเป็นปีหรือสั้นลงเป็นเดือน คือ คนไข้อาจมีอาการเกิดขึ้นทุกเดือนหรือสองสามเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของบุคคลนั้น ถ้าไม่มีความเครียดไม่ว่าทางด้านร่างกายหรือจิตใจ การรับประทานอาหารถูกหลักโภชนาการ ได้รับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนเพียงพอเพื่อให้ภูมิต้านทานของร่างกายสูง ย่อมลดการกำเริบและกลับคืนของเชื้อไวรัส

ข่าวดีถึงวิธีการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายที่คนไทยใช้กันมานานแล้ว คือการนวดเฟ้น ปัจจุบันวงการแพทย์แผนใหม่ได้ทำการทดลองให้คนไข้โรคเอดส์ และมะเร็งของเต้านม ภายหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัด ต่างได้รับการนวดเฟ้นทั่วร่างกายทุกวัน ผลปรากฏว่า นอกจากคนไข้ได้รับการผ่อนคลายสุขภาพจิตดีขึ้นหลังจากการนวดแล้ว จำนวนเม็ดเลือดขาว ที่ช่วยเป็นทหารของร่างกายมีจำนวนสูงขึ้น และอาการแทรกซ้อนในคนไข้กลุ่มนี้ลดลงมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการนวดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นถ้าท่านจะนำข้ออ้างถึงคุณประโยชน์ ของการนวดจับเส้นไปเป็นวิธีการเพื่อรับการนวดเสริมสุขภาพ ดิฉันว่าทุกคนคงยอมรับกัน แม้กระทั่งในเด็กเล็ก ผลการวิจัยเสนอให้เด็กได้รับการนวดก่อนนอนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน และเสริมสุขภาพทั้งกายและใจด้วย

ปัจจุบันสถิติประชากรชาวอเมริกันที่เป็นโรคนี้มีประมาณถึง 45 ล้านคน คือโดยเฉลี่ยแล้ว ถึงหนึ่งในห้าของพลเมืองที่มีอายุเกิน 12 ปีขึ้นไปมีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับเชื้อไวรัส HSV ชนิด 2 ข้อมูลของสถาบันสำรวจทางสุขภาพและโภชนาการของพลเมืองในสหรัฐอเมริกา แสดงถึงการระบาด ของเชื้อไวรัสนี้เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มวัยหนุ่มสาว คือ ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1988-1994 จำนวนประชากรที่ได้รับเชื้อ HSV ชนิดที่ 2 มีประมาณ 22% ของประชาชนทั่วประเทศ เมื่อเทียบกับเพียง 16% ระหว่างปี ค.ศ.1976-1980 แต่ที่น่าวิตกคือในบรรดาชายหญิงที่ผลเลือดแสดงถึงการได้รับเชื้อไวรัสตัว มีเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ให้ประวัติว่ามี ตุ่ม หรืออาการสำแดงของเชื้อไวรัส ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันการติดเชื้อด้วยการจำกัดคู่นอนเพียงคนเดียว และถ้ามีแผลบริเวณต่ำกว่าระดับเอวลงไป ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่า แผลนั้นมิได้เกิดจากเชื้อไวรัส HSV I or II

เพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยวปอร์โตริโกเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงสาวที่เขาเลือกได้ ก่อนมีเพศสัมพันธ์เธอให้เขาอาบน้ำและขอตรวจดูว่าทุกอย่างปกติ ไม่มีแผลหรือปัญหาใดๆ เธอบอกว่า เป็นกฎหมายของที่นั่นและเธอมีบัตรตรวจโรคเป็นระยะให้เขาดูด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันการระบาดของโรค ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปัจจุบันการใช้ถุงยางเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะคนที่มีไวรัสอยู่ในตัวอาจแพร่เชื้อไวรัสได้ ถึงแม้ว่าเขาไม่มีแผลให้เห็นแต่อย่างใด นอกจากนี้บางคนกระจายไวรัสออกจากตัวก่อนมีอาการ หรือแม้แต่แผลหายไปแล้วหลายวัน ยิ่งเมื่อถึงระยะมีแผลเกิดขึ้นแล้วบุคคลนั้นควรถือเป็นความรับผิดชอบ ในการป้องกันการระบาดแพร่เชื้อโดยการไม่สัมผัสถูไถบริเวณนั้นกับผู้ใด ถ้าเกิดแผลที่ปาก ไม่ควรใช้ปากจูบหรือหลอดดูดกาแฟ รวมทั้งช้อนส้อมแก้วน้ำกับผู้อื่น

ปกติแล้ว เชื้อไวรัส HSV ตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงมากไปกว่าที่กล่าวแล้ว ทั้งนี้เพราะคนเรามีภูมิต้านทานโรค ยกเว้นคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เช่น คนไข้ที่ได้รับ การเปลี่ยนอวัยวะหรือคนไข้ที่ร่างกายอ่อนแอมาก เช่น คนชรา เป็นโรคเรื้อรังรวมทั้งโรคเอดส์และทารกแรกเกิด ซึ่งยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสและเชื้อโรคต่างๆ แล้วเชื้อไวรัสตัวนี้จะทำให้เกิดการระบาดไปทั่วตัว ตามกระแสโลหิตเป็นแผลพุพองแบบอีสุกอีใสและถึงตายได้ ดังนั้นสตรีผู้มีประวัติเคยมีแผลจากเชื้อไวรัส HSV ต้องบอกให้สูตินรีแพทย์ผู้ดูแลทราบเพื่อหาทางป้องกัน เช่น ถ้าเกิดการสำแดงออกของโรคช่วงระยะจวนคลอด สูติแพทย์จะผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้องแทนที่จะให้ทารกคลอดผ่านช่องคลอดที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการติดโรคถึง 50%

วิธีการรักษาดูแล กรณีที่เกิดตุ่มและแผลบริเวณอวัยวะเพศดังกล่าว นอกจากบุคคลนั้น รับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การรับประทานยาแอสไพริน หรือยาอเซตามิโนเฟน (เช่น ไทลีนอล) นับว่าช่วยลดไข้และอาการเจ็บปวด บริเวณแผลอาจใช้ความเย็น เช่น ถุงน้ำแข็งช่วยระงับการปวดแสบ ปวดร้อนและอาจใช้ยาครีมที่ทำให้เกิดอาการชาทา ร่วมกับยาครีมผสมยาปฏิชีวนะเพื่อกันเชื้อแบคทีเรีย มาผสมโรงทำให้เกิดหนองอักเสบ นอกจากนี้ควรทำความสะอาดแผลโดยนั่งแช่น้ำอุ่นเช้าเย็นครั้งละ 5-10 นาที ความร้อนช่วยกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น แต่บางรายเป็นมากบวมแดง เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน เดินไม่ได้ ต้องนอนพัก แล้วประคบบริเวณแผลด้วยน้ำยาสมานแผล (Astringent) เช่น Burow's Solution (มีขายชื่อ Domeboro ในสหรัฐฯ) เวลากำลังปัสสาวะควรเทน้ำราดแผลเพราะเมื่อปัสสาวะซึ่งเป็นกรด กระทบแผลย่อมทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น บริเวณแผลแถบนั้นไม่ควรอบชื้น ดังนั้นควรใช้เครื่องชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายไม่ควรใช้ที่ทำจากใยสังเคราะห์ และไม่ควรสวมกางเกงรัดรูป ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณนั้นมากขึ้น ควรรักษาความสะอาดบริเวณแผลและอวัยวะเพศ หลังจากอาบน้ำไม่ควรใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดบริเวณดังกล่าว ควรซับให้แห้งด้วยกระดาษนุ่มแล้วทิ้งกระดาษไป หรือใช้เครื่องเป่าบริเวณนั้นให้แห้ง เชื้อไวรัสไม่สามารถอยู่ได้ในที่แห้งแต่สามารถแพร่กระจายได้ โดยการสัมผัสมีน้อยรายที่เชื้อไวรัสจะติดต่อไปที่ตา ถึงกระนั้นที่สำคัญคือต้องระวังความสะอาด คอยล้างมืออยู่เสมอและระวังการใช้มือขยี้ตา

เมื่อไวรัส HSV ชนิดที่สองบางตัว (คือ Subtype ที่เล็กย่อยลงไป) ว่าเป็นต้นเหตุ ของการเกิดมะเร็งปากมดลูก เพราะเขาแสดงถึงว่ามะเร็งปากมดลูกมีสารไวรัสอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันการกล่าวโทษไวรัสว่าเป็นต้นเหตุมะเร็งนั้นกลายเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดหูดดอกกะหล่ำชื่อ Papilloma Virus หรือ HPV แทนไวรัสตัวนี้ก็ติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นกันและเป็นการยากที่จะตรวจพบ ในผู้ชายแต่มันก่อปัญหามากในสตรีเพราะช่องคลอดและบริเวณปากช่องคลอดนั้นชุ่มชื้น เหมาะแก่ไวรัสเจริญงอกงามเป็นหูดดอกกะหล่ำหรือลามไปตามแนวราบจนทั่วด้านนอกของอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งมองดูด้วยตาเปล่าแล้วเป็นการยากที่จะตรวจพบไวรัสตัวนี้

ตัวยาครีมที่มีส่วนผสม Acyclovir (ชื่อ Zovirax) นั้น ปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะไม่ได้ผลเสียเงินเปล่า ต้องใช้ยารับประทานถึงสามารถสกัดไวรัส HSV ได้ วิธีที่จะลดการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เหล่านี้ เป็นหน้าที่รับผิดชอบของชายและหญิงที่เกี่ยวข้องว่าควรใช้ถุงยางป้องกันเสมอแม้ว่าไม่มีแผลให้เห็นชัดเจน เพราะเชื้อไวรัสแพร่กระจายได้เสมอ ดังกล่าวแล้ว

พญ.จันทรา เจณณวาสิน

(update 21 พฤศจิกายน 2000)


[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600