มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://www.oocities.org/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ฆ่าหรือตายเอง



เป็นอันว่าประชาชนคนไทยได้ให้คำตอบค่อนข้างชัดเจนว่า
1. ยังจำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 หรือ พฤษภาทมิฬ ได้เป็นอย่างดี แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแค่ไหนก็ตาม
2. ยังเข็ดเขี้ยวเผด็จการ แม้จะมีเสียงเรียกร้องบ้างในบางขณะที่รัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งไม่เอาอ่าวไทยหรืออ่าวต่างๆ แต่ในส่วนลึกของหัวจิตหัวใจคนไทย ปฏิเสธเผด็จการแน่นอน

การที่นายกชวนในฐานะรมต.กระทรวงกลาโหม และตะหานหาญของเรา ร่วมกันดำเนินการให้จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2542 เรื่องปูดออกมา เป็นข่าวฮือฮาทางสื่อปลายเดือนมีนาคม 2542 (อำไว้ได้นานเชียวล่ะ)

เพราะประชาชีออกมาโวย ออกมาคัดค้านการแต่งตั้งครั้งนี้อย่างเอาจริงเอาจัง
ปรากฏว่านายกชวนและใครต่อใครในรัฐบาลยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เรื่องราวทำท่าจะลุกลามใหญ่โต จอมพลถนอมจึงแสดงมารยาท (ที่นักการเมืองไม่ค่อยมี) ขอลอออกจากตำแหน่งดังว่าเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2542 โยนเผือกร้อนฉ่าออกจากมือเพื่อยุติปัญหา

งานนี้ผมไม่มองว่าใครผิดแต่ถือว่านายกชวนและทหารบางคน (คงไม่ใช่ทุกท่าน) ทำคุณให้แก่ประเทศ ว่าเข้าไปนั่น องค์กรประชาธิบไตยหรือญาติวีรชน อย่าเพิ่งยกมะเหงกให้ผม
ทางหนึ่งคือหาเรื่องไม่หนักหนาจนเกินไปสลับฉากเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องจิปาถะที่รัฐบาลสางไม่เสร็จปานลิงแก้แหอยู่ในเวลานี้ ทำให้ชาวบ้านลืมเรื่องตกงานเรื่องอดอยากไปได้หลายมื้อ
ทางที่สองก็อย่างที่ว่า การกระทำครั้งนี้เสมือนหนึ่งเอาปรอทมาแหย่ดูว่าคนไทยว่า ยังมีอาการแฮงค์โอเวอร์เผด็จการอ๊ะเปล่า คนไทยลืมอะไรง้ายง่ายอย่างที่พูดกันหรือเปล่า ผลออกมาคือ ข้อยยังบ่ลืม ยังจำได้ก้า

อันที่จริงรัฐบาลจิ๋วเคยทำตัวเป็นปรอทวัดอาการมาแล้วหนหนึ่ง ในปี 2540 ด้วยการยกเลิกคำสั่งลงโทษของกระทรวงกลาโหม ในอดีตให้ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ลูกชายจอมพลถนอมกลับมารับเบี้ยหวัดบำนาญ คำตอบออกมาเหมือนกันเด๊ะ ฝ่ายค้านซึ่งนำโดยนายกชวนนั่นล่ะออกหน้าต่อต้านเหยงๆ จนพลเอกชวลิตกลับลำแทบไม่ทัน

ทั้งชวลิตและชวนจึงมีความเหมือนในความแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ
อ้อ ที่เหมือนกันเดี๊ยอีกอย่างของท่านชวลิตและท่านชวนคือ ยอมให้คู่เขยของ พ.อ.ณงค์ กิตติขจรอันได้แก่ พล.อ.ท่านหนึ่งชงเรื่องทั้งสองเรื่องขึ้นมาจนเป็นเรื่อง กินเนสบุ๊คน่าจะบันทึกไว้

ข้อเสียก็มีเหมือนกันอีก ทั้งสอง ช. เสียรังวัดไปพอประมาณในสายตาของผู้รักประชาธิปไตย โดนด่าโดนจวกว่าอีอ๊อกับเผด็จการกับทรราชส่งไปเลย เพราะเขามองไม่เห็นแง่ดี ไม่เห็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงของท่านทั้งสองที่ช่วยกันกระตุ้น
"ต่อมรักประชาธิปไตย ต่อมชิงชังเผด็จการของคนไทย ไม่ให้ตายด้าน"

เอางี้ก็ล่ะกัน ผมขอสนับสนุนให้มีการกระตุ้นแบบนี้อีกทุกรัฐบาล จะใช้วิธีไหนก็ตามแต่และยึดถือเป็นประเพณีมันซะเลย แบบประเพณีอื่นๆ จะได้หายบ้ากันไปเลย จริงไหมตัวเอง
ยังไงก็หนีคดีความไม่พ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันซะหน่อย
คดีนี้มีปัญหาหรือมีประเด็นอยู่ว่า ความตายที่เกิดขึ้นกับกระทาชายนายหนึ่ง ที่โรงพยาบาลเป็นความตายตามปกติ หรือตายเนื่องจากโดนยิง อย่าคิดว่าตอบได้ง่ายๆ ไม่งั้นศาลจะตัดสินไปคนละทางยังงั้นหรือ มันเป็นฉันใดต้องตามไปดู โดยไม่ต้องฉันเพลแบบเดียวกับพระธรรมยุติ

บ้านเมืองเราแม้จะมีตำรวจ อัยการ ศาล เรือนจำ แต่ก็เหมือนไม่มี เพราะคนยังฆ่ากันเป็นรายวันโดยไม่เกรงกลัวอาญาบ้านเมือง
จะกลัวได้ไง ในเมื่อรู้กันทั้งประเทศว่า โดนตัดสินประหารชีวิตหลังจากก่อกรรมทำชั่ว มาอย่างหนัก เอาเข้าจริงๆ ติดคุกไม่ถึงยี่สิบปีเสียส่วนใหญ่ ส่งเข้าตะแลงแกงน้อยนิด

กระบวนการทางกฎหมายและการลงโทษมันปวกเปียกเป็นมะเขือเผายังงี้นี่เอง อาชญากรรมในบ้านเราจึงเบ่งบานเจียนจะเอาไม่อยู่ สื่อมวลชนก็โหลยโท่ย ไม่สนใจติดตามผลการตัดสินลงโทษอาชญากรทั้งหลาย เล่นแต่ข่าวฮือฮารายวัน โจรเลยได้ใจ

ข้อที่เส็งเคร็งอีกอย่างคือ "นักการเมืองหรือผู้ปกครอง" ซึ่งมีบารมีมีอิทธิพลคุ้มหัวอยู่แล้วไม่เดือดร้อนก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ซะด้วย ชาวบ้านจะผจญกับปัญหาอาชญากรรมยังไง โดนฆ่ายังไง กูยังใส่เสื้อสวย ยังซดไวน์และมีตำแหน่งใหญ่โตขึ้นกว่าเก่า สบายเขาล่ะ

"นายบุญคุ้ม" เป็นคนทีเอาบุญ ใครมาเรี่ยไรอีแบบไหน มักจะตะเกียกตะกายหาเงินไปทำบุญกะเขาด้วย ทำบุญเพราะเชื่อปาฏิหาริย์ และหวังโน่นหวังนี่ ไม่ได้ทำบุญเพราะเลื่อมใสศาสนาหรือแสวงหาทางสงบ

ปรากฏว่าบุญไม่ยักคุ้มเหมือนชื่อ ปาฏิหาริย์ก็ไม่มี โดน "นายนะโม" ยิงเข้าให้ การยิงของนายนะโมเข้าข่ายลอบกัดชนิดที่นักเลงเท็กซัสไม่นิยมกระสุดเม็ดหนึ่ง เจาะเข้ากลางหลัง ถูกไขสันหลัง

นายบุญคุ้มไม่ทันม่องเท่งแต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น กลายเป็นอัมพาต นอนแซ่วอยู่โรงพยาบาล เดินไม่ได้ อย่าไปคิดถึงการเหิน ได้แต่กินกับนอนและไม่ใช่บุญพาวาสนาส่ง หนักๆ เข้าเกิดแผลที่ก้นกบ และเน่าเปื่อย ในที่สุดนายบุญคุ้มก็หมดบุญเพราะแผลที่ก้นกบเป็นเหตุ มีลิ่มเลือดที่แผลหลุดเข้าไปในหลอดเลือดดำของปอด นายบุญคุ้มเลยหยุดหายใจ ตายจากโลกนี้ไป

นายนะโมซึ่งไม่ธรรมะธรรมโมเหมือนชื่อ โดนตำรวจคว้าคอมาได้ ที่ชอบใช้คำว่าคว้าคอเพราะตำรวจมักจะทำยังงั้นจริงๆ เวลาจับผู้ร้ายคว้าที่คอไว้ก่อน
ตำรวจสอบสวนตามธรรมเนียมไทยๆ ต่อจากนั้นก็ส่งตัวให้อัยการพิจารณา อัยการดูแล้วเห็นว่าเอาผิดได้ก็นำตัวไปฟ้องที่ศาลข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

นายนะโมจ้างทนายสู้คดีอย่างแข็งขัน นอกจากจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ทำแล้ว ยังอ้างด้วยว่านายบุญคุ้มไม่ได้ตายเพราะโดนยิง แต่ตายจากแผลที่ก้นกบอย่างเห็นๆ จะมาเอาผิดได้ยังไง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ไม่ฟังคำแก้ตัวของนายนะโม ตัดสินออกมา เป็นที่สพอารมณ์ของญาติพี่น้องและชาวบ้านยิ่งนัก นั่นคือ ให้ประหารชีวิต
นายนะโมไม่ได้สะทกสะท้านยื่นอุทธรณ์ขึ้นไป ยกข้ออ้างอย่างเดิม ปรากฏว่าได้ผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

เรื่องยาวถึงศาลฎีกาเพราะอัยการเห็นว่าเอาผิดนายนะโมได้ จึงยื่นฏีกาขึ้นไป
ศาลฏีกานั่งเล็งคดีนี้อยู่นานพอประมาณ ต่อจากนั้นก็ชี้ขาดออกมาดังนี้

"นายบุญคุ้มโดนนายนะโมยิงด้านหลังตรงกลางหลังกระสุนถูกไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาต ต้องนอนเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดแผลที่ก้นกบและเน่าเปื่อย ต่อมามีลิ่มเลือดที่แผลหลุดเข้าไปในหลอดเลือดดำของปอดเป็นเหตุให้นายบุญคุ้มตาย เพราะหยุดหายใจ หมายถึงหายใจไม่ออกเพราะลิ่มเลือดนั่นแหละ
ได้ความอีกว่านายบุญคุ้มไม่เคยมีโรคประจำตัวมาก่อน สุขภาพร่างกายแข็งแรง เหตุที่ตายจึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการโดนยิงนายนะโมหนีไม่พ้นความผิด
ศาลฏีกาจึงพิพากษากลับ ให้ลงโทษตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ นั่นคือประหารชีวิต โดยไม่ลดไม่แถม"

เข้าใจว่าศาลมีรายละเอียดการกระทำของนายนะโมว่าเข้าข่ายอุกฉกรรจ์ จึงตัดสินประหารชีวิตโดยไม่ลดหย่อนอย่างที่เห็นทั่วไป
เงื่อนแง่ของคดีนี้มีเหมือนกัน ถ้าเกิดเหตุปุ๊บนายนะโมโดนจับปั๊บโดนฟ้องปึ้บ ขณะที่นายบุญคุ้มยังไม่ตาย ยังนอนกระแด่วๆ อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วนายนะโมไม่สู้คดี ให้การรับสารภาพยังงี้นายนะโมสบาย ติดคุกข้อหาพยายามฆ่าไม่กี่ปี เพราะตอนนั้นนายบุญคุ้มยังไม่ม่อยกระรอก

ต่อมาหลังจากที่นายนะโมติดตะรางไปแล้ว ได้ความว่านายบุญคุ้มตาย เพราะสืบเนื่องจากการโดนยิง ยังงี้อัยการจะฟ้องข้อหาฆ่าอีกรอบหนึ่ง เป็นรอบแถมและศาลจะลงโทษข้อหาฆ่าไม่ได้
เพราะหลักกฎหมายคนทำผิดคดีหนึ่งโดนฟ้องได้ครั้งเดียวลงโทษได้ครั้งเดียว
ไม่เหมือนศาลครอบครัวที่มีผัวหรือเมียเป็นตุลาการ มักจะยกข้อหาขึ้นมา และตัดสินลงโทษซ้ำซาก ลงโทษไม่รู้จบยิ่งรับสารภาพยิ่งโดนหนัก อย่างที่ผมเคยบอกไว้

คดีนี้ยังโชคดีสำหรับกระวนการยุติธรรมที่ไม่ได้ฟ้องนายนะโมข้อหาพยายามฆ่า และเสร็จสิ้นไปแล้ว

ที่ผมเอ่ยถึงเรื่องเผด็จการในตอนต้นขอแถมอีกนิดหนึ่ง คือว่า เผด็จการทุกวันนี้ใช่ว่าจะหมดไป ถ้าชาวบ้านไม่ควบคุมดูแลให้ดีๆ เผด็จการในสภา ในครม. ในหมู่นักการเมืองก็เกิดขึ้นได้ ทำให้พวกเราเจ็บแสบเหลือหลาย ไม่แพ้เผด็จการขนานแท้เช่นกัน จริงไหมขะรับ

ณรงค์ นิติจันทร์



[ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2542]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21] resolution 800x600