วิถีอาจารย์

พูดจาภาษาดาว  โดย พุธลัคน์

Ü  กลับไปหน้าหลัก , พูดจาภาษาดาว

                นับตั้งแต่ ผู้เขียนรับภาระการสืบทอดวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน จากพระอาจารย์ ก็ดูเหมือนว่าชีวิตของผู้เขียน จะวุ่นวายสับสนไปหมด ทั้งจากภาระงานประจำ การสอนโหราศาสตร์ ความอิจฉาริษยา การแก่งแย่งชิงดีกัน ในวงการโหราศาสตร์ ความอยากเด่นอยากดัง การใช้โหราศาสตร์เพื่อเอื้อประโยชน์ตนเอง ทำเสน่ห์มัดใจเพศตรงข้าม การทุจริตคอร์รัปชั่น แม้กระทั่งเพื่อการฉ้อโกงผู้อื่น ทำให้ผู้เขียน ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย เปรียบได้กับการสอบเทียบปริญญาชีวิตเลยทีเดียว ระหว่างนั้น มีเรื่องราวเข้ามาในชีวิตของผู้เขียนมากมาย ทำให้เกิด ความเบื่อหน่าย กระทั่งผู้เขียนได้อำลาวงการหลัง การประกาศมาตรฐาน การพยากรณ์ ในการประชุมสัมมนาทางวิชาการระดับประเทศ ต่อหน้า สื่อมวลชน และบุคคลสำคัญในวงการ ต่อจากนั้น  นับเป็นเวลา หลายปีทีเดียว ที่ผู้เขียน ได้ใช้วิชาโหราศาสตร์ช่วยเหลือผู้คน แบบเงียบๆ ตามวิถี หมอดูนอกวงการ ตราบกระทั่ง ผู้บริหารสถาบันพยากรณ์ มาตรฐานแห่งหนึ่ง โดยคำแนะนำ จากเสาหลักของวงการโหราศาสตร์ ให้มาทาบทามผู้เขียน ให้เป็นผู้ถ่ายทอด วิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน โดยให้เกียรติมาเชิญผู้เขียนถึงที่ทำงานด้วยตนเอง นั่นเป็นเหตุการณ์ ครั้งสำคัญในชีวิต ที่ทำให้ผู้เขียน ตัดสินใจหวนคืนสู่วงการ โหราศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

การกลับมาครั้งนี้ ผู้เขียนได้วางกฎเกณฑ์ ในการรับลูกศิษย์ และแนวทางการถ่ายทอดวิชา ไว้อย่างเคร่งครัดมากขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ ศิษย์ชั่วนำศาสตร์นี้ไปใช้ในทางที่ผิด เช่นอดีตที่ผ่านมา ระหว่างนี้นี่เอง ที่ผู้เขียน เริ่มกลับมามีสมาธิ กับวิชาการด้านโหราศาสตร์ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยคติประจำใจว่า “ถึงจะสอนเรื่องเดิม ก็ต้องมีสาระเพิ่มเติม” ทำให้ผู้เขียน ค้นพบหลักการพยากรณ์ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า “การพยากรณ์จากแรงจูงใจ” การพยากรณ์ในรูปแบบนี้ ทำให้โหราศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่จับต้องได้ อย่างมีเหตุมีผล และสามารถพยากรณ์ได้ใกล้เคียงแบบ “แทงถูกใจดำ” เลย ทีเดียว

แนวทางการสอน ก็เน้นว่า โหราศาสตร์เปรียบเสมือนภาษาหนึ่ง เรียกว่า “ภาษาดาว” การอ่านดวงชะตา จึงเหมือนการอ่านบทละคร ที่นักเขียน ได้กำหนดบทบาทของ ตัวละคร แต่ละตัว เอาไว้ การอ่าน มีหลักการผสมปัจจัย หลักไวยากรณ์ และรูปแบบที่ชัดเจน ด้วยเหตุที่ แนวคิดเกี่ยวกับโหราศาสตร์ของผู้เขียนไม่ได้เป็นแบบ “โหราศาสตร์แนว พรหมลิขิต” หากแต่เป็นแบบ “โหราศาสตร์แนวมนุษยศาสตร์” คือ ฟ้ากำหนดเงื่อนไขเหตุการณ์ให้ แต่เจ้าชะตามีสิทธิ์เลือกตัดสินใจได้ ตามใจ ชอบ ภายใต้กรอบเงื่อนไข ที่เป็นผลมาจากนิสัย (กรรมเก่า) และสิ่งที่ได้ เคยทำไว้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน (กรรมปัจจุบัน) ดังนั้นแนวทางการพยากรณ์ นักโหราศาสตร์จะอ่านภาษาดาวให้ทุกคนฟัง และแปลความหมายภาษา ดาว ที่อาจเป็นไปได้ หลังจากนั้น จึงจะทำการปรึกษาหารือกัน เพื่อนำไปเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจของเจ้าดวงชะตา การเจรจากันในลักษณะเช่นนี้แหละ ที่เรียกว่า “พูดจาภาษาดาว” ซึ่งเป็น ที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้

เนื้อหาในเล่มนี้ เป็นเรื่องเล่าเหตุการณ์ในชีวิตจริงของผู้เขียน ที่แม้ ยังคงความสนุกแบบหนังสือเล่มที่แล้ว ได้แก่ “ประสบการณ์การทำนาย ที่ลืมไม่ลง” แต่ก็จำเป็นต้องสร้างสะพานเชื่อมโยง ไปสู่การแต่งตำรา โหราศาสตร์ ตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนที่มีมาแต่เดิม ด้วยเหตุนี้ ในหนังสือ เล่มนี้ ผู้เขียน จึงจำเป็นต้องแทรกศัพท์ด้านโหราศาสตร์ เอาไว้ ให้มากที่สุด ตราบเท่าที่ จะไม่ทำให้อรรถรสในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ด้อยลงไป ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ต้องการกระตุ้น ต่อมอยาก ของผู้คน ให้หันมาสนใจศึกษาโหราศาสตร์ อย่างจริงจังมากขึ้น เสมือนว่า โหราศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนเจตนาถ่ายทอด ในรูปแบบภาษาดาว ให้มีสภาพ กลายเป็นภาษาอีกภาษาหนึ่ง ที่ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ในกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างไรก็ตาม การเดินเรื่องในบางตอน ที่ไม่เกี่ยวกับการพยากรณ์ ผู้เขียนจะไม่การแทรก ภาษาดาวลงไป เพราะนอกจากจะไม่จำเป็นแล้ว อาจจะทำให้เนื้อหา น่าเบื่อหน่ายอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหาบางตอน ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของประเทศ หรือเจ้าชะตา ยอมให้เล่าเรื่อง โดยรวม แต่ไม่ให้ลงรายละเอียด การแจงรายละเอียด ในรูปภาษาดาว จึงเป็นการไม่บังควร ครั้นจะไม่บันทึกเอาไว้เลย ก็จะทำให้ หนังสือเล่มนี้ ขาดความสมบูรณ์ตามที่ผู้เขียนได้ตั้งใจเอาไว้

เนื่องจากการพิมพ์หนังสือ “ประสบการณ์การทำนายที่ลืมไม่ลง” เนื้อหาถูกตัดออกเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุผลทางการตลาด ให้หนังสือ มีเล่มบาง เพื่อที่จะทำให้หนังสือราคาไม่แพงจนเกินไป ทำให้หนังสือ “พูดจาภาษาดาว” เล่มนี้ ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้เขียน จึงไม่อยาก จำกัดเนื้อที่กระดาษ หรือความหนาของหนังสือ แต่มีความประสงค์ จะถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆให้ครบถ้วน เพื่อเป็นบันทึกสำคัญ ต่อการศึกษา ค้นคว้าโหราศาสตร์ของคนรุ่นหลังสืบต่อไป

เช่นเดียวกับหนังสือ “ประสบการณ์การทำนายที่ลืมไม่ลง” การเล่า เรื่องในหนังสือ “พูดจาภาษาดาว” เล่มที่ท่านถืออยู่นี้ จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตัวละครทุกตัว ล้วนแล้วแต่มีชีวิตจริงทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น บางท่านยังเป็นผู้มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม ที่สำคัญคือ ตัวละคร ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่  ผู้เขียน จึงจะไม่มีการเอ่ยนามโดยไม่จำเป็น แต่หากว่าจำเป็นก็จะใช้นามแฝง และอาจจะแปลงเหตุการณ์ ในส่วนที่ ไม่ใช่สาระสำคัญให้แตกต่างออกไปเล็กน้อย ทั้งนี้ ให้คงความเป็นสาระ แต่ไม่สร้างความเครียดแก่ผู้อ่านโดยไม่จำเป็น เรื่องเล่าทั้งหมด เป็นประสบ-การณ์จริง ที่เกิดกับตัวผู้เขียน แนวโน้มของเรื่องราว เป็นไปตามเงื่อนเวลา โดยประมาณ การจัดลำดับหัวข้อต่างๆ อาจไม่เป็นไปตาม ลำดับ ก่อนหลังโดยสมบูรณ์ แต่จะนำเรื่องราวต่างๆที่คล้ายคลึงกัน มาจัดไว้ ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อที่ผู้อ่านจะได้สรุปความเรื่องราวแต่ละเรื่อง ได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากผู้อ่านแต่ละท่าน อาจจะมีภารกิจ ที่ทำให้ ไม่สามารถ อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ภายในระยะเวลาอันสั้น การถ่ายทอด จึงพยายาม ให้เนื้อหาแต่ละส่วน มีความสมบูรณ์ในตัวเองที่สุด เท่าที่ จะเป็นไปได้ เพื่อที่ผู้อ่านจะได้สามารถเลือกอ่าน เรื่องสั้น-เรื่องยาว ตามความเหมาะสม กับเวลาว่างในแต่ละคราว

 ศิษย์เอก

                จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ผู้เขียนได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ ผู้ล่วงลับนั้น ครั้งนั้นจำได้ว่า ทันทีที่พระอาจารย์พบหน้าผู้เขียนนั้น พระอาจารย์ ก็รำพึงรำพันออกมาว่า “ผมรอคุณมาตั้งนาน ทำไมคุณเพิ่งมา” หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ถึงแก่กรรม ทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกเสียดาย เป็นอย่างยิ่งว่า ได้ร่ำเรียนวิชา จากพระอาจารย์อย่างใกล้ชิด เพียงระยะ เวลาสั้นๆเท่านั้น กาลต่อมา ผู้เขียนจึงจำเป็น ที่จะต้องศึกษาค้นคว้า หาความรู้ ด้านโหราศาสตร์ ด้วยตนเอง เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความคิดว่า หากโหราจารย์แต่ละท่าน มีเวลาให้กับศิษย์เอก เพียงระยะเวลาสั้นๆ วงการโหราศาสตร์บ้าน เราคงจะพัฒนาอย่างเชื่องช้า จึงเกิดแรง- บันดาลใจว่า หากผู้เขียนพบว่า ลูกศิษย์รายใดที่มีแววดี จะต้องนำมา สั่งสอนใกล้ชิด ให้สามารถสืบทอด วิชาโหราศาสตร์แท้ๆ ให้ได้มากที่สุด และไม่ให้สาระสำคัญตกหายไปมากมาย ดังเช่น ที่เป็นมาในอดีต

                ในความเป็นจริง กลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เมื่อผู้เขียน มีชื่อเสียงในการผลิตลูกศิษย์เก่งๆออกไปรับใช้สังคม ก็มีบุคคลหลาย ประเภทแฝงตัวข้อมา บ้างก็เป็นที่ปรึกษานักการเมือง บ้างก็อยากดัง บ้างก็อยากเป็นโหราจารย์โดยเร็ว-อยากให้มีคนยกมือไหว้ บ้าง ก็อยากทำโหรา-พาณิชย์ บ้างก็ศิษย์แอบอ้าง บ้างก็ศิษย์ล้างครู ดังนั้นความตั้งใจแต่เดิมของผู้เขียน จึงค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็น ค่อยๆค้นหาเพชรทีละเม็ด แล้วค่อยๆเจียระไนไปทีละเม็ด หากค้นพบพลอย ก็ค่อยๆเจียระไนพลอย ไปทีละเม็ด ที่พบมาก็เป็นเพชรพลอยที่มีตำหนิ จึงไม่ทราบว่า อีกนานเท่าไร ที่เราจะค้นพบเพชรเม็ดงามไร้ที่ติ หรือเรา จะต้องรอถึงวันนั้น ดังเช่น พระอาจารย์ผู้ล่วงลับพูดกับผู้เขียนว่า “ผมรอคุณมาตั้งนาน ทำไมคุณเพิ่งมา”

                มีผู้รู้หลายท่าน ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ศิษย์เอกผู้เขียนมักจะเป็นผู้หญิง ทั้งนี้เห็นจะจริง ทั้งจากความบังเอิญ จากความเป็นจริง และจากดวงชะตา ของผู้เขียนเอง

                อันว่า นามปากกา “พุธลัคน์” นั้น ตั้งมาจาก ดวงชะตา ของตัวผู้เขียน ซึ่งมีดาวพุธกุมลัคนา ในราศีตุล (ตามโหราศาสตร์สากล หรือระบบสายนะซึ่งอ้างอิงราศีตามฤดูกาล) นอกจากนั้น ยังมี ดาวศุกร์ร่วมบนราศีตุล กลางเรือนที่ 1 หากจะพิจารณาตามภาษาดาว ศุกร์ แปลว่า สตรี เด็กหญิง หญิงสาว ฯลฯ ราศีตุล แปลว่า ความศรัทธา การแต่งงาน และความยุติธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ศุกร์บนราศีตุล ยังได้ ตำแหน่งเกษตร ซึ่งหมายถึง ความมั่งคง ความจีรังยั่งยืน และความยาวนาน ดังนั้น หากจะได้ศิษย์ที่จงรักภักดี และติดตามยาวนาน (ตำแหน่งเกษตร) จะต้องเป็นหญิงที่อายุน้อยกว่า (ศุกร์) หรือหากจะมีอายุมากกว่า ก็จะต้อง เป็นสตรีที่สวยงาม (ก็ศุกร์อีกนั่นแหละ) ศิษย์ควรจะแต่งงานแล้ว (ราศีตุล) หรือมีแฟนที่รักจริงหวังแต่งอยู่แล้ว (ก็ราศีตุลอีกนั่นแหละ)

                คราวนี้ ลองมาพิจารณาจากความบังเอิญก่อน นับถึงปัจจุบัน ขณะที่แต่งหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีศิษย์เอก 3 คน เป็นเพศหญิงทั้งหมด จะตั้งฉายาแบบเล่นๆตามสไตล์ “พุธลัคน์” ก่อนว่า “ศิษย์ฝาก” “ศิษย์พี่” และ “ศิษย์เมีย” ตามลำดับ

                หากจะพิจารณาตามความเป็นจริง และตามดวงชะตา เป็นไปได้ ดังนี้

                เริ่มจาก “ศิษย์ฝาก” ก่อน ศิษย์ฝาก เป็นเพศหญิงที่มีอายุน้อยกว่า มาฝากตัวเป็นศิษย์ ตั้งแต่ที่ผู้เขียนได้เริ่มสอนโหราศาสตร์เป็นปีแรก ขณะนั้น “ศิษย์ฝาก” ได้ประกาศตนชัดเจนว่ามีแฟนรักจริงหวังแต่งอยู่แล้ว และก็เป็นบุคคลที่ “ศิษย์ฝาก” แต่งงานและมีบุตรด้วยกันในหลายปีต่อมา

                ในปีแรกที่ทำการสอน ด้วยความที่ผู้เขียนต้องการให้ลูกศิษย์ เก่งไวๆ ผู้เขียนจะจัดเวลาวันเสาร์ให้ว่างทั้งวัน โดยที่ช่วงเช้า เป็นช่วงเวลา สอนเนื้อหาตามบทเรียน ช่วงบ่าย จัดเป็นช่วงเวลาวิจารณ์ดวงชะตา ในระยะแรกๆ เนื่องจากลูกศิษย์ยังไม่มีทักษะด้านการพยากรณ์มากนัก จึงมัก จะเป็นผู้เขียนจะต้องพยากรณ์ดวงชะตาให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามยอดฮิต คือ “ผม/หนู จะเป็นนักโหราศาสตร์ได้ไหม

                ตอนบ่ายของเสาร์วันหนึ่ง หลังจากที่ผู้เขียนทานอาหารที่ลูกศิษย์ จัดหามาเอาใจอาจารย์ ณ โต๊ะหิน ในสมาคมโหรฯ จนอิ่มหมีพลีมันแล้ว ลูกศิษย์ที่กระหายวิชาก็ชูแผ่นดวงชะตากันสลอน พร้อมกับอ้างสิทธิ์ ตาม ลำดับก่อนหลัง พร้อมกันนั้น ก็มีผู้สังเกตการณ์ (ศิษย์เก่า ของสมาคมโหรฯ หรือผู้อยากกระทบไหล่โหร) มายืนล้อมวงกัน อย่างเนืองแน่น ผู้เขียน ก็ทำนายทายทักดวงชะตาของศิษย์แต่ละราย จนกระทั่งมาถึงดวงชะตาของ “ศิษย์ฝาก” รู้สึกว่า ศิษย์ทั้งหลาย จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะหล่อน เกิดในต่างประเทศ ดูเหมือนว่าชายร่างเล็ก จะตื่นเต้นกว่าเพื่อน พูดโพล่ง ออกมาว่า

                “โอ้โห เกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เสียด้วย”

                ...

                หลังจากนั้น ลูกศิษย์ ก็พลัดกันส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ทำนาย ทายทัก กันอย่างสนุกสนาน เพราะลูกศิษย์ทั้งหมด เป็นพวกมือใหม่หัดขับ ทั้งหมด จึงไม่มีใครต้องอายกัน แต่แล้วก็มีเสียงบุรุษลึกลับร่างสูงใหญ่ รายหนึ่ง ยื่นหน้ามาจากพูดออกมาจากกลุ่มคนที่รายล้อมโต๊ะหินว่า

                “โอ้โห ดวงอย่างนี้หายากมาก พฤหัส มฤตยู อาพอลลอน กุมกัน บนราศีตุล แถมตั้งฉาก เมอริเดยน วัลคานุส และ เล็ง ลัคนา ราหู อีก ฝากให้อาจารย์ดูแลศิษย์คนนี้ให้ดีก็แล้วกัน ต่อไปจะเก่งมาก” แล้วบุรุษลึกลับนั้นก็เดินหายไป ทิ้งความงุนงงให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น

                ผู้เขียนจึงต้องมีหน้าที่ไขปริศนาที่บุรุษลึกลับทิ้งเอาไว้ โดยอธิบาย ทีละขั้นว่า

                “มฤตยู บวก อาพอลลอน แปลว่า โหราศาสตร์ เอ้า พวกเรายังจำได้ไหม”

                “พวกผมจำได้ครับ”

                “พวกหนูก็จำได้ ค่ะ”

                เสียงตอบเซ็งแซ่ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เขียนขยายความต่อไป แต่โดย วิสัยอาจารย์ จะพยายามให้ลูกศิษย์คิดหาคำตอบด้วยตัวเอง จึงตั้งคำถาม เป็นการชี้นำว่า

                “แล้ว พฤหัส บวก วัลคานุส แปลว่า อะไรหล่ะ”

                คราวนี้ ความเงียบก็มาเยือนนานเป็นนาทีเลยทีเดียว ผู้เขียน จึงต้องพูดทำลายความเงียบ ชี้นำการพยากรณ์อีกครั้งหนึ่งว่า

                “ฟังให้ดีนะ หาก พฤหัส แปลว่า ประสบความสำเร็จ วัลคานุส แปลว่า อย่างใหญ่หลวง พฤหัส บวก วัลคานุส จะแปลความหมายรวมกัน ได้ว่าอย่างไร ลองผสมความหมายตรงๆ ดูสิ”

                ศิษย์สูงอายุผิวคล้ำ แสดงสีหน้าดีใจรีบชิงพูดออกมาว่า

                “ก็แปลว่า ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง นะซีครับ”

                “แล้ว มฤตยู บวก อาพอลลอน ที่แปลว่า โหราศาสตร์ นำมาผสมกับ พฤหัส บวก อาพอลลอน ที่แปลว่า ประสบ ความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง จะมีความหมายรวมเป็นอย่างไรหล่ะ” ผู้เขียน ถามแบบชี้นำต่อไป

                “ผมรู้แล้ว ผมรู้แล้ว แปลว่า ประสบความสำเร็จ ด้านโหรา-ศาสตร์อย่างใหญ่หลวงไงหละ น่าอิจฉาพัดจังนิ”

                ชายร่างเล็ก กล่าวออกมา ด้วยความลิงโลกใจ ปล่อยให้ “ศิษย์ฝาก” นั่งตาลอย อมยิ้มแบบแก้มไม่หุบ อยู่คนเดียว

หลังจากนั้น ผู้เขียนพยายามสอบถามคนที่สมาคมฯดู ปรากฏว่า ไม่มีใครรู้จักชายผู้นั้นเลย และหลังจากนั้น ก็ไม่มีใครพบหน้า บุรุษลึกลับรายนี้อีก เข้าใจว่า น่าจะเป็นศิษย์ผู้พี่ ที่มาดูลาดเลาแวดวง โหราศาสตร์ยูเรเนียน ภายหลังการถึงแก่กรรมของพระอาจารย์ เมื่อเห็นว่า วงการนี้ยังคึกคักดี ก็คงหมดห่วง จึงไม่ย้อนกลับมาอีก

นับจากวันนั้น “ศิษย์ฝาก” ก็ติดตามผู้เขียนไปทุกที่ ที่ผู้เขียน ทำการพยากรณ์ นับเป็นเวลาหลายปี โดยทำหน้าที่เป็นลูกมือ ผูกดวง และเตรียมสมการดาว เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้เขียนพยากรณ์ รวมถึงเข้าเรียน หลักสูตรโหราศาสตร์ขั้นสูง ที่ผู้เขียนได้เปิดขึ้นมา ตามคำเรียกร้อง ของลูกศิษย์ และการเป็นลูกมือพยากรณ์ ในฐานะเป็น หนึ่งในคณะที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ให้กับบริษัทต่างๆด้วย นับว่า “ศิษย์ฝาก” รายนี้ ได้เรียนรู้เทคนิคการพยากรณ์แบบดั้งเดิมของผู้เขียนเอาไว้ได้ มาก ที่สุด และมีลีลาการพยากรณ์ รวมถึงผลการพยากรณ์ในรูปแบบดั้งเดิม ได้ใกล้เคียงกับผู้เขียนมากที่สุด หากจะถามถึงความสำเร็จของ “ศิษย์ฝาก” ว่าอยู่ในระดับใด ก็บอกได้เพียงว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่มาเข้าคิวให้พยากรณ์ อย่างเนืองแน่น จนเจ้าตัวเกิดความเบื่อหน่าย ขนาดต้องหลบซ่อนตัว อยู่ใต้โต๊ะทำงานที่บ้าน ยามผู้ใหญ่บางท่านบุกจู่โจมถึงที่บ้าน

มาถึง “ศิษย์พี่” ก็พี่สาวผู้เขียนเองนั่นแหละ ตอนแรก พอรู้ว่า พี่สาวตนเองจะมาเรียน ก็เบรกสุดตัว เพราะเกรงพี่สาวจะลืมตัว ตวาด พระอาจารย์ต่อหน้าธารกำนัล ตามความเคยชิน ดังนั้น ก่อนหน้าที่ จะรับ เป็นลูกศิษย์จะต้องทำการตกลงกับพี่สาวก่อน ว่าจะไม่ลืมตัว เมื่อพี่สาว รับปากเป็นมั่นมั่นเหมาะ ผู้เขียนจึงยอมให้เรียน ขณะนั้น พี่สาวแต่งงาน และมีบุตรแล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ผู้เขียนนั่งรวมกลุ่มพยากรณ์อยู่กับลูกศิษย์ รวมถึง “ศิษย์พี่” อยู่ มีช่างเสื้อนำเสื้อสูตรสมาคมฯของผู้เขียน มาให้ลอง ผู้เขียนลองใส่ดู ผู้เขียนจึงลองสวมเสื้อ และถามศิษย์พี่ตามความเคยเชิญว่า

“เจ๊ ลองดูว่าสวยไหม”

แทนคำตอบ ก็มีเสียงเกี้ยวกราดของ “ศิษย์พี่” ดังออกมาว่า

“อย่ามายุ่ง ยังไม่ว่าง”

เท่านั้นแหละ วงก็แตกฮือ เพราะพระอาจารย์โดนลูกศิษย์ตวาด ตามด้วยความเงียบที่มาเยือนอีกพักใหญ่ ด้วยศิษย์ทุกคนมองหน้ากันหลึกหลักว่าจะทำยังไงดี “ศิษย์พี่” ก็เริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆเงยหน้า ละสายตาขึ้นมาจากแผ่นดวงชะตา เห็นสีหน้าทุกคน จึงเข้าใจ เหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้เขียน  และให้ สัญญาว่า ครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นมานับสิบปี “ศิษย์พี่” ก็ไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนั้นกับน้อง ต่อหน้าธารกำนัลอีกเลย ผู้เขียนเอง ก็ได้พยายามถ่ายทอดความรู้ด้านโหราศาสตร์ให้ “ศิษย์พี่” อย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากว่า “ศิษย์พี่” ได้เคยเลี้ยงดูผู้เขียนมาในวัยเด็ก รวมถึงเสียสละ ออกจากโรงเรียนกลางคัน เพื่อเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ร่ำเรียนหนังสือสูงๆ อย่างไรก็ตาม “ศิษย์พี่” ก็มีข้อจำกัดอย่างมากด้านภาษาต่างประเทศ รวมถึงพื้นความรู้บางประการ ที่จะทำให้เข้าใจโหราศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้ง แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิต ที่มีมากกว่าศิษย์รายอื่น รวมถึงฝีปาก ที่ไม่เป็นสองรองจากใคร จึงนับได้ว่า “ศิษย์พี่” เป็นยอดของเรื่อง “โหราศาสตร์ผัวเมีย” และยังเป็นตัวแทนของผู้เขียน ในการออกทีวี หรือแสดงตนต่อหน้าสื่อมวลชน

 

                ศิษย์เอก รายสุดท้าย คือ “ศิษย์เมีย” ศิษย์รายนี้ กลาย เป็นศิษย์เอกด้วยความบังเอิญ เนื่องจากการที่ผู้เขียนเป็นคนของสังคม จึงไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว แรกๆ “ศิษย์เมีย” ไม่สนใจโหราศาสตร์ แถมยังเกลียดอีกต่างหาก เพราะเป็นสิ่งที่แย่งเวลาส่วนตัวออกไปหมด จึงนำ ตำราโหราศาสตร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ของผู้เขียนไปซ่อนหมด  ประจวบกับ ผู้เขียนเอง ก็เริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่าย กับความยุ่งเหยิง ในวงการ โหราศาสตร์ จึงวางมือจากวงการโหราศาสตร์ ไประยะหนึ่ง กระทั่ง ญาติผู้ใหญ่ของศิษย์หลายคน มีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงเป็นเหตุให้ ผู้เขียน ต้องนำความรู้ด้านโหราศาสตร์ ออกมาใช้งานอีกครั้งหนึ่ง “ศิษย์เมีย” จึงจำใจให้ผู้เขียน กลับคืนสู่วงการ เพื่อสืบทอด ความรู้โหราศาสตร์ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้ผู้เขียนสอนโหราศาสตร์ได้ ดังนั้น เพื่อให้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น “ศิษย์เมีย” จึงยอมเรียนโหราศาสตร์ด้วย เริ่มจากเรียนไปแบบแกนๆ แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิด ถึงแม้จะไม่ค่อยตั้งใจ สักเท่าใด “ศิษย์เมีย” จะซึมซับหลักคำสอนของผู้เขียนเข้าไปทุกวี่ทุกวัน ซ้ำๆซากๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะนั่งสมาธิ “ศิษย์เมีย” พบว่าจมูก ของตนเองบานออกอย่างน่าประหลาด ผู้เขียนจึงอธิบายว่า พระอาจารย์ มีจมูกที่บานกว่าคนทั่วไป นับจากวันนั้น ความรู้ทางโหราศาสตร์ของ “ศิษย์เมีย” ก็พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว การพยากรณ์ก็แสนจะแม่นยำ กระทั่งสร้างความประหลาดใจให้กับ บุคคลทั่วไป หากตรวจสอบดวงชะตา ดูจะพบว่า มฤตยู อาพอลลอน สัมพันธ์ถึง พฤหัส วัลคานุส เช่นเดียวกับ “ศิษย์ฝาก” ด้วยเหตุที่ “ศิษย์เมีย” ได้ตั้งใจว่าจะค้นคว้าเรื่องอาหาร และสุขภาพเป็นหลัก จะทำให้ “ศิษย์เมีย” มีความเชี่ยวชาญด้าน โหราศาสตร์การแพทย์ แบบหาตัวจับได้ยาก

                ผู้เขียนหวังว่า ศิษย์เอก จะมิได้มีเพียงเท่านี้ หากแต่เพียงว่า ผู้เขียนจำเป็นจะต้อง ออกค้นหาเพชรน้ำงามจำนวนมากที่สุด เพื่อนำ มาเจียระไนให้ประณีตที่สุด เท่าที่จะกระทำได้ ตามที่ให้สัจจะ กับพระ-อาจารย์ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ “พูดจาภาษาดาว” เล่มนี้ จะเป็นสื่อกลางให้ผู้เขียน ได้มีโอกาสพบ และเจียระไนเพชรเม็ดงาม มาประดับวงการโหราศาสตร์เป็นจำนวนมาก ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้สืบต่อไป

ทำเสน่ห์

                บ่ายวันหนึ่ง ผู้เขียนได้รับแจ้งเพื่อนสาวร่วมรุ่นทางโทรศัพท์ว่า น้องชายบุญธรรม ซึ่งเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐี กำลังติดพันกับ เลขานุการสาวที่ทำงาน เพื่อนรายนี้ทราบว่า ผู้เขียนเป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่ง จึงถามถึงประวัติของสาวรายนี้ เมื่อผู้เขียนทราบชื่อสียงเรียงนามของสาว รายนี้ ถึงกลับอึ้งไปเลย เพราะสาวรายนี้ อยู่ในบัญชีรายชื่อ ผู้ที่ลงทะเบียนเรียนโหราศาสตร์ยูเรเนียนกับผู้เขียนพอดี ด้วยความรู้สึก รับผิดชอบต่อความบกพร่องในหน้าที่ของอาจารย์ ที่เร่งผลิตลูกศิษย์ โดยลืมนึกถึงคุณธรรม และจรรยาบรรณแห่งโหร ผู้เขียนจึงรับปาก ที่จะแก้ปัญหาให้

                ดังนั้นเที่ยงวันหนึ่ง ในสัปดาห์ต่อมา เพื่อนสาวจึงได้เป็นสื่อกลาง ให้พบกับมารดาบุญธรรม ที่ห้องพิเศษ ณ ภัตตาคารชั้นยอด ในโรงแรม ชั้นหนึ่งกลางกรุงเทพฯ ใกล้ที่ทำงานของผู้เขียน เพราะในขณะนั้น ผู้เขียนมีภาระยุ่งเหยิงมาก แต่ต้องรีบจัดคิวให้ เนื่องจากศิษย์โหราศาสตร์ เป็นผู้ก่อเรื่องเอาไว้ ตารางนัดหมายในตอนนั้น เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงทำได้เพียงแวะออกไปทานอาหารมื้อเที่ยง ตามด้วยการพยากรณ์ แล้วรีบ กลับมาทำงานต่อเท่านั้น

                พอพยากรณ์ถึงตรงนี้ มารดาบุญธรรมของเพื่อน ถึงกับตบอกผาง เพราะตนเอง เป็นผู้สันทัดกรณี ด้านการทำบุญ และการปฏิบัติธรรม รวมถึงเคยแนะนำลูกคนอื่นมากมาย ให้บวช เพื่อเสริมสร้างบารมี และ แก้ไขปัญหาชีวิต แต่พอเจอปัญหากับตนเอง กลับเหมือนผง เข้าตา ตนเอง ต้องให้ผู้อื่นช่วยเขี่ยให้ เมื่อผู้เขียน ได้แนะนำ ทางเลือกให้เช่นนั้น ท่านจึง มีความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และรับปากที่จะดำเนินการทันที พร้อมกันนั้น ท่านก็ได้ฝากค่าบูชาครูใส่ซองยื่นให้ผู้เขียน หากจะสังเกตดูซองรู้สึกว่า จะหนาอยู่ แต่ไม่ทราบว่าค่าบูชาครูในซอง ที่ท่านจัดไว้ คิดเป็นจำนวนเงิน เท่าใด แทนการรับค่าบูชาครู ผู้เขียน รีบแจ้งว่า ให้นำเงินในซองทั้งหมด ทำบุญในนามของผู้เขียนด้วย

                เช้าวันเสาร์หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เขียนได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ มือถือจากเพื่อนสาว ขณะสอนโหราศาสตร์ว่า น้องบุญธรรมได้บวช ตามที่ผู้เขียนแนะนำแล้ว ขอให้ผู้เขียนร่วมอนุโมทนาบุญด้วย กาลต่อมา หลังจากสึกแล้ว เลขาฯสาว ก็ไม่มาข้องแวะอีกเลย ชีวิตของน้องบุญธรรม ของเพื่อนสาวรายนี้ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นาน จึงได้แต่งงาน กับสาว ตระกูลดี อยู่กินกันอย่างมีความสุขกระทั่งปัจจุบัน

ศิษย์เห็นแก่ได้

                เมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสสอนโหราศาสตร์ ก็พยายามแสดงฝีมือในการสอนให้เป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากผู้เขียนเคยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสอนศาสตร์แขนงอื่นเอาไว้หลายแขนง นับว่าความพยายามของผู้เขียนสัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลักสูตรที่ผู้เขียนสอนนั้น มีผู้แย่งกันลงทะเบียนอย่างเนืองแน่นจนเต็มความจุของชั้นเรียนอย่างรวดเร็ว ประกอบกับคำร่ำลือเกี่ยวกับ ความแม่นยำในการพยากรณ์ ของโหราศาสตร์ยูเรเนียน ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่มีพวกกระหายวิชา พวกเห็นแก่ได้ปะปนเข้ามาเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก

                ผู้เขียนเอง ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของ การสะสมตำราโหราศาสตร์ต่างประเทศ จึงมีลูกศิษย์ลูกหามาขอยืมต้นฉบับไปอัดสำเนาบ่อยๆ ได้ต้นฉบับคืนบ้าง ไม่ได้คืนบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกศิษย์หลายคนแย่งกันขอเป็นตัวแทนนำหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนซื้อมาจากยุโรป ลูกศิษย์คนหนึ่งเกรงว่า จะได้สำเนาช้า เพราะความกระหายอยากจะอ่านเนื้อหาในตำราเล่มนั้นเร็วๆ ถึงกับกระชากต้นฉบับออกไปจากมือผู้เขียนโดยที่ผู้เขียนยังไม่ทันอนุญาต

                ระหว่างนั้น หากจะมีลูกศิษย์เรียกร้องให้ทำอะไร ผู้เขียนก็พยายามที่จะรีบดำเนินการให้ มีอยู่วันหนึ่ง มีลูกศิษย์รายหนึ่ง บอกว่าอยากจะได้ตารางเรือนชะตาสำหรับประเทศไทย ผู้เขียนมีทักษะด้านการเขียนโปรแกรมอยู่บ้าง จึงรับปากจะรีบดำเนินการให้ เนื่องจากมีศักยภาพที่จะสามารถทำให้ได้โดยไม่ลำบาก เนื่องจากตัวเลขในตารางมีเป็นจำนวนมาก และจำนวนสำเนาที่ต้องการก็มีไม่มากพอที่จะเข้าเรียงพิมพ์ จึงจำเป็นต้องเตรียมต้นฉบับเอาไว้ เพื่อใช้การถ่ายเอกสาร โดยจำหน่ายในราคารวมของถ่ายเอกสารบวกด้วยต้นทุนเฉลี่ยในการดำเนินการ ลูกศิษย์รายนั้นนอกจากจะไม่ช่วยสนับสนุนหนังสือเล่มนั้นแล้ว ยังจะขอยืมต้นฉบับตารางเรือนชะตาเล่มนั้น และต้นฉบับตำราเล่มอื่นๆที่ผู้เขียนรวบรวมด้วยความยากลำบากไปถ่ายเอกสาร ด้วยเหตุผลสั้นๆ จะได้สำเนาที่คมชัด และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับเขาอีกด้วย??? ในอดีตผู้เขียนได้แต่งตำราเอาไว้หลายเล่ม และใจดีให้ลูกศิษย์ยืมไป แต่ไม่เคยได้ต้นฉบับคืนแม้แต่เล่มเดียว ด้วยคำปฏิเสธอย่างขาดความรับผิดชอบคล้ายๆกันว่า “สาบานได้ ในชีวิต ผม/หนู ไม่เคยยืมหนังสือจากอาจารย์ แม้แต่เพียงเล่มเดียว !!!”

                ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีลูกศิษย์บางรายร้ายไปกว่านั้น นำต้นฉบับผู้เขียนไปเรียงพิมพ์ใหม่ พร้อมกับโฆษณาเสียดิบดีเลยว่า ชัดกว่าต้นฉบับ บางรายถึงกับนำเอกสารประกอบการสอนของผู้เขียนไปสอน โดยตั้งตัวเป็นพระอาจารย์เลย

                สิ่งที่กล่าวมาข้างบน ก็ยังนับว่าดี เพราะเป็นการจรรโลงศาสตร์แห่งการพยากรณ์ให้เจริญก้าวหน้าสืบไป แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนสะเทือนใจอย่างยิ่ง คือคุณธรรม และมโนธรรมของลูกศิษย์

                ลูกศิษย์รายหนึ่ง มีอาวุโสมาก มาเรียนโหราศาสตร์กับผู้เขียน และเรียนครบตามหลักสูตรโดยสอบไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อเรียนจบก็ไปเสนอเงื่อนไขขอสอนแทนผู้เขียน โดยอ้างว่าไม่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้เขียน แต่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ของผู้เขียนโดยตรง ครั้งหนึ่งถึงกับกล้าเสนอตัวเป็นผู้สอนโหราศาสตร์ยูเรเนียนให้สมาคมโหรฯ แต่ระหว่างเดินทางไปสมาคมโหรฯ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งสองครั้ง จึงเลิกล้มความตั้งใจดังกล่าว

                ลูกศิษย์อีกรายหนึ่ง มาร่ำเรียนโหราศาสตร์กับผู้เขียนหลังการเกษียณแล้ว ซึ่งผู้เขียนมักจะให้ลูกศิษย์แต่ละราย นำกรณีศึกษามาฝึกหัดพยากรณ์กันในชั้นเรียน ลูกศิษย์รายนี้ มักจะนำดวงชะตาญาติสนิทมิตรสหายมาให้ช่วยกันพยากรณ์ ในทำนองจะโกงทรัพย์ และสมบัติของผู้อื่น แม้ผู้เขียนจะเตือนสติ และห้ามปรามเช่นไรก็ไม่ฟัง ทันทีที่เรียนครบตามหลักสูตร โดยที่ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ก็ตั้งตนเป็นอาจารย์ทันที อีกไม่นานต่อมา ศิษย์รายนั้น ก็ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อหายป่วย สิ่งแรกที่ศิษย์รายนี้คิด คือจะนำเอกสารประกอบการสอนของผู้เขียนไปเรียงพิมพ์ใหม่ แล้วจัดจำหน่ายโดยมีชื่อตนเองเป็นผู้แต่ง เฮ่อ เหนื่อย

                เหตุการณ์ที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เพื่อแสดงให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า เหตุใดผู้เขียน จึงเบื่อหน่ายวงการโหราศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง จนคิดอยากจะออกจากวงการ

ร้อนวิชา

                ในช่วงที่สอนโหราศาสตร์ระยะแรกๆ ผู้สอนเน้นถึงศักยภาพของโหราศาสตร์ว่าพยากรณ์ได้ครอบจักรวาล จึงไม่สามารถสอนได้ครอบคลุมทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ หากนักศึกษาสนใจที่จะเจาะลึกเรื่องใด ผู้เขียนจะคอยเป็นผู้สนับสนุนให้

                มีนักศึกษากลุ่มหนึ่ง สนใจการพยากรณ์เกี่ยวกับ โรคภัยไข้เจ็บ และชอบนำดวงชะตาบุคคลที่ถึงแก่กรรมไปแล้วมาฝึกหัดพยากรณ์ แม้ผู้เขียนจะเตือนสติว่า เรื่องของเคราะห์กรรมจะเกี่ยวพันกับกฎแห่งกรรม และมีเจ้ากรรมนายเวร ผู้พยากรณ์จะต้องมีเกราะป้องกันตัว โดยการถือศีล นั่งสมาธิ และทำบุญ ลูกศิษย์กลุ่มนี้หาได้เชื่อฟังไม่ แรกๆ ผู้เขียนก็อธิษฐานเอาบุญบารมีของตนเองปกป้องคุ้มครองลูกศิษย์เหล่านี้ ยิ่งทายถูกลูกศิษย์เหล่านี้ก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น กระทั่งผู้เขียนต้องขออธิษฐานแก้ ให้ผู้พยากรณ์รับผลกรรมจากการพยากรณ์โดยตรง ปรากฏว่า มีลูกศิษย์รายหนึ่ง เส้นโลหิตในสมองแตกถึงกับเสียชีวิต ส่วนที่เหลือมีอาการทางประสาท แต่ก็ยังไม่วายจับกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น

สัมผัสโลกวิญญาณ

                เมื่อเป็นพระอาจารย์ ถึงคราวที่ผู้เขียนจะรับลูกศิษย์ ทางสมาคม โหรฯ ก็จะจัดให้มีพิธีครอบครู รางต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี ซึ่งนับว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญมาก สำหรับผู้ที่จะเข้าสู่วิถีของการเป็น นักโหราศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงให้ความสำคัญกับพิธีนี้มาก การให้คนกราบไหว้ เคารพนับถือ นั้น ไม่ใช่เพียงความภาคภูมิใจเท่านั้น ผู้เขียนคิดว่า เราเองก็ควรประพฤติตัว ให้คู่ควรกับเคารพนับถือด้วย ด้วยเหตุนี้ การเตรียมตัวสำหรับพิธีครอบครูปีแรก ผู้เขียนจึงได้ ถือสัตย์อธิษฐานขอรักษาศีลห้า และทานมังสวิรัติเป็นเวลา 10 วัน ผลแห่งการกระทำเช่นนั้น ทำให้จิตใจของผู้เขียนละเอียดอ่อนขึ้น อารมณ์ เยือกเย็นลง เมื่อผลแห่งการรักษาศีลปรากฏเช่นนั้น ผู้เขียนจึงยืดเวลา สำหรับการเตรียมตัวเพื่อพิธีครอบครู โดยการถือศีลและทานมังสวิรัติ (ผนวกทานเจ) เพิ่มเป็นระยะเวลาเป็น 20 วัน เพิ่มเป็น 30 วัน และยืดเวลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปีต่อๆมา ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ระดับจิตของตนเอง ละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบางครั้ง รู้สึกได้ว่า เวลาเดินเหิน จะมีกายละเอียดที่พยายามจะแยกออกจากกายเนื้ออยู่ตลอดเวลา

                เป็นประเพณีปฏิบัติที่จะมีการสอบปลายปี ผู้ที่ผ่านการสอบ จะได้รับสัมฤทธิบัตรในวันไหว้ครู สำหรับนักศึกษาวิชาโหราศาสตร์ หมายถึง การมีใบประกอบวิชาชีพโหร ซึ่งสามารถนำไปใส่กรอบ ยืนยันความสามารถในการพยากรณ์ได้ ดังนั้น ลูกศิษย์แต่ละราย จึงหมาย-มั่นปั้นมือที่จะต้องสอบผ่านให้ได้ เป็นธรรมดาอยู่เอง ก่อนการประกาศ ผลสอบ ก็มีการคาดคะเนว่า ผู้ใดน่าจะสอบผ่าน บางรายเชื่อมั่น ตนเองเป็นอย่างยิ่ง พยายามแสดงความเหนือชั้นข่มเพื่อนร่วมรุ่น บางราย ถึงขนาดเตรียมเปิดตัวกับสื่อมวลชนหลังรับสัมฤทธิบัตร

                มีอยู่ปีหนึ่ง มีศิษย์สาวหัวโจกรายหนึ่ง หลงระเริงว่า ตนเองมีความสามารถเหนือผู้อื่น พยายามชี้นำเพื่อนให้ทำการพยากรณ์ ตามแนวทางของตนเอง กระทั่ง ผลการสอบปลายปีออกมา ไม่มีผู้สอบ ผ่านเกณฑ์ แม้แต่รายเดียว แม้แต่ “ศิษย์พี่”

                ศิษย์สาวหัวโจก ถึงกับเสียอกเสียใจมาก เข้ามาขอร้อง ให้ผู้เขียนปรับผลการสอบให้ผ่าน เนื่องจากตนเองเสียหน้ามาก จากการ ที่ได้อวดความสามารถกับผู้อื่นไว้มากมาย เมื่อขอร้องไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็น อ้อนวอน ท้ายที่สุด ก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธ กระทั่งต่อว่าต่อขาน ผู้เขียนเสียๆหายๆ ด้วยถ้อยคำที่เกรี้ยวกราด และหยาบคาย ผิดวิสัย ที่ลูกศิษย์ที่ดี จะแสดงกับพระอาจารย์เยี่ยงนั้น

                แทนที่ผู้เขียนจะโกรธ กลับมีความรู้สึกเวทนาต่อศิษย์สาวหัวโจก รายนั้น เพราะการกล่าวร้ายและการแสดงกิริยามารยาทเยี่ยงนั้น ถือเป็น การทำบาปอย่างยิ่ง ยิ่งศิษย์สาวจะทวีความโกรธเพิ่มขึ้นเท่าไร ผู้เขียน กลับมีความเวทนายิ่งขึ้น และกลับแผ่เมตตามิให้ศิษย์สาวรายนี้ ได้รับผล แห่งการปะพฤติมิชอบ เมื่อศิษย์สาวเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลใดๆ ได้ก็จากไปอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้น ผู้เขียนกลับเกิดปิติ กายละเอียด ได้ขยายตัวออกไปอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด กระทั่งรู้สึกว่ากายตัวเอง กลืนเข้าไปกับสุญญากาศ และ ณ เสี้ยววินาทีนั้นเอง ที่หูข้างซ้ายของผู้เขียน คล้ายกับถูกถ่วงด้วยต่างหูแบบผู้หญิง พร้อมกับเสียงกระซิบ ของพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมว่า

                “ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ด้วย วันนี้นับเป็นครั้งแรก ที่อาจารย์ได้ พรหมวิหาร 4 ครบ ...”

                ความสุขจากปิติที่ได้ประสบมา มีมากจนคิดว่า “นี่แหละ สิ่งที่เราค้นหามาตลอดชีวิต”

                ตอนเย็นวันนั้น ผู้เขียนกลับไปที่พัก เกิดความรู้สึก อยากนั่งสมาธิขึ้นมา ก็ลองนั่งดูทั้งๆที่ไม่เคยมีผู้ชี้แนะให้ แต่เมื่อผู้เขียน หลับตาลง จิตใจกลับเป็นสมาธิอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบว่าเวลา ผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด นิมิตต่างๆก็เริ่มปรากฏขึ้นมา เหมือนกับ เป็นการย้อนอดีตของผู้เขียนกลับไปในอดีตชาติ คล้ายการระลึกชาติ นิมิตต่างๆพรั่งพรูเข้ามา เริ่มจากอดีตที่ไม่นานมาก ที่ผู้เขียนสามารถ เข้าใจได้จากความรู้ที่เคยร่ำเรียนมา กระทั่งย้อนกลับไปในอดีต นานมากขึ้นทุกทีๆ จนกระทั่งเห็นนิมิตที่เห็น กลายเป็นภาพเกี่ยวกับตำนาน ที่เล่าขานกันสืบต่อมา ทำให้ผู้เขียนคลายความสนใจจากนิมิตที่ปรากฏ เมื่อผู้เขียนออกจากสมาธิ ก็รู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายาม ตรวจสอบจากนาฬิกา และจากทีวี พบว่า ผู้เขียนได้ใช้เวลา กับการนั่งสมาธิ ในครั้งนั้น นานถึง 30 ชั่วโมง !!! ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจว่า สถานที่ และบุคคลที่ปรากฏในนิมิตเหล่านั้น จะมีความเกี่ยวพันกับผู้เขียนอย่างไร ช่วงนั้น ดูเหมือนว่า จะเป็นช่วงที่ผู้เขียน จะได้รับประสบการณ์ ทางด้านวิญญาณ ต่อมา ผู้เขียนกลับพบว่า ประสบการณ์ทางวิญญาณเหล่านี้ ทำให้ผู้เขียนเข้าใจโหราศาสตร์ลึกซึ้งขึ้น สามารถตอบคำถาม เรื่องที่ไม่เคย เข้าใจได้ทุกประเด็น

                ช่วงชีวิตหลังสัมผัสโลกทางวิญญาณ ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับผู้เขียน ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่นิมิตที่ปรากฏจากการนั่งสมาธิครั้งนั้น

                “ ... นี่เป็นสิ่งของที่ตระกูลดิฉันเก็บรักษาเอาไว้ รอเจ้าของเดิมมารับกลับไป วันนี้ ดิฉันขอมอบให้อาจารย์ เก็บของเหล่านี้กลับไป ... ”

                “ ... ตอนที่แม่ตั้งครรภ์ลูก แม่ระลึกถึงบุคคลหนึ่งทุกวัน .... ”

                “ ... โอ้คุณนี่เอง ที่ปรากฏในนิมิต อยากให้คุณบอกเรื่องราว ของดิฉันในอดีต ... ”

                “ … โยมอาจารย์เองหรือ ที่หลวงพี่เห็นในฝัน หนังสือธรรมะ เล่มนี้ หลวงพี่เตรียมไว้ให้โยมอาจารย์นานแล้ว รอโยมอาจารย์มารับไป ... ”

                ประสบการณ์ที่ประดังกันเข้ามาอย่างถี่ยิบในช่วงนั้นดูเหมือนกับว่าจะมาเชื่อมโยงกับนิมิตต่างๆได้เป็นอย่างดี  และที่สำคัญที่สุด หนังสือ ธรรมะ เล่มที่หลวงพี่มอบให้ เมื่อผู้เขียนเปิดออก หน้าแรกที่ปรากฏกลับกลายเป็นเรื่อง “พรหมวิหาร ทำให้ผู้เขียนเข้าใจว่า เหตุใดเจ้าแม่กวนอินจึงได้แสดงความรู้สึกยินดีต่อผู้เขียนที่ได้ “พรหมวิหาร และตอบข้อสงสัยของผู้เขียนว่า เมื่อได้ “พรหมวิหาร แล้ว เหตุใดจึงเกิดปิติเช่นนั้น

ชะตาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

                ในช่วงที่เกิดสุริยคราสเต็มดวง เห็นได้ในประเทศไทย มีโหรา-จารย์หลายท่าน ออกมาทำนายทายทักว่า จะเกิดเหตุการณ์เลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคลสำคัญของประเทศ ผู้เขียนเอง ได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ ให้ตรวจสอบดวงชะตา ให้กับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็นการด่วน เพื่อให้ทราบว่า จะเกิดเหตุการณ์ร้าย กับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เช่นที่โหราจารย์หลายท่านได้พยากรณ์ไว้หรือไม่

                เมื่อผู้เขียนได้หาฤกษ์สำหรับการพยากรณ์ให้แก่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ขณะที่ผู้เขียน จะเริ่มวิเคราะห์พื้นดวงชะตา ก็เกิดม่านขุ่นขาว คล้ายหมอกควันบางๆ หรือผ้าขาวบางมาปิดกั้นดวงชะตาเอาไว้ ทำให้ ผู้เขียนเกิดอาการขนลุกเลยทีเดียว พร้อมกับรำพึงในใจว่า “โอ้หนอ ใช่ว่า รู้โหราศาสตร์ แล้วจะเที่ยวดูดวงชะตาของใครก็ได้” แต่เมื่อรู้สึกตัว อีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดมานะว่า เราไม่ได้บังอาจเอื้อม ที่จะล่วงรู้ดวงชะตาของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน นี่เป็นเพราะได้รับการร้องขอ ให้ตรวจดวงชะตาให้ท่าน คิดได้เช่นนั้น จึงธูปมานับได้ 108 ดอก แล้วจุดธูปขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้เขียนสามารถทำหน้าที่วิเคราะห์ดวงชะตาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินตามที่ถูกร้องขอ หลังจากนั้น ม่านขาวบางก็จางลง จนกระทั่งผู้เขียนสามารถวิเคราะห์ดวงชะตาของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต่อไปได้

                ประสบการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนซาบซึ้งใจว่า การที่เรา มีความสามารถในการพยากรณ์นั้น เป็นเพราะบุญบารมีเก่า ที่ผู้เขียน ได้สะสมมาจากอดีตชาติ ถึงจะมีมากเท่าใด แต่ก็ไม่สามารถ พยากรณ์ดวงชะตาบุคคลที่มีบุญบารมีสูงกว่า หากเจ้าชะตาไม่อนุญาต หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่เปิดทางให้

แอบอ้าง

                ในช่วงที่ผู้เขียนโลดแล่นในวงการโหราศาสตร์ ได้รับการยกย่องจากนักโหราศาสตร์ด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทั่งมีผู้แอบอ้างตนเป็นลูกศิษย์ บางรายแม้เพียงเคยมาฟังบรรยายพิเศษ เข้าร่วมสัมมาทางวิชาการเพียงครั้งเดียว หรือนั่งนอกระเบียง ได้ยินคำบรรยายแบบขาดตอน ก็ยังแอบอ้างเป็นลูกศิษย์ของผู้เขียน เพื่อผลักดันให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของวงการโหราศาสตร์อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อดังแล้ว ก็จะบอกว่าร่ำเรียนจากพระอาจารย์ของผู้เขียนโดยตรง บางรายซ้ำร้ายกว่านั้น กล่าวแอบอ้างตัวเองว่ามีความรู้ทันสมัยที่สุด เพราะสามารถเนื้อหาบางเรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้นำมาสอน ทั้งๆที่เรื่องที่นำมาสอนก็ศึกษามาจากผู้เขียน แต่ที่ผู้เขียนเลิกสอนเนื้อหาเหล่านี้ เพราะไม่มีความสำคัญ หรือมีเนื่องอื่นที่น่าสอนมากกว่า ว่ากันตามความเป็นจริงก็คือ เรื่องเหล่านี้ล้าสมัยในความเห็นของผู้เขียนนั่นเอง

                กล่าวโดยสรุปก็คือ เวลาอยากดังก็แอบอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของผู้เขียน เมื่อผู้คนยอมรับแล้ว นอกจากจะไม่ยอมรับว่าไม่ได้เป็นศิษย์ของผู้เขียนแล้ว ยังมีพฤติกรรมคล้ายๆกัน คือ ยกตนข่มท่าน นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนเบื่อหน่ายวงการโหราศาสตร์

การเมืองเรื่องแสลงใจ

ภายหลังจากที่ผู้เขียน สยบความวุ่นวายระหว่างศิษย์อาจารย์เดียวกัน โดยการถ่ายทอดคำสั่งเสียของอาจารย์ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการว่า “อยากให้ลูกศิษย์ทุกคนปรองดองกัน” ท่านผู้ใหญ่ก็แบ่งหน้าที่ให้ศิษย์แต่ละคนไปทำ ก็ดูเหมือนว่า จะทำให้คลื่นลมสงบลงได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะแต่ละคน ก็สาระวนอยู่กับการสร้างผลงาน ให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป หลังจากพระอาจารย์เสียได้สองปี มีญาตินักการเมืองเข้ามาเป็นหัวโจกในสมาคมโหรฯ พยายามสร้างกระแสว่า นักโหราศาสตร์คนไหนเก่งจริง สร้างพยากรณ์เรื่องการเมือง พร้อมกับเป็นหัวโจกในการยุยงให้มีการพยากรณ์การเมือง ต่อมายังเป็นหัวโจกให้มีการแก้กฎของสมาคมโหรฯ ให้สมาชิกสามารถพยากรณ์เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองได้โดยอิสระ

ผู้เขียนได้พยายามห้ามปรามไว้ แต่ก็ดูเหมือนกับหยุดยั้งพวกอยากดังเอาไว้ไม่อยู่ กระทั่งมีปรากฏการณ์สุริยคราส เห็นได้ในเมืองไทย  ในปี พ.ศ. 2538 ทางสมาคมโหรฯ จึงจัดให้มีการสัมมนาทางวิชาการ “สุริยคราสมหันตภัยของไทยหรือ” โดยมีหัวข้ออภิปราย “รัฐบาลไทยใต้เงาคราส” ซึ่งมีผู้คนให้ความสนใจมาก รวมถึงบุคคลระดับสูง และผู้สื่อข่าวด้วย ตัวผู้เขียนเอง ก็ได้รับเชิญให้เป็นผู้ร่วมอภิปรายด้วย นักโหราศาสตร์หนุ่มหลายคนพยายามใช้เวทีนี้ สร้างชื่อเสียง ด้วยการพยากรณ์ให้ร้าย เพื่อให้ขายข่าวได้ ตามสไตล์ที่ผู้สื่อข่าวชอบ

ก่อนขึ้นอภิปราย ผู้เขียนได้เตือนผู้ร่วมอภิปรายอีก 4 ท่านว่า อย่าพยากรณ์หนักโดยขาดหลักวิชาการ เพราะมีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เยอะ หากผู้เขียนจะต้องพยากรณ์แย้ง หนึ่งเสียง หากจะเอาชนะ สี่เสียง เพื่อธำรงความถูกต้องของโหราศาสตร์ จะต้องพยากรณ์อย่างดุเดือด แต่ก็หาเป็นผลไม่ ผู้ร่วมอภิปรายทั้ง 4 ท่าน ออกมาทำนายในลักษณะเดียวกัน คือ รัฐบาลนายบรรหาร อยู่ไม่เกินเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน เมื่อเตือนไม่ได้ผลก็ต้องทำการปราม ผู้เขียนขึ้นอภิปรายเป็นคนสุดท้าย เนื่องจากอาวุโสน้อยที่สุด จึงต้องแสดงเหตุผลอย่างหนักแน่น และชัดเจน ข้อความบางส่วนในการอภิปราย ดังนี้

“... โดยหลักการวางฤกษ์ในการเปิดกรวยเพื่อรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ผู้วางฤกษ์จะกำหนด เวลาให้มีจุดตายเกิดขึ้น เพราะในทางปรัชญา จุดตายกับจุดเกิด ถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน หมายถึง การสิ้นสุดของรัฐบาลชุดเก่า และเป็นจุดตั้งต้นของผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ การที่ผู้อภิปรายท่านอื่น พยากรณ์ว่ารัฐบาลจะมีอายุสั้น อยู่เพียงไม่เกินสิ้นปีนั้น เห็นจะไม่ถูกต้อง เพราะยังเป็นอิทธิพลของดาวชุดเดิมอยู่ ระหว่างนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือของรัฐบาลในการแก้ปัญหา จุดวิกฤตของรัฐบาลชุดนี้ จึงน่าจะอยู่กับจุดตายซึ่งจะเกิดขึ้นครั้งต่อไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการที่นายบรรหารให้รถยนต์ที่นำพระบรมราชโองการมาประกาศวนอยู่หลายรอบ กระทั่งเวลาเปิดกรวยตรงกับจุดตาย แสดงที่คณะที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ของนายบรรหาร มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ในระดับที่น่าชมเชยยิ่ง ...”

...

“... หากจะพิจารณาถึงจุดอิทธิพลแสดงนายกรัฐมนตรี ได้แก่ พฤหัส บวก โครโนส ลบ วัลคานุส จุดอิทธิพลนี้สัมพันธ์ ฮาเดส และแอดเมตอส ไม่ได้แปลว่า นายกรัฐมนตรีที่ไร้สง่าราศีที่สุด แต่ว่า ฮาเดส แปลว่า เตี้ย แอดเมตอส แปลว่า อ้วน ดังนั้น ฟ้าจึงได้ลิขิตมาแล้วว่า นายกรัฐมนตรีสำหรับช่วงเวลานี้ จะมีลักษณะอ้วนและเตี้ย ตามความหมายของ แอดเมตอส และฮาเดส ตามลำดับ ...”

...

“ด้วยเหตุนี้ จึงขอพยากรณ์ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายบรรหารจะหนังเหนียว สามารถฝ่าวิกฤตในปีนี้ และอยู่ยาวกว่าที่ใครๆคิด ...”

“... การเมืองเป็นของสูง จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ไม่รู้จะวิจารณ์เล่นเสียๆหายๆ การพยากรณ์เชิงเหตุผลของข้าพเจ้าในวันนี้ ขอประกาศให้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการพยากรณ์การเมือง ได้แต่วิงวอนว่า ในอนาคต หากผู้ใดมีมาตรฐานต่ำกว่านี้ กรุณาอย่าได้ริอ่านพยากรณ์การเมืองเลย และข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ วางมือจากวงการ”

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวข่าวใหญ่ว่า “โหรรวมตัวชี้ ปลายปีรัฐบาลบรรหารไร้เงา” รายละเอียดข้างในฉบับมีรายชื่อผู้ร่วมอภิปรายครบทุกคน รวมผู้เขียนด้วย แต่ไม่ปรากฏเนื้อหาในการอภิปรายของผู้เขียนปรากฏแม้แต่ตำเดียว นี่แหละคือวงการหนังสือพิมพ์บ้านเรา ที่มัวจ้องแต่จะขายข่าวเท่านั้น ทำให้ผู้คนติดกับภาพว่า หมอดูหมอเดา ทายไม่เคยถูก เดาเมื่อไร บรรลัยเมื่อนั้น

หลังจากนั้น กลุ่มคนกลุ่มเดิมก็ผลักดันจนมีการแก้กฎสมาคมโหรฯ ให้มีการพยากรณ์การเมืองได้โดยอิสระ หลังจากนั้นไม่นาน สมาคมโหรฯ ก็ประสบชะตากรรม ต้องมีอันย้ายที่ทำการไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่สมเกียรติ กระทั่งครั้งหนึ่งที่ทำการชั่วคราวยังถูกเพลิงไหม้ด้วย กระทั่งต่อมาก็มีพวกโหราพาณิชย์เข้ามาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่พวกเขาอ้างว่าเป็นคะแนนบริสุทธิ์เพียงร้อยเศษๆ หลังจากนั้นภาพลักษณ์ของสมาคมโหรฯก็ตกต่ำลง กลายเป็นเพียงสถานที่ให้ผู้หาประโยชน์ใส่ตนมาชุมนุมกันเท่านั้น ส่วนผู้ที่นำความตกต่ำมาสู่สมาคมโหรฯ ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง

การสร้างสิ่งดีงามนั้น ใช้เวลายาวนาน การทำลายใช้เวลาเพียงสั้นๆ ผู้ก่อตั้งทราบดีว่า โหราศาสตร์มีศักยภาพในการพยากรณ์การเมืองได้ แต่ขอให้เป็นมติของกรรมการบริหาร ต่อเหตุการณ์บ้านเมืองครั้งสำคัญๆ มิใช่การพยากรณ์ตามกระแสที่ผู้สื่อข่าวต้องการ ด้วยการยืมมือผ่านผู้อยากดัง คณะผู้ก่อตั้งเห็นภัยว่า หากอนุญาตให้สมาชิกพยากรณ์การเมืองโดยเสรี จะนำภัยพิบัติมาสู่สมาคมโหรฯ จึงได้บัญญัติข้อห้ามนี้เป็นกฎข้อแรก สมาคมโหรฯมีความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลายาวนาน กระทั่งมีการแก้กฎข้อนี้ สมาคมโหรฯจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเหลือเพียงป้ายที่พวกโหราพาณิชย์กระทำย่ำยี และนำมาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

กบจำศีล

                ภายหลังจากที่ผู้เขียนประกาศอำลาวงการโหราศาสตร์ ระหว่างร่วมอภิปรายหัวข้อ “รัฐบาลไทยใต้เงาคราส” ผู้เขียนก็ค่อยๆปลดภาระเกี่ยวกับการเรียนการสอนโหราศาสตร์ออกทีละน้อยกระทั่งหมด ระหว่างนั้น ผู้เขียนไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ และไม่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมอภิปรายด้านโหราศาสตร์อีกเลย

“เมื่อพักรบ ก็พบรัก” ปี พ.ศ. 2539 หลังจากที่ผู้เขียนหันหลังให้กับวงการโหราศาสตร์ ก็มีเวลาให้กับวิชาชีพของตนเองมากขึ้น ในขณะนั้นมีกิจธุระในต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนสาวขอร่วมเดินทางไปทำบุญในเส้นทางที่ผู้เขียนประกอบอาชีพ

ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้เดินสายไปธุระหลายจังหวัดในอีสาน เมื่อผ่านวัดใด มีโอกาสก็เข้าไปทำบุญ และขอฟังธรรมะจากหลวงพ่อ วันหนึ่งผู้เขียน และเพื่อนสาวได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อในจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งขึ้นชื่อลือชาด้านการเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ทันทีที่เห็นผู้เขียน และเพื่อนสาว หลวงพ่อก็ทักว่า

“ยินดีต้อนรับ โยมอาจารย์ และคุณนาย  … ”

…

“… อาตมาอยากให้โยมอาจารย์บวชที่นี่โดยทันที”

ข้อความสุดท้ายนี้ ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยสุดขีด จึงเรียนถามหลวงพ่อว่า

“ด้วยเหตุอันใดหรือ”

“เหตุการณ์คล้ายกับตอนโยมอาจารย์มีอายุ 25 ปี กำลังจะเกิดขึ้น”

หลวงพ่อกล่าวเพียงสั้นๆ แต่ก็เพียงพอ ที่จะที่ผู้เขียนเข้าใจได้ในทันที เนื่องจากขณะผู้เขียนมีอายุได้ 25 ปี พี่ชายคนโตได้ถึงแก่กรรม ดังนั้นหลวงพ่อน่าจะหมายถึงคุณพ่อซึ่งขณะนั้นป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ผู้เขียนจึงกล่าวออกไปว่า

“หากจะให้บวชตอนนี้ คงจะไม่สะดวก เนื่องจากอยู่ระหว่างกลางภาคการศึกษา ครั้นจะรอช้า ก็จะไม่ทันการเช่นเดียวกัน จึงถือโอกาสนี้ ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า ขอถือศีล 5 และทานมังสวิรัติเป็นเวลา 1 ปี”

...

หลังเหตุการณ์วันนั้น เพื่อนสาวได้เข้าไปกราบหลวงพ่ออีกหลายครั้ง เพื่อไขข้อข้องใจกับคำทักทายของหลวงพ่อว่า “คุณนาย” จนกระทั่งกระจ่างใจ เป็นที่มาของการแต่งงาน และ “ศิษย์เมีย” ในเวลาต่อมา

หลังจากให้สัตย์ปฏิญาณกับหลวงพ่อ ผู้เขียนก็ถือศีล 5 นั่งสมาธิ และทานมังสวิรัติ อย่างเคร่งครัด แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้แจ้งให้ทางบ้านทราบ เพราะเกรงบุคคลในครอบครัวจะยังทำใจไม่ได้ ระหว่างนั้น คุณพ่อก็ได้ไปเข้าฝันบุคคลที่ท่านรู้จักหลายคนว่า ท่านได้สิ้นบุญแล้ว สร้างความประหลาดใจผู้คนเป็นจำนวนมาก

วันหนึ่ง คุณแม่ซึ่งอายุก็มากแล้ว ได้ดูแลคุณพ่อที่ป่วยเรื้อรังมาเป็นเวลานาน เกิดความรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก จึงอธิษฐานว่า “หากสิ้นบุญแล้ว ให้ไปเสียเถอะ” ในเสี้ยววินาทีนั้น คุณพ่อก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบด้วยโรคชรา นับจากที่ผู้เขียนตั้งสัตย์ปฏิญาณเป็นเวลาราว 9 เดือน

เมื่อมีครอบครัว ก็ทำให้เวลาที่จะมีให้กับโหราศาสตร์ค่อยๆลดน้อยลงไปจนเกือบเรียกได้ว่า ตัดขาดกับวงการโหราศาสตร์ไปเลย แต่ดูเหมือนว่า ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่จะให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ประสบการณ์ทางวิญญาณ และมีความเข้าใจสิ่งที่ตามองไม่เห็นอีกมากมาย ประสบการณ์เหล่านี้ กลับทำให้ผู้เขียนมีความเข้าโหราศาสตร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง กระทั่งเป็นพื้นฐานให้ผู้เขียนสามารถพัฒนาโหราศาสตร์แขนงใหม่ ที่สามารถเชื่อมโยงกับ “กฎแห่งกรรม” ได้โดยสมบูรณ์ ในกาลเวลาต่อมา

ระหว่างนั้น แม้ผู้เขียนห่างเหินจากวงการโหราศาสตร์ แต่บางครั้งผู้เขียนก็ยังคงมีความจำเป็น ต้องใช้โหราศาสตร์ในการตรวจสอบสุขภาพให้กับญาติผู้ใหญ่หลายท่าน โดยเฉพาะอย่าง พ่อตา และแม่ยาย ทำให้ภรรยาเห็นประโยชน์ของโหราศาสตร์ในแง่มุมนี้ จึงอนุญาตให้ผู้เขียนทำการสอนโหราศาสตร์ เพื่อธำรงศาสตร์นี้เอาไว้ แต่ค่อนข้างจะเลือกลูกศิษย์ และสอนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น การสอนโหราศาสตร์จะทำให้เวลาส่วนตัวลดน้อยลงไปมาก ระหว่างนั้นเอง ภรรยาก็ตัดสินใจเรียนโหราศาสตร์ เพื่อให้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และจะได้มีเรื่องราวคุยกันมากขึ้น

กิจกรรมโหราศาสตร์ในแวดวงจำกัดนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการเตรียมตัวอย่างดี สำหรับการกลับคืนสู่วงการโหราศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

ตอบรับคำเชิญ

                หลังจากที่ผู้เขียนอำลาวงการโหราสาสตร์เป็นเวลาหลายปี ก็มีการเปิดตัวสถาบันพยากรณ์ศาสตร์ขึ้นมา โดยอาศัยสื่อทางทีวี ในการประโคมข่าว ทำให้สถาบันนี้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากขาดยอดฝีมือด้านโหราศาสตร์ยูเรเนียน ทางสถาบันพยากรณ์ ก็ไม่สามารถแอบอ้างได้ว่าสุดยอดด้านการพยากรณ์ เนื่องจากเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า โหราศาสตร์ยูเรเนียนมีเทคนิคที่ให้ความแม่นยำสูงสุด ได้แก่ เทคนิคการพยากรณ์ตามอายุขัยด้วยโค้งสุริยยาตร์ ด้วยเหตุนี้ คณะผู้บริหารสถาบันพยากรณ์แห่งนี้จึงได้มีมติให้เชิญผู้เขียนมาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชา โหราศาสตร์ยูเรเนียน ประจำสถาบัน

                วันหนึ่ง หน้าห้องของผู้เขียนได้แจ้งว่า บริหารสถาบันพยากรณ์แห่งหนึ่งขอเข้าพบ เมื่อถึงเวลานัดหมายทางสถาบันพยากรณ์ก็ได้ส่งตัวแทนเข้ามาแจ้งความจำนงขอให้ผู้บริหารระดับสูงสุดของสถาบันเข้ามาเจรจาความ ผู้เขียนได้ทราบข่าวของสถาบันจากทีวีมาพอสมควร คิดว่าแนวทางการทำงานน่าจะพอไปด้วยกันได้ จึงอนุญาตให้เข้าพบ

                ทันทีที่พบหน้าผู้บริหารสถาบัน ผู้เขียนก็รู้สึกได้ทันทีว่า คงจะต้องมีกิจกรรมกระทำร่วมกันอย่างแน่นอน แม้จะมีอุปสรรคตามมาอย่างมากมาย และไม่ราบรื่นก็ตาม และเมื่อผู้บริหารสถาบันอ้างชื่อบุคคลที่แนะนำมา ทำให้ผู้เขียนจำเป็นต้องตอบรับทันที เพราะเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ที่พระอาจารย์ได้เอ่ยถึงการสิ้นบุญ

ตัวตายตัวแทน

                เมื่อรับปากกับผู้บริหารสถาบันพยากรณ์ ก็ทราบทันทีว่าจะต้องรีบแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะสถาบันพยากรณ์ทำงานผ่านสื่อทีวีเป็นหลัก ด้วยเหตุผลจากงานประจำ ทำให้ผู้เขียนยังไม่สะดวกใจที่จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อสื่อมวลชน จึงต้องมีตัวตายตัวแทน เพื่องานประชาสัมพันธ์ของสถาบันพยากรณ์ ขณะนั้น ผู้เขียนมีศิษย์เอกที่ไว้วางใจได้เพียง 2 ราย คือ “ศิษย์ฝาก” กับ “ศิษย์พี่” เท่านั้น “ศิษย์เมีย” เพิ่งเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ยูเรเนียนไม่นาน จึงยังไม่สามารถรับภาระนี้ได้ ว่ากันตามฝีมือขณะนั้น “ศิษย์ฝาก” มีฝีมือดีที่สุด แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านการพูดที่มักจะกระตุกกระตักเวลาตื่นเน้น จึงไม่เหมาะที่จะออกทีวี จึงต้องตาม “ศิษย์พี่” มาติวเข้ม เพื่องานประชาสัมพันธ์ของสถาบันพยากรณ์โดยเฉพาะ แต่สถานการณ์มักจะสร้างวีรชน จากการถูกเงื่อนไขด้านเวลาบีบคั้น กับงานประชาสัมพันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ผู้เขียนจำเป็นจะต้องคอยช่วยเหลือแอบป้อนข้อมูลให้อยู่เบื้องหลัง ทำให้ฝีมือในการพยากรณ์ของ “ศิษย์พี่” พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่ยอมรับของวงการโหราศาสตร์ในช่วงนี่นี่เอง

เน้นคุณภาพ

                จากประสบการณ์ในอดีตทำให้ผู้เขียนซาบซึ้งใจว่า โหราศาสตร์นั้นเป็นดาบสองคม หากศิษย์มีจิตใจที่ดีงาม ก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ในทางตรงกันข้าม หากศิษย์มีจิตใจไม่ดีงาม ก็สามารถใช้ศาสตร์นี้ไป สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้มากมายเช่นกัน การประชาสัมพันธ์ผ่านทีวี จะทำให้โอกาสที่ผู้เขียนจะพบเพชรเม็ดงามตามที่ตั้งใจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถคัดเลือกลูกศิษย์ได้ตามใจชอบ จึงต้องมีอุบายในการคัดเลือกลูกศิษย์อยู่หลายรูปแบบ

อันดับแรก คือ การสอนหลักสูตรพื้นฐานให้ยาวนาน และสอนเฉพาะการตรวจสอบพื้นดวงชะตาเท่านั้น ผู้ที่มีพื้นความรู้แค่นี้จะไม่สามารถนำศาสตร์นี้ไปทำร้ายผู้อื่นได้

อันดับต่อมา คือ การให้ลูกศิษย์เข้าปฏิญาณตนทีละคนว่าจะประพฤติดีประพฤติชอบ

ด้วยเวลาที่ผู้เขียน ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของลูกศิษย์แต่ละราย เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้เขียนสามารถคัดเลือกลูกศิษย์ที่มีจิตใจดีงาม เพื่อนำมาถ่ายทอดโหราศาสตร์ขั้นสูงให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อไป ตามปกติแล้ว ผู้เขียนจะคัดเลือกเพชรเม็ดงาม ไว้เจียระไนต่อเพียงรุ่นละคนสองคนเท่านั้น

อุบายทั้งสามข้อนี้ ดูเหมือนว่าจะประสานประโยชน์ระหว่างสถาบันพยากรณ์กับคำสั่งเสียของพระอาจารย์ได้เป็นอย่างดี

ค้นพบสัจธรรม

                การที่ผู้เขียนเจตนาเปิดหลักสูตร การพยากรณ์พื้นดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์ยูเรเนียน อย่างละเอียด ทำให้เกิดผลดีย่างยิ่งกับผู้เขียน เพราะนอกจากจะได้คัดเลือกลูกศิษย์ที่มีจิตใจดีงามแล้ว ยังทำให้ผู้เขียนได้เห็นความสำคัญของการพยากรณ์พื้นดวงชะตาเพิ่มขึ้นด้วย ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้เขียนเองก็คงพอจะสังเกตได้ว่า ผู้เขียนเน้นการพยากรณ์จรลดน้อยลงไปมากเช่นกัน

                เมื่อก่อนมีข้อสงสัยว่า หากชีวิตเป็นไปตามพรหมลิขิตแล้ว การรู้ดวงชะตาล่วงหน้าจะมีประโยชน์อันใด เพราะแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ แต่ถ้าเชื่อว่าคนเราเลือกตัดสินใจทำอะไรก็ได้ การรู้ดวงชะตาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเน้นพื้นดวงชะตา ผู้เขียนกลับพบคำอธิบายจุดร่วมของ “โหราศาสตร์แนวพรหมลิขิต” กับ “โหราศาสตร์แนวมนุษยศาสตร์” และอธิบาย “กฎแห่งกรรม” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

                โดยปกติแล้ว พื้นดวงชะตาจะบอกพื้นนิสัย และแนวโน้มการเกิดเหตุการณ์ตามกำลังบุญ หรือบาปที่ทำมาในอดีตชาติ การกระทำการสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จนั้น หากกำลังบุญที่มีมาแต่เดิมไม่พอ หากประกอบกรรมดี หรือทำบุญเพิ่มเติม กำลังบุญที่มีเพิ่มขึ้น ก็สามารถดลบันดาลให้เจ้าชะตาได้รับผลตามที่ตั้งใจ หากเจ้าชะตากำลังประสบเคราะห์กรรม กำลังบุญที่เพิ่มขึ้นก็สามารถทำให้เคราะห์กรรมเบาบางลง หรือหนีกรรมได้ทัน ในทางตรงกันข้าม ถึงจะมีบุญเก่าสะสมอยู่มาก หากทำกรรมชั่วเอาไว้ กรรมชั่วก็จะตัดรอน ไม่ให้ได้รับผลตามที่ควรจะได้ หรือแม้กระทั่งทำให้พลาดหวังได้ ยิ่งเมื่อถึงคราวจะได้รับเคราะห์ตามกรรมชั่ว กรรมชั่วที่ได้กระทำเพิ่มเติม จะเร่งให้เจ้าชะตาประสบเคราะห์กรรมหนักยิ่งขึ้น

                พื้นนิสัยบางคน มีความเชื่อมั่นในตนเอง หรือมีทิฐิสูง เมื่อจะได้รับคำพยากรณ์ว่าจะประสบเคราะห์กรรม ก็เลือกที่จะประพฤติตามนิสัยตนเอง หาได้เชื่อฟัง และสนใจคำชี้แนะไม่ เจ้าชะตาจึงประสบเคราะห์กรรมตามคำทำนาย เป็นการตอกย้ำว่า ชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

                ในทางตรงกันข้าม เจ้าชะตาบางราย นิสัยว่านอนสอนง่าย หากมีผู้ใดท้วงติง หรือแนะนำ ก็มักจะนำข้อท้วงติง หรือข้อแนะนำกลับมาพิจารณาเสมอ ทำให้ได้รับประโยชน์จาการทราบดวงชะตาอย่างเต็มที่

                ดังนั้น ชีวิตจะเป็นไปตามกฎแห่งกรรม หรือจะเป็นไปตามที่เจ้าชะตาลิขิตชีวิตตนเอง ก็แล้วแต่พื้นนิสัย ซึ่งได้จากการอ่านพื้นดวงชะตานั่นเอง ดังนั้น การพยากรณ์พื้นดวงชะตาจึงมีความสำคัญมาก

                ด้วยเหตุนี้ การที่ผู้เขียนใช้หลักสูตร “การพยากรณ์พื้นดวงชะตาด้วยโหราศาสตร์ยูเรเนียน” จึงให้ประโยชน์ทั้งในแง่ของ การคัดเลือกลูกศิษย์ และเพื่อทำให้การพยากรณ์จรมีผลแม่นยำยิ่งขึ้น

วิถีแห่งตน

                เมื่อผู้เขียนเห็นความสำคัญของการพยากรณ์พื้นดวงชะตา จึงเน้นการวิเคราะห์พื้นนิสัยของเจ้าชะตาว่า เมื่อจะต้องประสบกับเหตุการณ์ เจ้าชะตาจะตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างไร จากประสบการณ์พบว่า เจ้าชะตาจะตอบสนองกับเหตุการณ์ต่างกันตามนิสัยที่แท้จริง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากพื้นดวงชะตานั่นเอง ดังนั้น สิ่งบอกเหตุในดวงชะตาของบุคคล 2 คน แม้จะมีความคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่ด้วยนิสัยที่แตกต่างกัน เจ้าชะตาก็มักจะตัดสินใจต่างกัน

                ด้วยเหตุนี้ การพยากรณ์ดวงชะตาของผู้เขียนในระยะหลังๆ จะให้เวลากับการพยากรณ์พื้นดวงชะตาค่อนข้างมาก ทำให้เกิดโหราศาสตร์ในแนวแรงจูงใจ ให้เกิดเหตุการณ์ตามพื้นนิสัยของเจ้าชะตา บ่อยครั้งที่ผู้รับคำพยากรณ์อุทานว่า พยากรณ์ได้แทงใจดำที่สุด เพราะการพยากรณ์จะออกมาในทำนองว่า มีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ในทำนองใด และลึกๆในใจของเจ้าชะตาเขาเลือกตัดสินใจเช่นไร และผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

เก่งจริงต้องอิงดาว

                ท่านผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจว่า โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย “ดิน ฟ้า เวลา ดาว” ดิน ได้แก่ พื้นดวงชะตา ฟ้า ได้แก่ ปัจจัยทางโหราศาสตร์บนท้องฟ้า เวลา-ดาว ได้แก่ ตำแหน่งปัจจัยทางโหราศาสตร์ ขณะเกิดเหตุการณ์

นักโหราศาสตร์ที่แท้จริง จะต้องพยากรณ์เหตุการณ์จากตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าขณะทำการพยากรณ์ ที่เรียกว่า ปัจจัยจร โดยพิจารณาความสัมพันธ์เทียบกับ ตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้าขณะเกิด หรือที่เรียกว่า ปัจจัยกำเนิด เพราะฉะนั้นคำพยากรณ์จากโหราศาสตร์จะต้องมีที่มาจากตำแหน่งของดวงดาวเท่านั้น

ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า สมัยก่อนคำทำนายของหมอดูหลายท่าน ไม่มีการอ้างอิงดาวเลย ทายถูกบ้างผิดบ้างตามประสา จนกระทำเกิดคำพูดแสลงใจนักโหราศาสตร์ว่า หมอดูคู่กับหมอเดา ด้วยเหตุที่ คำว่า “นักโหราศาสตร์” ซึ่งก็คือ หมอดูที่ใช้ดวงดาวเป็นข้อมูลสำหรับการพยากรณ์ จะได้รับการยกย่องว่ามีเกียรติ และศักดิ์ศรี เหนือกว่า คำว่า “หมอดู” ซึ่งใช้วิธีใดในการพยากรณ์ก็ได้ จึงมีหมอดูหลายท่าน ที่พยายามเรียกตนเองว่าเป็นนักโหราศาสตร์ ได้ออกมาพยากรณ์โดยอ้างอิงดาวแบบผิดๆ จนได้รับการล้อเลียนจากผู้มีความรู้ด้านดาราศาสตร์อยู่บ่อยๆ สร้างความเสื่อมสียกับวงการโหราศาสตร์เป็นอันมาก ตัวอย่างการอ้างอิงดาวของหมอดูที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่เคยปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น

“... ปีหน้าเหตุการณ์บ้านเมือง จะมีแต่ความวุ่นวาย เพราะปีหน้า ดาวพุธโคจรเร็วทั้งปี ...”

การอ้างเช่นนี้ ทำให้การพยากรณ์น่าเชื่อถือมาก แต่ผู้มีความรู้ทางดาราศาสตร์คงจะรู้สึกรับไม่ได้ เนื่องจาก ดาวพุธ เป็นดาวพระเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เร็วที่สุด ประมาณปีละ 3 รอบ ดังนั้น ไม่ว่าปีไหนๆ ดาวพุธก็ต้องโคจรเร็วทั้งปีอยู่แล้ว ดังนั้นคำพยากรณ์เกี่ยวกับ ความวุ่นวายของบ้านเมือง ถึงแม้จะถูกต้อง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอัตราการโคจรของดาวพุธ ตามที่หมอดูท่านนั้นแอบอ้าง

หรือที่ร้ายกว่านั้น หมอดูบางราย นำดาวพระเคราะห์ ในกลุ่มดาวจำพวกบาปเคราะห์ ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวเสาร์ และดาวมฤตยู มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำมาหากิน กล่าวคือ ดาวอังคาร ผสมกับ ดาวเสาร์ อาจแปลความหมายที่ร้ายที่สุดได้ว่า การถึงแก่กรรม (ซึ่งแปลความหมายแบบอื่นได้ บางความหมายเป็นไปทางดีด้วยซ้ำไป) ในขณะที่ ดาวอังคาร ผสมกับ ดาวมฤตยู อาจแปลความหมายที่ร้ายที่สุดได้ว่า อุบัติเหตุ (เช่นเดียวกับ อังคาร-เสาร์ อาจหมายถึงสิ่งที่ดีๆก็ได้) เนื่องจากดาวอังคาร เป็นดาวที่โคจรเร็วมากเมื่อเทียบกับดาวเสาร์ และดาวมฤตยู ดังนั้น ทุกๆ 3 เดือน โดยประมาณ ดาวอังคาร จะทำมุมสัมพันธ์อย่างรุนแรงกับ ดาวเสาร์ หรือ ดาวมฤตยู จะเห็นได้ว่า หมอดูจะมีสูตรสำเร็จในการพยากรณ์โดยไม่ต้องรู้ดวงชะตาของผู้ใดเลย โดยสามารถทำนายได้ล่วงหน้าว่า ผู้มาขอรับการพยากรณ์จะต้องมีเคราะห์จากอุบัติเหตุ หรือได้รับเคราะห์จนเป็นเหตุให้ถึงกับเสียชีวิตได้ และลงเอยด้วยการให้เสียเงินสะเดาะเคราะห์ หลังๆหมอดูเหล่านี้ จะดำเนินการที่ดูแนบเนียนยิ่งขึ้นแบบเป็นกระบวนการ โดยแนะนำวิธีสะเดาะเคราะห์ให้ สถานที่ที่จะรับทำพิธีสะเดาะเคราะห์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพรรคพวกของตนทั้งสิ้น

ผลแห่งการสะเดาะเคราะห์ พิสูจน์ได้ลำบาก เพราะ

หากสะเดาะเคราะห์แล้วไม่เกิดเหตุการณ์ร้าย หมอดูเหล่านี้ก็จะอ้างว่า เป็นเพราะผลแห่งการสะเดาะเคราะห์ทำให้เรื่องร้ายไม่เกิด

หากสะเดาะเคราะห์แล้วไม่เกิดเหตุการณ์ร้าย แต่ไม่ถึงกับชีวิต หมอดูเหล่านี้ก็จะอ้างว่า เป็นเพราะผลแห่งการสะเดาะเคราะห์แม้จะเกิดเหตุร้าย แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต

                หากสะเดาะเคราะห์แล้วได้รับเคราะห์จนถึงแก่ชีวิต หมอดูเหล่านี้ก็จะอ้างว่า เป็นเพราะเจ้าชะตากรรมหนักมาก แม้จะสะเดาะเคราะห์ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้

                ดังนั้น เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างการพยากรณ์โดยการอ้างอิงดาวแบบไม่สมเหตุสมผลดังกล่าวข้างต้น หนังสือเล่มนี้ จะแสดงถึง ศักยภาพของโหราศาสตร์ยูเรเนียน โดยการอ้างอิงดาวอย่างสมเหตุสมผล เท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้อรรถรสในการอ่านเสียไป ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ต้องการให้ผู้ที่มีพื้นฐานความรู้ด้านโหราศาสตร์ยูเรเนียน ได้เห็นลีลาการพยากรณ์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาโหราศาสตร์ยูเรเนียนขั้นสูงสืบไป

Ü  กลับไปหน้าหลัก , พูดจาภาษาดาว