กฎหมายพระสงฆ์ของไทย
- พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ฯ
ได้โปรดเกล้า
ฯ
ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ที่เรียกว่า
กฎพระสงฆ์
ขึ้นในระหว่าง
ปี พ.ศ. 2325-2344 รวม 10
ฉบับ
ดังที่ปรากฎอยู่ในกฎหมายตราสามดวง
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นับเป็นกฎหมายคณะสงฆ์ชุดแรก
ที่ปรากฎหลักฐานอยู่ถึงปัจจุบัน
- ในการตรากฎหมายคณะสงฆ์โดยส่วนรวม
ทรงมีพระราชประสงค์ที่สำคัญคือ
เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์และสามเณร
ประพฤติปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย
ให้พระราชาคณะ
เจ้าอธิการ
และเจ้าหน้าที่สังฆการี
ทำการกำกับดูแลและลงโทษผู้ที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย
ตามสมควรแก่โทษหนักเบา
ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้
รวมทั้งที่ทรงตราไว้ในกฎพระสงฆ์นี้ด้วย
นอกจากนั้น
ในแต่ละฉบับจะทรงปรารภเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะกรณี
ๆ ไป
อันเป็นสาเหตุให้ต้องตรากฎพระสงฆ์ฉบับนั้น
ๆ ขึ้นมา
- การที่มีกฎพระสงฆ์ขึ้นมานี้
สะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น
โดยเริ่มจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
เมื่อปี พ.ศ. 2310
เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด
ประชาชนพลเมืองเกิดความระส่ำระส่ายไปทั่ว
ภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก
ประพฤติปฏิบัติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย
บรรดาพระราชาคณะ
พระอุปัชฌาย์อาจารย์
และเจ้าอาวาสปล่อยปละละเลย
ไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่
การคณะสงฆ์จึงตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม
ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของประชาชนเช่นที่เคยเป็นมาในสมัยก่อน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ฯ
ในฐานะที่เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก
จึงทรงเร่งรับฟื้นฟูสถานภาพของพระพุทธศาสนาไปพร้อม
ๆ
กันกับที่ทรงเร่งรีบฟื้นฟูสภาพของบ้านเมือง
ให้พ้นจากจุดวิกฤติโดยเร็วที่สุด
- กฎพระสงฆ์ที่ทรงตราขึ้นมามีอยู่
10 ฉบับ
เนื้อหาสาระของแต่ละฉบับ
จะประกอบด้วยข้อความที่ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่อง
ว่าผิดพระธรรมวินัยข้อใด
ทำให้พระศาสนาเสื่อมเสียอย่างไร
แล้วทรงมีพระบรมราชโองการ
ห้ามมิให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป
พร้อมทั้งกำหนดโทษทางบ้านเมือง
เพิ่มจากโทษทางพระธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง
สาระสำคัญของกฎพระสงฆ์แต่ละฉบับ
สรุปได้ดังนี้
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
1
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2325
โดยทรงปรารภว่า
มีอาณาประชาราษฎร์บางพวก
นิยมจัดให้มีเทศน์มหาชาติเพื่อความบันเทิง
จึงมักนิมนต์แต่พระนักเทศน์ที่เทศน์แบบตลกคะนอง
เป็นการเล่นหัวซึ่งผิดพระธรรมวินัย
ผู้ฟังก็ไม่ได้รับอานิสงฆ์อะไรจากการฟังเทศน์นั้น
จึงมีพระบรมราชโองการ
ห้ามมิให้เทศน์และฟังเทศน์เป็นกาพย์กลอน
และกล่าวถ้อยคำตลกคะนอง
ภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืน
ให้นำตัวมาลงโทษพร้อมกับญาติโยมของภิกษุสามเณรรูปนั้น
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
2
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภว่า
ขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์ไม่ได้รักษาพระปาติโมกข์
ตามเยี่ยงอย่างพระอริยสาวก
เที่ยวคบหากับฆราวาส
ด้วยหวังกามคุณ
5 (รูป เสียง
กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ)
มิได้เห็นแก่พระศาสนา
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
3
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภว่า
พระภิกษุสงฆ์ในขณะนั้นละเมิดพระวินัยบัญญัติ
คือ
ให้อุปสมบทแก่ศิษย์แล้วปล่อยปละละเลย
ไม่ได้ให้ศิษย์
ถือนิสัยอยู่ในหมู่คณะของตนก่อน
กลับปล่อยให้เที่ยวไปทำการใด
ๆ
ตามอำเภอใจ
จนเกิดมีการซ่องสุมกันทำมารยาว่า
รักษาศีลภาวนาให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา
ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ
สำแดงวิชาความรู้อวดอิทธิฤทธิ์เป็นอุตริมนุสสธรรม
โกหกหลอกลวงประชาชน
เมื่อได้สมัครพรรคพวกมาก
ก็คิดจะชิงราชสมบัติตั้งแต่ยังอยู่ในสมณเพศ
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า
ต่อไปให้พระราชาคณะแต่งตั้งพระภิกษุ
ทั้งในกรุงและหัวเมืองเป็นเจ้าอธิการ
ครองอารามละรูป
ให้มีตราประจำตำแหน่ง
เขียนชื่ออารามที่ครอง
ถ้าแขวงใดเมืองใดมีพระภิกษุมาก
ให้แต่ละอารามมีพระอันดับได้
9-10 รูป
ถ้ามีพระภิกษุน้อยมีพระอันดับได้
4-5 รูปขึ้นไป
ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดประสงค์จะย้ายจากหัวเมืองเข้ามาในกรุง
หรือที่อยู่ในกรุงจะย้ายออกไปหัวเมือง
เพื่อศึกษาคันถธุระ
วิปัสสนาธุระ
หรือปฏิบัติศาสนกิจ
ก็ให้เจ้าอธิการออกหนังสือสำคัญ
เพื่อนำติดตัวไปโดยเขียน
ชื่อตัว
ฉายา
อายุพรรษา
และชื่ออุปัชฌาย์อาจารย์
แล้วประทับตราตำแหน่งกำกับไว้ในหนังสือสำคัญนั้น
ผู้ใดไม่มีหนังสือสำคัญ
ห้ามมิให้เจ้าอธิการทุกอารามรับเข้าอยู่ในอารามของตน
ให้พระราชาคณะ
เจ้าหมู่
เจ้าคณะ
เจ้าอธิการ
ตลอดจนกรมการเมืองตรวจตราดูแล
อย่าให้หลอกลวงคิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน
เช่นการที่เกิดขึ้นครั้งนี้
หากพระราชาคณะ
เจ้าหมู่
เจ้าคณะ
เจ้าอธิการ
และกรมการเมืองละเว้นหน้าที่
ถือว่ามีโทษเป็นกบฎร่วมกับพวกโกหกหลอกลวงเหล่านั้นด้วย
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
4
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภว่า
- มีพระภิกษุสามเณรบางรูป
เป็นพวกโลเล
ไม่ศึกษาเล่าเรียนคันถธุระ
และวิปัสสนาธุระ
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า
ต่อไปให้พระราชาคณะ
เจ้าอธิการ
ประพฤติปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัย
ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่ศิษย์ ที่อยู่ในสำนัก
แนะนำตักเตือนศิษย์ให้ศึกษาเล่าเรียนคันถธุระ
หรือวิปัสสนาธุระ
แล้วทำบัญชีแสดงจำนวนภิกษุสามเณรผู้ศึกษาคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
ส่งให้กรมสังฆการี
นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
หากภิกษุสามเณรรูปใดกักขฬะ
หยาบช้า
สอนยาก
อุปัชฌาย์อาจารย์
ว่ากล่าวไม่ฟัง
สั่งสอนหลายครั้งแล้วไม่ปฎิบัติตาม
ให้จับสึกเสีย
อย่าให้อยู่ในหมู่คณะ
ถ้าผู้ใดไม่ปฎิบัติตามกฎพระสงฆ์นี้
ให้เอาญาติโยมมาลงโทษตามความหนักเบา
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
5
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภว่า
- ภิกษุบางรูปต้องอาบัติปาราชิกข้อเสพเมถุน
บางรูปต้องอาบัติปาราชิก
ข้ออทินนาทานา
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า
ต่อไปให้ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง
แจ้งให้สงฆ์ทราบภายใน
15 วัน
ถ้าปกปิดไว้
และยังถือว่าตนเป็นภิกษุ
เข้าร่วมสังฆกรรมด้วยสงฆ์ทั้งปวงตามตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อสงฆ์พิจารณาตัดสินว่า
ต้องอาบัติปาราชิกจริง
ให้นำตัวมาลงโทษถึงประหารชีวิต
และให้ริบราชบาทจับเฆี่ยนตีโบยญาติโยมของภิกษุนั้นด้วย
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
6
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภว่า
- ภิกษุสามเณรในขณะนั้น
ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
หาเลี้ยงชีพโดยการทำงานรับใช้ตามความพอใจของฆราวาส
เพื่อหวังลาภสักการะ
ฆราวาสก็ปราศจากปัญญา
จึงให้ทานแก่ภิกษุสามเณรลามกในพระศาสนา
ไม่รู้ว่าการให้ทานเช่นนั้น
มีผลน้อย
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า
ต่อไปห้ามมิให้ภิกษุสามเณรสงเคราะห์ฆราวาส
ด้วยการให้ผลไม้
ดอกไม้
ใบไม้
เป็นต้น
แล้วทำการเรี่ยไรบอกบุญแก่ผู้ไม่ใช่ญาติ
ห้ามมิให้เป็นหมอนวด
หมอยา
หมอดู
ห้ามมิให้เป็นฑูตนำข่าวสารของฆราวาส
และห้ามทำการทั้งปวงที่ผิดพระวินัยบัญญัติ
ผู้ใดต้องอธิกรณ์ร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกให้จับสึกเสีย
ในด้านฆราวาส
ห้ามฆราวาสทั้งปวง
ถวายเงิน
ทอง นาก
แก้วแหวน
และสิ่งอันไม่สมควรแก่สมณะ
ห้ามใช้สอยภิกษุสามเณรให้ทำการเพื่อตน
เช่น
ทำเบญจา
ทำงานศพ นวด
ปรุงยา
ดูหมอ
เป็นฑูตนำสาร
ผู้ใดฝ่าฝืนให้ลงโทษเฆี่ยนตีตามโทษหนักเบา
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
7
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2326
โดยทรงปรารภกรณีที่พระราชาคณะพวกหนึ่ง
ให้นำความกราบทูลว่า
เกี่ยวกับปัญหาการกระทำที่ผิดพระวินัย
แต่ความจริงแล้วไม่ผิด
ผู้ที่คัดค้าน
และหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดพระวินัยนั้น
ไม่รู้พระวินัยดี
แต่ถึอดีว่ารู้ดี
ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในหมู่สงฆ์
อันเป็นเหตุให้แตกสามัคคี
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า
ต่อไปห้ามมิให้ภิกษุรูปใดนำเรื่องทะเลาะวิวาทของสงฆ์ขึ้นกราบทูล
หากเป็นเรื่องสำคัญ
ที่กราบทูลให้ทรงวินิจฉัย
ก็ให้เสนอสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อทรงหารือในคณะพระราชาคณะเสียก่อน
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
8
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2332
โดยทรงปรารภว่า
- พระราชาคณะ
เจ้าอธิการปล่อยปละละเลยไม่ดูแลตักเตือนภิกษุ
สามเณร
ให้ปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย
จึงเกิดมีภิกษุ
สามเณรลามกเป็นโจรทำลายพระศาสนา
เช่น
ชวนกันเข้าร้านตลาดดูสีกา
นุ่งห่มเดินเหินอย่างคฤหัสถ์
ดูโขน หนัง
ละคร ฟ้อนรำ
ขับร้อง
เล่นหมากรุก
สกา
การพนันทั้งปวง
ตลอดจนเสพเมถุนกับสีกา
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ เจ้าอธิการ
อุปัชฌาย์อาจารย์
เอาใจใส่ดูแลมิให้ภิกษุ
สามเณร
ประพฤติอย่างนั้นต่อไป
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
9
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2337
โดยทรงปรารภว่า
- กรณีที่พระมหาสิน
ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นพระครู
ได้เสพเมถุนกับข้าหลวงผู้หนึ่งจนมีท้อง
แต่ยังถือตนว่าเป็นภิกษุเข้าร่วมสังฆกรรมอุโบสถตลอดมา
เป็นคู่สวดบวชพระสงฆ์
ทำให้สังฆมณฑลมัวหมอง
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้
พระราชาคณะ
เจ้าอธิการ
เอาใจใส่ตรวจตรากวดขันความประพฤติของพระอันดับทั้งปวง
มิให้ติดพันด้วยหญิงในทางชู้สาว
ผู้ใดทำผิดพระวินัยถึงขั้นปาราชิก
ให้แนะนำให้สึกเสีย
ถ้าผู้ใดต้องอาบัติปาราชิกแล้วปกปิดไว้ให้ลงโทษถึง
7 ชั่วโคตร
กฎพระสงฆ์ฉบับที่
10
- ทรงตราไว้เมื่อปี
พ.ศ. 2344
โดยทรงปรารภว่า
- พระสงฆ์บางพวกไม่มีหิริโอตัปปะเป็นอลัชชี
เช่น
คบหากันเสพสุรายาเมา
ฉันอาหารในเวลาวิกาล
เอาบาตรจีวรขายแลกเหล้า
เล่นเบี้ย
สวดพระมาลัยตลกคะนองเป็นลำนำ
- จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พระราชาคณะ
เจ้าอธิการ
ชำระภิกษุสงฆ์พวกอลัชชีทั้งหลายให้สึกเสีย
และห้ามมิให้ภิกษุ
สวดพระมาลัยในงานศพอีกต่อไป