ลาบก้อยซอยห่างอยู่ต่างแดน
โดย....วรพจน์


-1-
เข้ากรุง
ผมขอบอกเล่าเก้าสิบกับชีวิตย่อๆของผมที่เคยไปขุดทองอยู่ต่างประเทศให้กับเพื่อนสมาชิกชมรมฯทุกท่านฟังสักหน่อยนะครับ (ฮิ ฮิ) เมื่อ พ.ศ.2521 ผมคิดอยากจะไปขุดทองต่างแดนอย่างเช่นคนอื่นเขาบ้าง ผมคิดอย่างนั้นก็เลยปรึกษากับเมียว่าหากพ่อได้ไปทำงานต่าง ประเทศเหมือนคนอื่นเขาเราคงจะพอมีบ้านอยู่ได้นะแม่สำหรับเมียผมก็ไม่ว่าอะไรเขาก็บอกกับผมว่าแล้วแต่พ่อเพราะว่าพ่อเป็นช้าง เท้าหน้าแม่กับลูกเป็นช้างเท้าหลัง เมื่อผมได้ยินเมียพูดอย่างนั้นผมก็สบายใจ พอเราคุยกันเข้าใจวันต่อมาผมก็เตรียมตัวที่จะลงมาทำ
Passport หรือหนังสือเดินทาง และวันต่อมาผมก็ได้ลงมากรุงเทพฯเพื่อทำ Passport อย่างที่คิด พอเย็นของวันนั้นผมนั่งรถจาก จังหวัดที่ผมอยู่เข้ากรุงเทพฯมาถึงตอนเช้าของวันใหม่ แล้วผมก็ได้นั่งรถจากหมอชิตไปที่กระทรวงการต่างประเทศ  พอผมไปถึงก็เห็น มีคนไทยมาทำ Passport กันเต็มไปหมด ผมทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นและกลัวด้วยเพราะไม่เคยมาทำกับเขาสักที  เมื่อผมเห็นพวกเขาเข้าแถวกัน
ผมก็เข้าไปกับเขาด้วยพร้อมกับเอกสารทุกอย่างที่เตรียมมา ประมาณชั่วโมงเศษก็ทำเสร็จซึ่งทางพนักงานก็ได้นัดวันให้ผมมาเอา Passport อีก 15 วันข้างหน้า
พอทุกอย่างเรียบร้อยผมก็นั่งรถกลับมาที่หมอชิตเพื่อจะกลับบ้าน ก่อนจะถึงเวลารถออกผมได้เดินเข้าไปเที่ยวเล่นที่สวนจตุจักรเพราะไม่ เคยเห็นได้ยินแต่ชื่อผมเข้าไปก็มีคนเที่ยวเต็มไปหมดผมก็เดินๆนั่งๆแล้วก็นึกอยากกินข้าวเลยเดินไปสั่งข้าวเหนียวส้มตำก็มีผู้หญิง
คนหนึ่งเมื่อเห็นผมเดินไปเขาก็เอาเสื่อมาปูให้ผม เห็นอย่างนั้นก็คิดอยู่คนเดียวว่าโอ่เขาบริการดีเนาะ  พวกที่กินอยู่ข้างผมก็พากันคุย แล้วก็หัวเราะ ผมไม่ฟังเสียงหรอกกินอย่างเดียวเมื่อข้าวเหนียวเข้าปากก็
อร่อยจังเลยยยยยย.....ผมได้ยินเลียงเข้าหูอยู่คำคำว่า
"คงจะเป็นลาวนะ" ผมก็นึกอยู่ในใจว่าถึงกูจะเป็นลาวก็ไม่ใช่ลาว(ราว)ตากผ้านะโว้ยพอดีกับผมอิ่มก็เลยเรียกเจ้าของเขามาเก็บเงิน เมื่อเจ้าของร้านมาเก็บเงินผมกินแค่ข้าวเหนียวกับส้มตำเขาคิดตั้ง 50 บาท ผมเลยถามว่าค่าอะไรบ้างถึงแพงอย่างนี้เจ้าของเขาก็ บอกกับผมว่าก็รวมทั้งค่าเสื่อที่มาปูนั่งนั่นไง ผมได้ฟังเช่นนั้นผมก็เลยพูดไม่ออกจ่ายเงินเขาแล้วก็เลยเดินเตร่ไปเตร่มาจนถึงเวลาที่
รถจะออกจากหมอชิตจึงซื้อตั๋วขึ้นรถกลับถึงบ้านก็ตอนเช้าอย่างเคย
จากนั้นอีก 15 วันก็ถึงกำหนดที่กระทรวงฯนัดนัดไว้ให้มารับ Passport ผมก็ลงมาเอาที่กระทรวงฯ เมื่อได้ Passport แล้วก็ไปสมัครงาน กับบริษัทฯเมื่อทางบริษัทฯเห็นผมมีพร้อมทุกอย่างจึงรับใบสมัครผมไว้พร้อม Passport แล้วทางพนักงานได้บอกให้ผมไปรอคอยอยู่ที่ บ้านเมื่องานมาแล้วจะเรียก..........ผมสมัครไว้หนึ่งปีเต็มพอดีจึงได้รับโทรเลขจากบริษัทที่ผมไปสมัครไว้ให้ผมลงไปสอบสัมภาษณ์
ที่กรุงเทพฯ  คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าผมกับเมียจะดีใจแค่ใหน ผมบอกกับเมียและลูกว่าพ่อจะได้ไปขุดทองกับเขาแล้ว เมียผมเห็น เมียผมก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ ผมเห็นเมียทำหน้าอย่างนั้นก็เลยร้องเพลงเล่นแก้เหงา
" เดินทางไกลไปหางานทำ   ตาดำๆรออยู่เมืองไทย "
เมียกับลูกได้ยินผมร้องเพลงเท่านั้นก็พากันหัวเราะกันใหญ่ ผมก็พลอยได้ได้หัวเราะไปด้วย
(สำหรับชีวิตย่อๆของผมก็ขอพักไว้แค่นี้ก่อนเอาไว้ตอนต่อไปผมจะเล่าสู่ฟังอีก  ขอขอบคุณทุกท่านครับ.......ฮิ ฮิ)


-2-
ได้บินแล้ว
"ชีวภาพกราบลาญาติพี่น้อง
ทั้งพวกพ้องเมียและลูกที่ผูกพันธ์
พอถึงวันที่ต้องจากพรากลูกเมีย
พ้อมสั่งเสียเมียที่รักด้วยห่วงใย"
เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีที่เฝ้ารอประมาณ พ.ศ.2523 ผมนั่งเล่นอยู่บ้านกับเมียและลูกก็มีบุรุษไปรษณีย์ได้มาส่งโทรเลขให้กับผม พอได้รับ ผมก็อ่านหน้าซองบอกว่ามาจากบริษัทที่ผมเคยไปสมัครงานไว้ ผมเปิดดูก็ไม่เชื่อกับตาตัวเองตอนแรกบริษัทบอกให้ผมลงไปบินพอผมรู้ คำว่า"บิน"ให้ท่านสมาชิกคิดดูสิครับว่าคนบ้านนอกอย่างผมจะดีใจขนาดใหน ผมกับเมียและลูกก็พากันดีใจ พอผมรู้อย่างนี้ก็ได้บอกกับ
เมียว่าพ่อต้องเตรียมตัวพร้อมกับสั่งเสียเมียทุกอย่าง เมื่อถึงตอนเย็นมีเมียมีลูกพร้อมกับเพื่อนบ้านได้ไปส่งผมที่ท่ารถทัวร์ พอรถทัวร์วิ่งออก จากที่จอดผมก็ใจหาย 2 ทุ่มตรงรถวิ่งไปผมกับเมียและลูกต่างโบกมือให้กันผมเองก็แทบทำใจไว้ไม่ได้ที่จะร้องให้ออกมาบนรถ และผมก็ นึกอยู่คนเดียวว่าตัวเราเองจะไม่เป็นเหมือนคนอื่นเขาสุภาษิตเขาบอกไว้ว่า "ไปเสียนา มาเสียเมีย" แต่อย่างไรผมก็คิดเข้าข้างตัวเองเสมอ
พอรถทัวร์วิ่งถึงนครราชสีมา รถจอดทุกคนก็ลงไปทานข้าวต้มรวมทั้งผมด้วย พออิ่มท้องหนังตาก็หย่อนขึ้นรถได้ก็หลับมารู้ตัวอีกทีก็จะ เข้ากรุงเทพฯแล้วพอมาถึงที่เขาเรียกว่ารังสิตก็มีผู้หญิงเอากาแฟและผ้าเย็นมาให้ผมก็กินกาแฟแล้วเอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าทั้งเช็ดทั้งคิดว่า ที่เขาเอามาให้นี่จะคิดเงินเรารึเปล่าหนอแต่จะอย่างไรก็ตามจะคิดก็คิดเพราะว่าเราเอากับเขาแล้ว  พอรถวิ่งถึงหมอชิตทุกคนก็ลงผมลง
พร้อมกับเอาผ้าห่มและหมอนน้อยลงไปด้วยเขาเลยตะโกนบอกผมว่าคุณๆอย่าเอาหมอนกับผ้าห่มลงไป ผมเลยพูดกับพนักงานผู้หญิง ว่า อ้าวนึกว่าให้เอาไปนำ ผู้หญิงคนนั้นรวมทั้งเด็กรถก็เลยหัวเราะผม ก่อนจะเดินไปผมเลยพูดขึ้นอีกว่าไม่ให้ก็ไม่เอาหรอกโว้ย ผมเดิน ไปขึ้นรถตุ๊กๆเข้าบริษัทฯพอถึงก็เห็นพวกที่จะไปด้วยกันเต็มไปหมดเที่ยวนั้นไปทั้งหมด 85 คน รวมทั้งหัวหน้าด้วย  สามโมงเช้าพนักงาน ทำงานเขาก็เรียกพวกผมที่จะเดินทางเข้าไปอบรมและแจกเอกสารทุกอย่างให้กับทุกคน พวกเราทุกคนก็เตรียมพร้อม  พอถึงเวลาทางบริษัท
ก็มีรถพาไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เที่ยวบินเที่ยวนั้นเป็นของสายการบินอิรักแอร์ไลน์ทุกคนเข้าเช็คอินเพื่อขึ้นเครื่อง วันนั้นเครื่องบิน ออกเวลา 4 โมงเย็น พอพวกผมได้ขึ้นเครื่องทุกคนก็พากันดีใจพูดคุยกันว่าเราไม่โดนหลอกแล้วหละ พอเครื่องบินขึ้นได้เต็มที่แล้วแอร์โฮสเตสหรือพนักงานของสายการบินเขาก็ได้เอาอาหารและเครื่องดื่มมาบริการแอร์ฯเขาก็ถามว่าใครจะ ดื่มน้ำอะไรหรือใครจะกินเหล้าเบียร์ไหม ก่อนอื่นผมก็ขอเหล้ามากินหนึ่งแก้ว ท่านสมาชิกครับถ้ามีแก้วหนึ่งก็ต้องมีแก้วสองตามมาใช่ รึเปล่าครับ บางคนก็ไม่กินต่อจากนั้นก็ตามด้วยข้าวและขนมปังทาเนยเขาไม่รู้หรอกว่าคนบ้านนอกอย่างผมกินเนยไม่เป็น  พอเครื่องบิน บินไปถึงประเทศอินเดียก็ได้ลงไปรับผู้โดยสารที่นั่นประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อเครื่องออกจากอินเดียก็ได้บินตรงไปยังประเทศอิรักก็
ประมาณตีสามของบ้านเราแต่ทางประเทศเขาก็คงประมาณหกทุ่ม  พอเครื่องจะลงจากสนามบินทางแอร์ฯเขาก็บอกให้ทุกคนเอาเข็มขัด มารัดเอว ทุกคนก็ทำตาม เมื่อตอนขึ้นเครื่องลงเครื่องผมก็ได้เจออะไรหลายๆอย่าง เมื่อถึงที่ก็มีหัวหน้าที่เขาเรียกกันว่าแคมป์บอสหรือ แคมป์บอดอะไรนั่นแหละผมก็พูดไม่ถูก
หัวหน้าเขาพาไปขึ้นรถที่เตรียมมารับรถก็วิ่งประมาณชั่วโมงเศษก็ถึงที่พักหัวหน้าเขาก็เตรียมห้องไว้สำหรับพวกผมที่มาใหม่พักกันห้องละ 8 คน พวกผมที่มาตำแหน่งทำกับข้าวเขาก็จัดให้อยู่เฉพาะพวกเรา หัวหน้าก็ได้แนะนำทุกอย่างพร้อมกับระเบียบการของทางประเทศเขา หัวหน้าก็ให้ความรู้เป็นอย่างดี  ท่านสมาชิกครับยังมีอีกมากสำหรับชีวิตในต่างแดนของผมแต่ตอนนี้ผมขอบอกเล่าเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน นะครับกระผม

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
 

เมือเฮือน.......Home