หน้าที่ ๓ :
สมาบัติ ๘
|
ขณิกสมาธิ
|
อารมณ์สมาธิแบบเล็กน้อย คือตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย แล้วฟุ้งซ่านไป | องค์ฌาน : - |
อุปจารสมาธิ |
เป็นอารมณ์สมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงฌาน ๑ | องค์ฌาน : วิตก วิจาร ปีติ สุข |
อัปปนาสมาธิ
|
เป็นสมาธิอันดับหนัก มีความตั้งมั่นสูง สามารถทำให้เกิดผลในทางฤทธิ์ อภิญญาได้ | องค์ฌาน ฌาน ๑ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ฌาน ๒ : ปีติ สุข เอกัคคตา ฌาน ๓ : สุข เอกัคคตา ฌาน ๔ : เอกัคคตา อุเบกขา |
วิตก | จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพกสิณอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่า วิตก |
วิจาร | ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้ กำหนดลมสามฐาน คือ หายใจเข้า ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ หายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก กระทบจมูกหรือริมฝีปาก ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสินอะไร มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร |
ปีติ | ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ
มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญภาวนา อารมณ์ผ่องใส ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืดเหมือนเดิม
มีความสว่างปรากฏ คล้ายใครนำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏ
เป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่นานก็หายไป อาการของปีติมีห้าอย่างคือ ๑. ขุททกาปีติ มีอาการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า และน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง ๒. ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ ๓. โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น ๔. อุพเพงคาปีติ ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง ๕. ผรณาปีติ อาการกายเย็นซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ อาการทั้งห้าอย่างนี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกว่าเป็นอาการของปีติ |
สุข | ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในชีวิต |
เอกัคคตา | เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข นั้นไม่คลาดเคลื่อน |
อุเบกขา | อารมณ์วางเฉย |
นิวรณ์ ๕ | อกุศลธรรมที่คอยทำลายล้างความดีที่เป็นกุศล คือ ฌาน อันได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา |
กามฉันทะ | ความพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์ |
พยาบาท | ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ |
ถีนมิทธะ | ความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณธรรม |
อุทธัจจกุกกุจจะ | ความคิดฟุ้งซ่าน และความรำคาญหงุดหงิดใจ |
วิจิกิจฉา | ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด |
ขณิกสมาธิ ขณิกสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย หรือนิดๆ หน่อยๆ คำว่า สมาธิ แปลว่าตั้งใจมั่น ต้องมั่นได้นิดหน่อย เช่น กำหนดจิตคิดตามคำภาวนา ภาวนาได้ประเดี๋ยวประด๋าวจิตก็ไปคว้าเอาความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ภายนอกคำภาวนามาคิด ทิ้งองค์ภาวนาเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าจิตซ่าน ก็คิดตั้งบ้านสร้างเรือนเสียพอใจ อารมณ์ตั้งอยู่ในองค์ภาวนาไม่ได้นานอย่างนี้ ตั้งอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว อารมณ์จิตก็ยังไม่สว่างแจ่มใส ภาวนาไปตามอาจารย์สั่ง ขาดๆ เกินๆ อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ ท่านยังไม่เรียก ฌาน เพราะอารมณ์ยังไม่เป็นฌาน ท่านจึงไม่เรียกว่า สมาบัติ เพราะยังไม่เข้าถึงกฎที่ท่านกำหนดไว้ อุปจารสมาธิ อุปจารสมาธินี้เรียกอุปจารฌานก็เรียก เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินั่นเอง อุปจารสมาธิคุมอารมณ์สมาธิไว้ได้นานพอสมควร มีอารมณ์ใสสว่างพอใช้ได้ เป็นพื้นฐานเดิมที่จะฝึกทิพยจักษุญาณได้ อารมณ์ที่อุปจารสมาธิเข้าถึงนั้นมีอาการดังนี้คือ อารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว บางรายตัวหมุนเหมือนลูกข่างด้วยอาการของ ปีติ แต่จิตใจก็เป็นสมาธิแนบแน่นไม่หวั่นไหว มีสมาธิตั้งมั่นอยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิก็ง่าย คล่อง ทำเมื่อไร เข้าสมาธิได้ทันที จะนั่งสมาธินานแสนนานก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย อาการปวดเมื่อยจะมีก็ต่อเมื่อคลายสมาธิแล้ว ส่วนจิตใจมีความสุขสำราญตลอดเวลา สมาธิก็ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์ วิตก คือการกำหนดภาวนา ก็ภาวนาได้ตลอดเวลา วิจาร การกำหนดรู้ความภาวนาว่าจะถูกต้องครบถ้วนหรือไม่เป็นต้น ก็เป็นไปด้วยดีมีธรรมปีติชุ่มชื่นผ่องใส ความ สุข ใจมีตลอดเวลา สมาธิตั้งมั่น ความสว่างทางใจปรากฏขึ้นในขณะหลับตาภาวนา อาการตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แหละที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ หรือเรียกว่าอุปจารฌาน คือเฉียดๆ จะถึงปฐมฌานอยู่แล้ว ห่างปฐมฌานเพียงเส้นยาแดงผ่า ๓๒ เท่านั้นเอง ตอนนี้ท่านยังไม่เรียกฌานโดยตรงเพราะอารมณ์ยังไม่ครบองค์ฌาน ท่านจึงยังไม่เรียกว่าสมาบัติ เพราะยังไม่ถึงฌาน |
รูปฌาน ๔ : รูปสมาบัติ
|
๏ ฌาน หรือสมาบัติที่กล่าวมาแล้วทั้ง
๔ อย่างนี้ ท่านเรียกว่ารูปฌาน หรือรูปสมาบัติ ถ้ายังไม่สำเร็จมรรคผลเพียงใด
ท่านเรียกว่าโลกียสมาบัติ หรือ โลกียฌาน ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณจนสำเร็จมรรคผล
ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเรียกว่า โลกุตตรสมาบัติ หรือ โลกุตตรฌาน ศัพท์ว่า โลกุตตระ ตัดออกเป็นสองศัพท์ มีรูปเป็น โลกะ และ อุตตระ สนธิคือเอาโลกะกับอุตตระมาต่อกันเข้า เอาตัว อ. ออกเสีย เอาสระอุผสมกับตัวตัว ก. เป็นโลกุตตระ โลกะ แปลตามศัพท์ว่าโลก อุตตระ แปลว่าสูงกว่า รวมความว่าสูงกว่าโลก โลกุตตระท่านจึงแปลว่าสูงกว่าโลก โลกุตตรฌาน แปลว่าฌานที่สูงกว่าโลก โลกุตตรสมาบัติ แปลว่าสมาบัติที่สูงกว่าโลก หมายความว่ากรรมต่างๆ ที่โลกนิยมนั้น ท่านพวกนี้พ้นไปแล้ว แม้บาปกรรมที่ชาวโลกต้องเสวยผล ท่านที่ได้โลกุตตระ ท่านก็ไม่ต้องรับผลกรรมนั้นอีก เพราะกรรมของชาวโลกให้ผลท่านไม่ถึง ท่านจึงได้นามว่าโลกุตตรบุคคล รวมความว่าฌานประเภทที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นรูปฌาน เพราะมีรูปเป็นอารมณ์ เรียกตามชื่อสมาบัติว่า รูปสมาบัติ สำหรับอรูปฌาน หรืออรูปสมาบัตินั้น มีแยกออกไปอีก ๔ อย่าง ดังจะกล่าวให้ทราบต่อไป |