หน้าที่ ๔ : นิมิต อารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน อิทธิบาท ๔ อิริยาบถ
นิมิต
นิมิต แปลว่าเครื่องหมาย คือรูปเป็นเครื่องกำหนดจิต จับเป็นอารมณ์ นิมิตนี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องหมายของกสิณ แต่ทว่ากรรมฐานหมวดอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน เช่น อสุภกรรมฐานก็มีรูปอสุภเป็นนิมิต อาหาเรปฏิกูลสัญญาก็มีรูปอาหารเป็นนิมิต อย่างนี้เป็นต้น รวมความว่านิมิตนั้นแยกออกเป็นสองอย่างคือ นิมิตที่เป็นเครื่องหมาย กำหนดจิตเป็นนิมิต จำเป็นที่นักปฏิบัติจำเป็นต้องกำหนดต้องรักษาอย่างหนึ่ง นิมิตเลื่อนลอย เป็นนิมิตตัดรอนความดีที่นักปฏิบัติควรละประการหนึ่ง จะขออธิบายในนิมิตทั้งสองพอเข้าใจไว้ดังต่อไปนี้

นิมิตจำเป็นต้องรักษา

บริกรรมนิมิต นิมิตที่จำเป็นต้องรักษาคือ กรรมฐานหมวดใดที่มีนิมิตเป็นอารมณ์ เช่น กสิณ เป็นต้น เมื่อเริ่มปฏิบัติในกรรมฐานกองนั้น ท่านให้ถือนิมิตอะไรเป็นสำคัญ ต้องรักษานิมิตนั้นให้มั่นคง คือกำหนดจดจำภาพนั้นให้ติดใจ จะกำหนดรู้เมื่อไรให้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใสตามสภาพเดิมที่กำหนดจดจำไว้ อย่างนี้ท่านเรียกว่า "บริกรรมนิมิต" จัดเป็นสมาธิได้ในสมาธิเล็กน้อย ที่เรียกว่า "ขณิกสมาธิ"
อุคคหนิมิต นิมิตใดที่ท่านนักปฏิบัติเพ่งกำหนดจดจำไว้ มีความชำนาญมากขึ้น จนภาพนิมิตนั้นชัดเจนแจ่มใส สามารถบังคับให้สูง ต่ำ ใหญ่ เล็ก ได้ตามความประสงค์ แล้วต่อไปนิมิตนั้นค่อยเปลี่ยนสีจากสีเดิมไปทีละน้อยๆ จนกลายเป็นสีสะอาด อย่างนี้ท่านเรียกว่า "อุคคหนิมิต" ถ้าเรียกเป็นสมาธิเรียกว่า "อุปจารสมาธิ" ถ้าเรียกเป็นฌานก็เรียกว่า "อุปจารฌาน"
ปฏิภาคนิมิต นิมิตใดที่นักปฏิบัติเพ่งพิจารณากำหนดอยู่จนติดตาติดใจ จนนิมิตนั้นกลายจากสีเดิม มีสีขาวใสสวยสดงดงาม มีประกายคล้ายดาวประกายพรึก อารมณ์จิตแนบสนิทไม่เคลื่อนไหว ลมหายใจอ่อนระรวย ภาพนิมิตที่สดสวยนั้นหนาทึบเป็นแท่ง อารมณ์จิตไม่กวัดแกว่งไปตามเสียงที่เข้ามากระทบโสตประสาท แม้เสียงจะดังกังวาลเพียงใด จิตใจก็ไม่หวั่นไหว คงมีอารมณ์สงบเงียบ กำหนดจดจำนิมิตไว้ได้ด้วยดี อาการอย่างนี้เรียกเป็นนิมิต ท่านเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต" ถ้าเรียกเป็นสมาธิท่านเรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ถ้าเรียกเป็นฌาน ท่านเรียกว่า "ปฐมฌาน"

นิมิตตามที่ท่านกำหนดให้ยึดถือตามกฏของการปฏิบัติกรรมฐานกองนั้น ๆ อย่างนี้เป็นนิมิตที่จำเป็นต้องกำหนดจดจำ และทำให้ถึงขั้นถึงระดับ

นิมิตที่จำต้องละ

นิมิตที่จำเป็นต้องละก็คือ นิมิตเลื่อนลอย เมื่อจิตมีสมาธิเล็กน้อย เช่น ขณิกสมาธิ ตอนปลายใกล้จะถึงอุปจารสมาธิก็ดี หรือจิตเข้าสู่สมาธิก็ดี ตอนนี้จิตเริ่มจะเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ เพราะอารมณ์นิวรณ์เริ่มสงัดจากจิต จิตก็จะเริ่มเห็นภาพบ้าง แสงสีต่างๆ บ้าง ความสว่างไสวบ้าง ซึ่งเป็นของใหม่ของจิต เพราะเป็นของใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั้นเอง ความปลาบปลื้มลิงโลดจึงปรากฏมีแก่นักปฏิบัติที่ประสบพบเห็น พากันละอารมณ์ภาวนา หรือการพิจารณาเสีย ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามภาพหรือแสงสีที่เห็น จนภาพนั้นเลือนรางหายไป วันต่อไปถ้าทำไม่เห็น เพราะมีความติดอกติดใจในภาพและแสงสีนั้น นั่งคิดนอนมองใคร่จะได้เห็นภาพและแสงสีอีก เมื่อความใคร่เกิดขึ้น แทนที่จะได้เห็นอีกกลับไม่ได้ประสบพบเห็น บางรายเมื่อไม่ได้เห็นภาพอีก ถึงกับเสียอกเสียใจ ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นโรคประสาทหลอนไปก็มี จัดว่าเป็นความเสียหายหนักของนักปฏิบัติ

ทางที่ถูกแล้ว สำหรับภาพนอกองค์กรรมฐานที่กำหนดเดิมนั้น ท่านสอนไม่ให้สนใจ เพราะถ้ากรรมฐานกองที่ปฏิบัติอยู่นั้น เป็นกรรมฐานที่มีนิมิตอะไรเป็นอารมณ์ก็ต้องยึดถือนิมิตเดิมเป็นสำคัญ ถ้ามีนิมิตอื่นแปลกปลอมเข้ามาก็ต้องกำจัดไปเสีย วิธีกำจัดก็ไม่สนใจไยดีในภาพนั้นๆ นั่นเอง เพราะถ้าสนใจเข้า จักทำให้สมาธิฟั่นเฟือน ควรถือว่าเป็นนิมิตทำลายความดีไม่ควรคบหาสมาคม ให้ยึดถือนิมิตที่กำหนดเดิมเป็นสำคัญ

ถ้ากรรมฐานที่กำลังปฏิบัติอยู่ เป็นกรรมฐานไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์ ถ้ามีนิมิตเกิดแทรกขึ้นมา ก็จงตัดทิ้งไปเสียอย่าสนใจ เพราะกรรมฐานใดที่ไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์ เมื่อปรากฏแทรกขึ้นมา ต้องถือว่านิมิตนั้นเป็นศัตรูของกรรมฐานที่กำลังปฏิบัติอยู่

นักปฏิบัติที่เอาดีถึงระดับฌานไม่ได้ ก็เพราะมาติดอกติดใจหลงใหลใฝ่ฝันในนิมิตเป็นสำคัญ ความจริงจิตที่จะเห็นนิมิตได้นั้นก็เป็นจิตที่เริ่มเข้าระดับดีบ้างแล้ว คือเริ่มมีสมาธิเล็กๆ น้อยๆ การเห็นภาพก็เพราะจิตเริ่มมีสมาธิ แต่ที่เห็นนิมิตแล้วทิ้งคาถาภาวนา หรือทิ้งการกำหนดลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามภาพนิมิตนั้นเป็นการบ่อนทำลายนิมิตและสมาธิโดยตรง การเห็นจะทรงอยู่ได้นานก็เพราะสมาธิทรงตัวนาน ถ้าเห็นแวบเดียวหายไป ก็แสดงว่าจิตเรามีสมาธินิดเดียว ที่ภาพนั้นหายไปไม่ใช่ภาพนั้นหนีไป ความจริงภาพไม่ได้หนี สมาธิเราไม่ทรงตัวต่างหาก เมื่อสมาธิหมดการทรงตัว เพราะปล่อยจิตลอยไปตามภาพ สมาธิก็สลายตัว เมื่อสมาธิสลายตัว จิตก็มีอารมณ์มืดเพราะไม่มีสมาธิ จิตที่มีอารมณ์สว่างสามารถเห็นภาพได้ก็เพราะจิตมีสมาธิ ถ้านักปฏิบัติรู้เท่าทันแล้ว เมื่อเห็นภาพแทนที่จะมั่นใจในภาพ กลับกำหนดอารมณ์ในสมาธิให้มากขึ้น โดยไม่สนใจในภาพเลย อย่างนี้ภาพนั้นจะชัดเจนแจ่มใสอยู่ได้นาน จนกว่าสมาธิจะเคลื่อน

ขอสรุปย่อเข้าเพื่อเข้าใจง่ายว่า ภาพนิมิตใดที่นอกเหนือไปจากภาพนิมิต ที่กรรมฐานนั้นๆ มีกฏให้กำหนดแล้ว ถ้าปรากฏมีขึ้นในขณะเจริญสมาธิ ท่านไม่ให้สนใจกับภาพนั้นๆ เลย มุ่งหน้ากำหนดภาวนาไปตามปกติ ภาพนั้นจะทรงอยู่หรือหายไปอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้จึงจะถูกต้อง และเข้าถึงระดับฌานได้รวดเร็ว ตรงตามความประสงค์ในการปฏิบัติสมาธิเพื่อดำรงฌาน

อารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน
นักปฏิบัติกรรมฐานใหม่ๆ มักจะปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยอารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน บางคราวทำกรรมฐานมีอารมณ์แนบสนิท ลมละเอียด จิตใจเป็นสมาธิแน่วแน่ดี แต่พอเลิกแล้ว รุ่งขึ้นวันใหม่หรือคราวต่อไป กลับมีอารมณ์ส่ายออกภายนอกจนบังคับไม่อยู่ สร้างความกลัดกลุ้มให้แก่นักปฏิบัติทุกท่านมาแล้ว อาการอย่างนี้ไม่มีนักปฏิบัติท่านใดจะไม่ประสบ ต่างก็พบปะกันมาจนเป็นธรรมดาแก่นักปฏิบัติทุกคน วิธีแก้อารมณ์ซ่านไม่ตั้งอยู่ในสมาธิ ๒ อย่าง คือ

๑. นักเจริญกรรมฐาน ควรมีแนวปฏิบัติเป็นสองแนว คือ แนวภาวนา และ พิจารณา
๒. ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปก่อนเมื่อบังคับไม่ไหว แล้วคอยกำหนดจับเอาเมื่ออารมณ์กลับเข้าแนวสมาธิ

วิธีแก้อารมณ์ซ่านในสองแบบนั้น มีคำอธิบายดังต่อไปนี้

ภาวนาและพิจารณา

ภาวนา หมายถึงภาวนาตามแบบที่ครูบาอาจารย์สอน ภาวนาเพื่อให้อารมณ์หยุดจากอารมณ์ภายนอก ให้จิตจดจ่ออยู่ที่คำภาวนา เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ คำว่าจิตเป็นสมาธินั้นหมายถึงจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิตหยุดโดยไม่รับอารมณ์ใดเลยทั้งสิ้น นักปฏิบัติใหม่หรือท่านที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลยมักจะเข้าใจอย่างนั้น ความจริงการเข้าใจอย่างนั้นเป็นการเข้าใจที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ธรรมดาของนักปฏิบัติใหม่ จิตที่ว่างจากอารมณ์ โดยไม่รับรู้อารมณ์เลย สำหรับการปฏิบัติเบื้องต้นนี้ไม่มี อาการอย่างนั้นเป็นอาการของสัญญาเวทยิตนิโรธ พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือพระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่จะเข้าได้ พระอริยะนอกนั้นแม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญก็ไม่สามารถทำได้ ปกติของจิตเป็นอย่างนี้

เมื่อทราบแล้วว่าจิตไม่ว่างจากอารมณ์ เพื่อฝึกฝนจิตให้มีกำลังที่ควรแก่การเจริญวิปัสสนาญาณในขั้นต่อไป ท่านจึงสอนให้ภาวนา เพื่อโยงจิตให้อยู่ในอารมณ์ภาวนา คือหาทางให้จิตนึกคิด แต่นึกคิดในขอบเขตที่มอบหมายให้ ไม่ใช่จะนึกคิดเพ่นพ่านไป การภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่งนี้ เป็นการระงับการฟุ้งซ่านของจิต แต่ทว่าในกาลบางคราว การภาวนาอยู่อย่างนี้ จิตเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเกินที่จะภาวนาได้ ทั้งนี้จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เมื่ออารมณ์จิตเกิดฟุ้งซ่านห้ามปรามไม่ไหว นักปฏิบัติมักจะเกิดความกลัดกลุ้มใจ เพราะบังคับใจไม่อยู่

เมื่อเห็นว่าจิตจะบังคับให้อยู่ในวงแคบ คือคิดเฉพาะคำภาวนาไม่อยู่แล้ว ท่านให้หาทาง พิจารณา แทน เพราะการพิจารณาก็เป็นอารมณ์คิดเหมือนกัน แต่ว่าคิดในทางละทางปลง จะพิจารณาตามกรรมฐานกองใดก็ได้ เช่น พิจารณาว่าเราต้องตาย เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ต้องป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎธรรมดานี้ไปได้ หรือจะพิจารณาตามอสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่มีความสวยสดงดงามคงสภาพ ตามที่กล่าวไว้ในอสุภ ๑๐ ประการ หรือจะพิจารณากาย ตามในกายคตานุสสติก็ได้

กรรมฐานที่ท่านสอนให้พิจารณามีมากมาย ท่านสนใจก็อ่านต่อไปตอนท้ายเล่มหนังสือนี้จะพบ แล้วเลือกเอากรรมฐานประเภทพิจารณามาพิจารณาแก้อารมณ์ซ่าน กรรมฐานที่เป็นบทภาวนามีกำลังเป็นสมาธิส่วนใหญ่เป็นฌาน กรรมฐานประเภทพิจารณามีกำลังในขั้นอุปจารฌานได้ผลเหมือนกัน กรรมฐานภาวนาสร้างจิตให้มีกำลังเข้มแข็ง กรรมฐานพิจารณาทำจิตให้เกิดความฉลาดรู้ตามความเป็นจริงเป็นผลให้เกิดนิพพิทาญาณเป็นเหตุให้ได้มรรคผลรวดเร็ว ต่างฝ่ายก็ดีด้วยกัน เราไม่ได้อย่างโน้นก็ได้อย่างนี้ ดีกว่าปล่อยให้จิตใจกลัดกลุ่ม

ปล่อยอารมณ์

อารมณ์ของจิตบางคราวมันไม่เอาถ่านจริงๆ จะภาวนาหรือพิจารณามันก็ไม่เอาเรื่องด้วยทั้งนั้น มันคอยจะออกนอกลู่นอกทางไปตามอารมณ์ของมัน ที่เป็นอย่างนี้เพราะ

๑. อาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป
๒. ความป่วยไข้เบียดเบียน
๓. ตั้งใจเกินไป โดยคิดว่าวันวานนี้ เรามีอารมณ์แช่มชื่นดี วันนี้ทำให้ดีกว่านั้น ถ้าตั้งใจเกินไปอย่างนี้ รายไหนก็รายนั้น เป็นเตลิดเปิดเปิงออกนอกลู่นอกทางไปทุกราย

รวมความว่าจิตไม่อยู่ในเกณฑ์จะบังคับได้ ท่านให้ปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเห็นว่าบังคับไม่ไหวจริงๆ แล้ว ท่านให้ปล่อยให้คิดไปตามเรื่อง จะคิดอะไรก็ช่าง แต่คอยเอาสติควบคุมไว้ ไม่นานนัก อย่างมากก็ไม่เกิน ๒๐ นาที จิตจะหยุดคิด ตอนนี้ท่านสอนว่าให้เริ่มจับอารมณ์ฝึกทันที จิตจะหมดพยศ และจะมีอารมณ์เรียบเป็นอารมณ์ฌานแนบสนิท อย่างคาดไม่ถึง และจะทรงอยู่ได้นานเกินคาด วิธีนี้จดจำไว้ให้ดี เป็นวิธีที่ได้ผลมาก

อิทธิบาท ๔

ได้พูดถึงวิธีการต่างๆ มามาก ต่อแต่นี้ไปจะพูดถึงกฎบังคับตายตัวในพระพุทธศาสนาอีกอย่างหนึ่ง ที่นักปฏิบัติไม่ว่าระดับใดต้องยึดถือเป็นกฎบังคับสำหรับการปฏิบัติ ถ้าทิ้ง อิทธิบาท ๔ นี้เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จผลสมความปรารถนา แต่ถ้าท่านผู้ใดทรงการปฏิบัติตามใน อิทธิบาท ๔ นี้แล้ว สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสรับรองผลว่า ต้องสำเร็จสมความมุ่งหมายทุกประการ แม้ท่านหวังพระนิพพานในชาตินี้ ก็หวังได้แน่นอน ใจความในอิทธิบาท ๔ มีดังนี้

๑. ฉันทะ มีความพอใจในปฏิปทาที่ปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ
๒. วิริยะ มีความพากเพียรพยายามไม่ท้อถอย
๓. จิตตะ สนใจในข้อวัตรปฏิบัตินั้นเนืองนิจ
๔. วิมังสา ใคร่ครวญพิจารณาในข้อวัตรปฏิบัตินั้นโดยถูกต้อง

กฎ ๔ อย่างนี้ท่านเรียกว่า อิทธิบาท แปลว่า เข้าถึงความสำเร็จ หมายความว่าท่านนักปฏิบัติท่านใดจะปฏิบัติในสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม ถ้าท่านมีแนวความคิดรักใคร่สนใจในข้อวัตรปฏิบัติ มีความพากเพียรไม่ท้อถอย สนใจใคร่อยู่เป็นปกติ พิจารณาสอบสวนทบทวนปฏิปทาที่ปฏิบัติแล้วว่าเหมาะสมถูกต้องประการใดหรือไม่เพียงใด ต่อไปควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมถูกต้อง

ปฏิบัติได้อย่างนี้ สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่าไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ไม่สำเร็จ อิทธิบาท ๔ ประการนี้ นักปฏิบัติต้องยึดไว้เป็นหลักปฏิบัติประจำใจ ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดที่จะละเลยไม่ยึดถือ อิทธิบาท ๔ นี้เป็นหลักปฏิบัติประจำใจ แม้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเองก็ทรงยึด อิทธิบาท นี้เป็นกฎในการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ขอท่านนักปฏิบัติทุกท่านจงยึดถือ อิทธิบาท นี้เป็นหลักชัยประจำใจไว้เสมอ

อิริยาบถ

นักปฏิบัติผู้หวังผลส่วนมากมักจะหนักใจอิริยาบถ คิดว่านั่งอย่างไร นอนได้ไหม เดิน ยืน ได้หรือเปล่า ขอบอกไว้ให้ทราบว่าวิธีปฏิบัติในอิริยาบถนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ทรงจำกัดไว้ ท่านว่าได้ทั้ง ๔ อิริยาบถ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน

การนั่ง

การนี้ท่านไม่จำกัดไว้ ท่านว่านั่งตามสบาย ชอบขัดสมาธิ หรือพับเพียบ หรือท่าใดท่าหนึ่งที่พอเห็นว่าเหมาะสม หรือพอสบาย ท่านว่าทำได้ แต่ตามแบบท่านพูดเป็นกลางๆ ไว้ว่า เข้าสู่ที่สงัด นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ท่านว่าอย่างนี้ การตั้งกายให้ตรง เอากันเพียงแค่เท่าที่จะตรงได้ สังเกตดูด้วยการทดลองสูดลมหายใจเข้าออก เอาพอหายใจสบายๆ ถ้าคนหลังงอ หลังโกง บังคับให้ตรงเป๋งย่อมไม่ได้ ต้องให้เหยียดพอดี เท่าที่จะเหยียดได้

นอน

ท่านว่าควรนอนตะแคงขวา แบบสีหไสยาสน์ แต่ทว่าถ้านอนตะแคงขวาไม่ได้ เพราะเหตุใดก็ตาม ท่านจะนอนท่าใดก็ได้ ตามแต่ที่ท่านจะเห็นว่าสบาย

การยืน

แบบยืนนี้เห็นจะไม่ต้องอธิบาย ก็การยืนไม่มีหลายท่า เอากันแค่ยืนได้ ใครขืนเล่นพิเรนทร์ยืนนอกแบบฉบับก็เห็นจะลำบาก

การเดิน

การเดินนี้มีความสำคัญมากต้องขออธิบายสักหน่อย เดินท่านเรียกว่า "จงกรม" ทำกันอย่างไร ท่านไม่ได้อธิบายไว้ แต่ตามที่ปฏิบัติกันมาท่านสอนให้เดินหลายอย่างคือ

๑. เดินนับก้าว ที่เท้าก้าวไป
๒. เดินกำหนดรู้การก้าวไปและถอยกลับ รู้พร้อมทั้งการแกว่งแขนและยกขาว่า ก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวา แกว่งแขนซ้ายหรือแขนขวา ก้าวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ดังนี้เป็นต้น
๓. เดินกำหนดอารมณ์สมาธิ คือกำหนดนิมิตสมาธิตามอารมณ์กรรมฐานที่เจริญอยู่ โดยเดินไปตามปกติธรรมดา ไม่ย่อง ย่าง ยก แบบคนขาติดตรวนหรือแบบคนเป็นโรคอัมพาต ตามที่เคยเห็นมา กว่าจะไปได้สักศอกแขนก็กินเวลานาน อย่างนั้นใช้ไม่ได้

ขอสรุปเอาว่า การเดินปฏิบัติ ท่านเรียกว่าเดินจงกรม คือเดินควบคุมสติ ให้รู้ว่าก้าวไปหรือถอยกลับ ใหม่ๆ ท่านให้ฝึกนับก้าวว่าเดินไปได้กี่ก้าวจึงถึงที่หมาย ต่อมาให้กำหนดรู้ว่าเราเดินด้วยเท้าซ้ายหรือเท้าขวา ให้กำหนดรู้ไว้เพื่อรักษาสมาธิ ต่อไปก็เดินกำหนดอารมณ์กรรมฐาน ถ้าเป็นกรรมฐานที่มีรูป ก็กำหนดรูปกรรมฐานไปพร้อมกัน กรรมฐานกองใดได้สมาธิในขณะเดิน กรรมฐานกองนั้นสมาธิไม่มีเสื่อม

วิธีเดิน ตอนแรกๆ ควรเดินช้าๆ เพราะจิตยังไม่ชิน ต่อเมื่อชินแล้ว ให้เดินตามปกติ แล้วกำหนดรู้ไปด้วย เมื่อใดถ้าเดินเป็นปกติ รู้การก้าวไปและถอยกลับได้ จิตไม่เคลื่อนและรักษาอารมณ์สมาธิหรือนิมิตกรรมฐานได้เป็นปกติ ทั้งเดินในที่ฝึกหรือเดินในธุรกิจแล้ว ก็ชื่อว่าท่านเป็นนักปฏิบัติที่เข้าระดับแล้ว พอจะเอาตัวรอด

บังคับหยุด

การเดินควรฝึกทั้งหลับตาและลืมตา ตอนแรกๆ ฝึกลืมตา พอชำนาญเข้าให้ฝึกหลับตา แล้วกำหนดที่หยุดโดยกำหนดใจไว้ว่าถึงตรงนั้นจงหยุด หรือบังคับการแยกทางว่า ถึงตรงนั้นจงแยกทาง หรือขณะเดินอยู่นั้นอธิษฐานให้กายเดินย้อนไปย้อนมาตามแนวเส้นทางให้ถูกต้อง ส่วนจิตถอดท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ บังคับให้กายเดินให้ตรงทาง ที่มีส่วนตรงและโค้ง เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามเส้นทาง หรือบังคับให้หยุดตรงที่กำหนด ให้หยุดกี่นาที แล้วเดินต่อไปตามกำหนดอย่างนี้ เป็นวิธีเดินจงกรมฝึกรรมฐาน การเดินควรฝึกให้ถึงขั้นปกติ ถ้ายังต้องระมัดระวังยกย่างแบบนกเขา หรือคนเป็นโรคอัมพาตอยู่แล้วยังไกลมาก

อานิสงส์เดินจงกรม

การเดินจงกรมเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ให้เส้นสายยึดจนกลายเป็นคนง่อยเปลี้ย และยังทำให้ท้องไม่ผูกอีกด้วย

จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี