หน้าที่ ๖ : จริต ๖ สมาทาน มัชฌิมาปฏิปทา
|
จริต ๖ |
จริต
แปลว่า จิตท่องเที่ยว หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลายที่หนักไปอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
สถานที่จิตท่องเที่ยวหรืออารมณ์เป็นที่ชอบท่องเที่ยวของจิตนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประมวลไว้เป็น
๖ ประการด้วยกัน |
๑. ราคจริต
|
จิตท่องเที่ยวไปในอารมณ์ที่รักสวยรักงาม มีอารมณ์หนักไปในกามคุณ
๕ คือพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล รวมความว่าอารมณ์หนักไปในราคะคือความกำหนัดยินดี
นี่บุคคลผู้เป็นเจ้าของราคจริตมีอารมณ์หนักไปในทางรักสวยรักงาม ชอบการมีระเบียบ
สะอาด ประณีต มีกิริยาท่าทางละมุนละไม นิ่มนวล เครื่องของใช้สะอาดเรียบร้อย
บ้านเรือนจัดไว้อย่างมีระเบียบ พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะสกปรก การแต่งกายก็ประณีต
ไม่มีของใหม่ก็ไม่เป็นไร แม้จะเก่าก็ต้องสะอาดเรียบร้อย ราคจริตมีอารมณ์จิตรักสวยรักงามเป็นสำคัญ
อย่าตีความหมายว่าราคจริตมีจิตมักมากในกามารมณ์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นพลาดถนัด กรรมฐานที่เหมาะแก่จริต ราคะจริตนี้ ท่านจัดกรรมฐานที่เหมาะสมไว้ ๑๑ อย่างคือ อสุภกรรมฐาน ๑๐ กับ กายคตานุสสติกรรมฐาน ๑ รวมเป็น ๑๑ อย่าง ในเมื่ออารมณ์รักสวยรักงามปรากฏขึ้นแก่อารมณ์จิต จงนำกรรมฐานนี้มาพิจารณา โดยนำมาพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งจากกรรมฐาน ๑๑ อย่างนี้ ตามแต่ท่านจะชอบใจ จิตใจท่านก็จะคลายความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ลงได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นเลย ถ้าจิตข้องอยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ ก็เอากรรมฐานนี้พิจารณาเป็นปกติ จนกว่าอารมณ์จะสงัดจากกามารมณ์ เห็นคนและสัตว์และสรรพวัตถุทั้งหลายที่เคยนิยมชมชอบว่าสวยสดงดงามกลายเป็นของน่าเกลียดโสโครกโดยกฎธรรมดา จนเห็นว่าจิตใจไม่มั่วสุมสังคมกับความงามแล้ว ก็พิจารณาวิปัสสนาญาณโดยยกเอาขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา โดยเอาอสุภกรรมฐาน หรือกายคตานุสสติกรรมฐานเป็นหลักชัย ทำอย่างนี้ไม่นานเท่าใด ก็จะเข้าถึงมรรคผลนิพพาน |
๒. โทสจริต
|
มีอารมณ์มักโกรธเป็นเจ้าเรือน เป็นคนขี้โมโห อะไรนิดก็โกรธ
อะไรหน่อยก็โมโห เป็นคนบูชาความโกรธว่าเป็นของวิเศษ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้โกรธเคืองโมโหโทโสใครเสียบ้างแล้ว
วันนั้นจะหาความสบายใจได้ยาก คนที่มีจริตหนักไปในโทสจริตนี้ แก่เร็ว พูดเสียงดัง
เดินแรง ทำงานหยาบ ไม่ใคร่ละเอียดถี่ถ้วน แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว กรรมฐานที่เหมาะแก่จริต คนมักโกรธหรือขณะนั้นเกิดมีอารมณ์โกรธพยาบาทเกิดขึ้น ขวางอารมณ์ไม่สะดวกแก่การเจริญฌาน ท่านให้เอากรรมฐาน ๘ อย่าง คือ พรหมวิหาร ๔ และ วัณณกสิณ ๔ วัณณกสิณ ๔ ได้แก่ นีลกสิณ เพ่งสีเขียว โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว กรรมฐานทั้งแปดอย่างนี้ เป็นกรรมฐานระงับดับโทสะ ท่านจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสมแก่ท่าน คือตามแต่ท่านจะพอใจ เอามาเพ่งและใคร่ครวญพิจารณา อารมณ์โทสะก็จะค่อยๆ คลายตัวระงับไป |
๓. โมหจริต
|
มีอารมณ์จิตลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ชอบสะสมมากกว่าการจ่ายออก
ไม่ว่าอะไรเก็บดะ ผ้าขาดกระดาษเก่า ข้าวของตั้งแต่ครั้งใดก็ตาม มีค่าควรเก็บหรือไม่ก็ตาม
เก็บดะไม่เลือก มีนิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น แต่ของตนไม่อยากให้ใคร
ชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ชอบบริจาคทานการกุศล รวมความว่าเป็นคนชอบได้ไม่ชอบให้ |
๔. วิตกจริต
|
มีอารมณ์ชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีเรื่องที่จะต้องพิจารณานิดหน่อยก็ต้องคิดตรองอยู่อย่างนั้น
ไม่กล้าตัดสิน คนประเภทนี้เป็นโรคประสาทมาก มีหน้าตาไม่ใคร่สดชื่น ร่างกายแก่เกินวัย
หาความสุขสบายใจได้ยาก |
๕. สัทธาจริต
|
มีจิตน้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุไร้ผล
พวกที่ถูกหลอกลวงก็คนประเภทนี้ มีใครแนะนำอะไรตัดสินใจเชื่อโดยไม่ได้พิจารณา กรรมฐานที่เหมาะแก่จริต ท่านที่เกิดสัทธาความเชื่อ เชื่อโดยปกติหรืออารมณ์แห่งความเชื่อเริ่มเข้าสิงใจก็ตามท่านให้เจริญกรรมฐาน ๖ อย่างคือ อนุสสติ ๖ ประการ ดังต่อไปนี้ ๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน ๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน ๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ๖. เทวตานุสสติกรรมฐาน อนุสสติทั้ง ๖ อย่างนี้ จะทำให้จิตใจของท่านที่ดำรงสัทธาผ่องใส |
๖. พุทธจริต
|
เป็นคนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณ
ไหวพริบดี การคิดอ่านหรือการทรงจำก็ดีทุกอย่าง |
กรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทั้ง ๖ ท่านจัดเป็นหมวดไว้
๕ หมวด รวมกรรมฐานที่เหมาะแก่จริต โดยเฉพาะจริตนั้นๆ รวม ๓๐ อย่าง หรือในที่บางแห่งท่านเรียกว่า
๓๐ กอง กรรมฐานทั้งหมดด้วยกันมี ๔๐ กอง ที่เหลืออีก ๑๐ กองคือ อรูป
๔ , ภูตกสิณ ๔ ได้แก่ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ
วาโยกสิณ อาโปกสิณ ๔ อย่างนี้เรียกภูตกสิณ อาโลกสิณ
๑ และ อากาสกสิณ ๑ รวมเป็น ๑๐ พอดี
กรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านตรัสไว้เป็น กรรมฐานกลาง เหมาะแก่จริตทุกอย่าง
รวมความว่า ใครต้องการเจริญก็ได้เหมาะสมแก่คนทุกคน แต่สำหรับอรูปนั้น ถ้าใครต้องการเจริญ
ท่านให้เจริญฌานในกสิณให้ได้ฌาน ๔ เสียก่อน แล้วจึงเจริญในอรูปได้ มิฉะนั้น
ถ้าเจริญอรูปเลยทีเดียวจะไม่มีอะไรเป็นผล เพราะอรูปละเอียดเกินไปสำหรับนักฝึกสมาธิใหม่ |
๏ อารมณ์ของชาวโลกทั่วไป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลอารมณ์ว่าอยู่ในกฎ
๖ ประการตามที่กล่าวมาแล้วนี้ บางคนมีอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้ครบถ้วน บางรายมีไม่ครบ
มีมากน้อยยิ่งหย่อนกว่ากันตามอำนาจวาสนาบารมีที่อบรมมาในการละในชาติที่เป็นอดีต
อารมณ์ที่มีอยู่คล้ายคลึงกัน แต่ความเข้มข้นรุนแรงไม่เสมอกัน ทั้งนี้ก็เพราะบารมีที่อบรมมาไม่เสมอกัน
ใครมีบารมีที่มีการอบรมมามาก บารมีในการละมีสูง อารมณ์จริตก็มีกำลังต่ำไม่รุนแรง
ถ้าเป็นคนที่อบรมในการละมีน้อย อารมณ์จริตก็รุนแรง |
จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ![]() |
สมาทาน
|
สำหรับนักศึกษาภาคปฏิบัติใหม่และใช้คราวเดียวในคราวเข้ามาศึกษาใหม่เท่านั้น
ต่อไปใช้ดอกไม้ธูปเทียนตามแต่จะหาได้ ถ้าไม่มีที่หาก็ไม่ต้องหา เมื่อเตรียมกาย
เตรียมใจ เตรียมเครื่องบูชาครบถ้วนแล้ว ก็เริ่มบูชาพระรัตนตรัยตามแต่จะบูชาได้
ไม่กะเกณฑ์ว่าจะต้องบูชามากน้อยเพียงใด ท่านที่ว่าอะไรไม่ได้มาก ตั้งนโม
๓ จบ แล้วว่า |
มัชฌิมาปฏิปทา
|
สมัยนี้เห็นจะได้แก่การอัดขันธ์ของอาจารย์บางคณะ เคยไปพบที่เขาสนามแจงจังหวัดลพบุรี
เห็นอุบาสิกาสองคนนั่งครางเสียงกระหึ่ม ได้เข้าไปถามว่าโยมเป็นอะไรไป เพราะคิดว่าแกป่วย
ได้รับคำตอบว่า "อาจารย์ท่านสั่งให้อัดขันธ์ค่ะ" ถามว่า "อัดขันธ์เป็นอย่างไร"
ได้รับคำตอบว่า "อาจารย์ให้กลั้นใจ" ฟังแล้วก็สลดใจ
คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนมาแล้ว ท่านทำมาแล้วยิ่งกว่านี้ ท่านทราบว่าไม่เป็นทางสำเร็จ
ไม่คิดเลยว่าสมัยนี้ยังมีคนเอามาสอนกันอีก แบบนี้จงอย่าแตะต้องเลย ผู้เขียนเองก็ลองฝืนและได้รับผล
คือ ของเก่าที่ได้มาแล้วพลอยสูญไปด้วย ที่เป็นโรคเส้นประสาท และถูกประสาทหลอนก็เพราะทำนอกรีตนอกรอยอย่างนี้แหละ |
จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ![]() |