๏ ถ้าจิตของเราทรงอยู่ใน พรหมวิหาร ๔
ศีลจะบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผล มีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์
เพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม
มีความเคารพในพระสงฆ์ รู้จักอายความชั่ว เกรงกลัวความชั่ว
๏ เมื่อมีศีลเป็นปกติแล้ว ก็พยายามกำจัดนิวรณ์ ๕ ประการ
แล้วทรงฌานตามที่ได้ศึกษา โดยมีพรหมวิหาร ๔ เป็นอารมณ์ คอยควบคุมรักษาจิตใจให้ชุ่มชื่น
เป็นการประคับประคองศีลและฌานสมาบัติผ่องใสไม่บกพร่อง ระดับของสมาธิที่จะทรงฌาน
ทรงญาณให้ดีเด่นบริบูรณ์ไม่่บกพร่องต้องทำอย่างนี้
๏ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำให้วางนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการเสีย
ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ช่าง ดูใจของเราว่ามันดีหรือมันชั่ว ดูใจของเราว่ามีพรหมวิหาร
๔ หรือเปล่า ศีล บริสุทธิ์ไหม จิตว่างจาก นิวรณ์ ไหม จิตเราเกาะอยู่ใน
ขันธ์๕ ไหม จิตยังหวั่นไหวต่อนินทา และสรรเสริญไหม ถ้าเป็นอย่างนี้เราเลว
๏ นักบวชที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นบัณฑิต
ก็คือท่านนักบวชที่ต้องทรงความดี ๓ ประการคือ
๑. อธิศีลสิกขา รักษาศีลบริสุทธิ์
๒. อธิจิตสิกขา ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ฌาน
๓. อธิปัญญาสิกขา มีวิปัสสนาญาณยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
แล้วก็มีจิตใจมุ่งปรารถนาอย่างเดียวคือ ความดับไม่มีเชื้อ หมายความว่าดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
ถึงแม้ว่าท่านจะยังดับกิเลสไม่หมด แต่ยังมุ่งเพื่อการดับกิเลส ปฏิบัติอยู่ในศีลดี
สมาธิดี มีจิตใจดี ตามอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ ไม่เมาในโลกธรรมทั้ง ๘
ประการ คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์
|