"แปลงความหมายพระรัตนตรัย"
ยุทธวิธีทำลายหัวใจพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์แตกกัน (สังฆเภท)

p23-118.jpg (6267 bytes)

 

                การทำลาย "พระรัตนตรัย" หัวใจพระพุทธศาสนา             

พุทธบริษัททั่วโลกย่อมเข้าใจและซาบซึ้งในคำว่า พระรัตนตรัย อันหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ซึ่งในความหมาย แห่งพระพุทธศาสนา นั้นมีว่า

อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้โดยชอบ ด้วยพระองค์เอง

สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมเป็นธรรม ที่พระผู้มีพระภาค ตรัสไว้ดีแล้ว

สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว

นี่คือความหมายอันชาวพุทธยอมรับนับถือตลอดมา กว่า ๒,๐๐๐ ปี นับแต่ครั้งพุทธกาล แต่ในปัจจุบัน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้แก้ไขเปลี่ยน แปลงความหมายของพระรัตนตรัย ในพระพุทธศาสนาเสียใหม่ เป็นดังนี้ว่า

"พุทธะ คือ การทำให้มนุษย์ประจักษ์ (รู้ถึง)ในศักยภาพของตน

ธรรมะ คือ สาระที่แท้จริงของธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์จะต้องรู้จัก เข้าใจ และปฏิบัติต่อมัน ให้ถูกต้อง การพัฒนาศักยภาพ จึงจะดำเนินไปได้

สังฆะ หรือ สงฆ์ คือชุมชนของคนที่มีการศึกษา หรือพัฒนาตนแล้ว

ข้อความนี้คัดจาก การศึกษาสากลบนพื้นฐานแห่งภูมิปัญญาไทย พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า ๑๕๖-๑๕๗ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.๒๕๓๒

ความหมายดังกล่าวข้างต้นนี้ สามารถเทียบเคียง กับคำสอนของคริสเตียน ได้อย่างกลมกลืน และเมื่อนำไปเชื่อมต่อ กับเรื่องของ การปฏิบัติสมาธิจิต อันเป็นอันตรายต่อการพัฒนา ตามที่พระธรรมปิฎกได้เขียน จึงทำให้เห็นได้ว่า สงฆ์ ในความหมาย ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นั้น ต่างไปจากที่ได้บัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา อย่างสิ้นเชิง โดยจะต้อง ไม่มีการปฏิบัติทางสมาธิ ซึ่งพระธรรมปิฎก ได้เผยแพร่ความคิด แก่สาธารณชนว่า สมาธิเป็นตัวถ่วง การพัฒนามนุษย์ ซึ่งเข้าตามหลัก ต่อต้านการปฏิบัติ ทางสมาธิอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดเด่นของพระพุทธศาสนา ที่เหนือกว่าศาสนาอื่น อยู่ที่การปฏิบัติสมาธิจิต เพื่อให้หลุดพ้น จากกิเลสอาสวะ พ้นจากโลกวิสัย ละทิ้งความห่วงใยทางโลก มีจุดมุ่งหมายในการพ้นทุกข์คือเป้าหมายสูงสุด และนี่คือการเปลี่ยนแปลง ความหมายของพระรัตนตรัย ตามความหมาย แห่งพระพุทธศาสนา เพื่อให้กลมกลืน กับคำสอนของคริสเตียน ซึ่งเน้นทางโลกิยะเป็นหลัก.... ผู้วิเคราะห์)

                ต้นเหตุแห่งการทำลาย องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย             

การบิดเบือนพระไตรปิฎก กล่าวตู่พระพุทธวจนะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" เขียนโดย พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ต้นเหตุแห่งการทำลาย องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย

หนังสือกรณีธรรมกายพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ผู้เขียน "กรณีธรรมกาย" อ้าง "สังขารทั้งปวง อันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้ และท่านก็ใส่ที่มา ของข้อความนี้ว่า "วินยฺ ๘/๘๒๖ /๒๒๕" ตรงนี้เรียกว่า เจตนาให้คิดว่า หลักฐานแน่น แต่เปล่าเลย ความจริงท่านซ่อนคำว่า ปริวารวัคค์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่อยู่ในชั้น ๒ เรียกว่า ชั้นสุตตานุโลม (พวกอรรถกถา) นี่คือความไม่บริสุทธิ์ใจ ของผู้เขียน "กรณีธรรมกาย" และเป็นที่มาของ ข้อพิพาทในชาวพุทธ เรื่อง นิพพานเป็นอัตตา หรือ นิพพานเป็นอนัตตา มาจากข้อความ ตรงนี้นี่เอง นำไปขยายผล ทำให้เกิดคดีความ และสร้างความเสื่อมเสีย แก่พระพุทธศาสนา พระเถรานุเถระ มหาเถรสมาคม และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ทั้งๆ ที่โดยข้อแท้จริง มีพุทธพจน์ ปรากฏว่า นิพพาน เป็นสิ่งเที่ยงแท้ ปรากฏใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี ขุ. จูฬ. ๓๐/๖๕๙/๓๑๕) ว่า

"ยสฺส อุปฺปาโท ปญฺายติ วโย นตฺถิ ตสฺส ยญฺญทตฺถุ ปญฺายติ นิพฺพานํ นิจฺจํ ธุวํ สสฺสตํ อวิปริณามธมฺมนฺติ อสํหิรํ อสงฺกุปปํ ฯ.."

"ความเกิดแห่งนิพพานใด ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปมิได้ ไม่กำเริบ"

นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ที่ผมจะได้นำพิสูจน์ทราบ ความจริงอันปรากฏ ในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท ให้พุทธบริษัทได้รับทราบ ตามความเป็นจริง เพื่อจะได้ตอบปัญหา ที่เกิดขึ้นนี้ได้ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ ใช่หรือไม่...???

เรามาดูกันที่หนังสือ "กรณีธรรมกาย" (ฉบับคัดตัวอย่าง หน้า ๑) ข้อ ๒ ที่ว่า วัดพระธรรมกายสอนผิด เพราะ

"สอนเรื่องธรรมกาย อย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตน เป็นอัตตาของพระพุทธเจ้า มากมาย หลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ใน อายตนะนิพพาน"

แต่โดยพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกเถรวาทนั้น ปรากฏพบว่า นิพพาน เป็นที่อาศัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายในอดีต นับไม่ถ้วน ในเรื่องนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้ ต่อภิกษุสงฆ์ ณ เชตวันวิหาร ปรากฏในพระไตรปิฎก (บาลี จตุกฺก. อํ.๒๑/๒๕/๒๑) ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ที่ต้นไทร เป็นที่พักร้อนของเด็กเลี้ยงแพะ คราวเมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเร้นอยู่ ณ ที่สงัด เกิดปริวิตกในใจว่า ผู้อยู่ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่พึ่งพำนัก ย่อมเป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพสมณะ หรือ พราหมณ์คนใดหนอ แลอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น

ภิกษุทั้งหลาย ความรู้สึกอันนี้ได้เกิดแก่เราว่า เรามองไม่เห็น สมณะ พราหมณ์ อื่นใดในโลกนี้ และเทวโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์พร้อม ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยวิมุตติ ยิ่งกว่าเรา ซึ่งเราควรสักการะเคารพ แล้วเข้าไปอาศัยอยู่

ภิกษุทั้งหลาย ความคิดอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าไฉน ธรรมอันใด ที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราพึงสักการะ เคารพธรรมนั้น เข้าไปอาศัยแล้วอยู่เถิด vภิกษุทั้งหลาย สหัมบดีพรหม...น้อมอัญชลีเข้ามา แล้วกล่าวกับเราว่า "ใช่แล้ว พระผู้มีพระภาค อย่างนั้นแหละ พระสุคต ข้าแต่พระองค์ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ล่วงไปแล้วในอดีต ก็ได้สักการะพระธรรมนั่นเอง แลเข้าไปอาศัยอยู่ แม้จักมาตรัสรู้ข้างหน้า ก็จักสักการะ เคารพธรรมนั่นเอง แลเข้าไปอาศัยอยู่

ข้าแต่พระองค์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ขอจงสักการะ เคารพธรรมนั่นแหละ แลเข้าไปอาศัยอยู่เถิด"

โดยพระสูตรนี้แสดงให้เห็นชัดว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนไปชุมนุมกันอยู่ ณ ที่เดียวกันนี้ โดยมิอาจปฏิเสธได้ โดยพระไตรปิฎก (หากเรายังยึดถือ พระไตรปิฎกบาลีเถรวาทว่าถูกต้อง) ใช่หรือไม่ ?

สิ่งนี้จึงต้องกราบระลึกถึงบรรพบุรุษชาวสยาม ที่ได้ถวายข้าวพระพุทธ มาเป็นประเพณี และวัตรปฏิบัติ ของชาวพุทธตลอดมา ท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชน คงเคยอาราธนา "ถวายข้าวพระพุทธ" ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า บรรพบุรุษของเรานั้น ท่านได้ศึกษาพระพุทธศาสนา ทั้งด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างกระจ่างแจ้ง แม้แต่พระมหากษัตริย์ ในยุคสุโขทัย ผู้รจนาไตรภูมิพระร่วง (ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ก็กล่าวคัดค้าน เรื่องความเชื่อใน นรก - สวรรค์) ก็ยังได้ระบุถึงพุทธภูมิ ไว้อย่างละเอียด อีกทั้งได้สืบทอด การถวายข้าวพระพุทธ อันหมายถึง พระพุทธเจ้า มีแม้กระทั่งคำถวายข้าวพระพุทธในหนังสือสวดมนต์ ทั้งฉบับหลวงด้วยซ้ำไป และเป็นประเพณีหนึ่งในพิธีการทำบุญ ของชาวสยาม ตราบเท่าปัจจุบัน แม้กระทั่งพระธรรมปิฎก ก็ทราบดีถึงประเพณี และระเบียบปฏิบัติ ของชาวพุทธนี้ นี่เป็นลักษณะ ของการสร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม ทำลายขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีของชาติ หากมิใช่เช่นนั้นคือเช่นไร ???

จากที่ได้อธิบายมาแล้วนั้น ก็คงมีคนสงสัยอีกแหละว่า ที่ว่าธรรม ตามที่กล่าวในพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้า จะเข้าไปอาศัยได้อย่างไร ในชีวิตนี้ หรือภพปัจจุบันนี้ ? สิ่งนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสกับ วัสสการพราหมณ์ ที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ดังปรากฏในพระไตรปิฎก บาลีเถรวาท (บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๕/๓๕) ว่า

"...เราแล เป็นผู้ทำให้แจ้งได้ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะอันสิ้นแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงแล้ว และอยู่ในวิหารธรรมนั้น ในภพอันเป็นปัจจุบันนี้ ดังนี้ "

นอกจากนั้น ยังสามารถยืนยันได้ว่า นิพพาน เป็น ภพ และอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถเห็นได้ ในชีวิตปัจจุบัน ตามที่พุทธองค์ ตรัสแก่นิโครธปริพาชก ณ อุทุมพริกาปริพพาชการาม กรุงราชคฤห์ ปรากฏในพระไตรปิฎก บาลีเถรวาท (บาลี อุทุมพริกสูตร ปา. ที.๑๑/๕๘/๓๑) ว่า

"นิโครธะ เรากล่าวอยู่อย่างนี้ว่า จงมาเถิด บุรุษผู้เป็นวิญญูชน ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มี สัญชาติแห่งคนตรง เราพร่ำสอนอยู่ แสดง ธรรมอยู่ เธอปฏิบัติอยู่อย่างที่เราสอน ก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ (บรรลุอรหัตผล) อันไม่มีอะไร ยิ่งไปกว่า อันเป็นสิ่งที่ กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ด้วยเรือนโดยชอบ ปรารถนาอยู่ ได้อยู่ในภพ อันตนเห็นแล้วนี้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ของตนเอง เข้าถึงแล้วและอยู่ได้ ในชั่วเวลา ๗ วัน"

อาจจะมีผู้คัดค้านอีกนั่นแหละว่า นิพพาน ไม่มีสภาพ เป็นความว่าง จะเป็นภพได้อย่างไร เพราะภพนั้น เป็นสภาพ หรือเป็นสภาวะ ผมพูดอย่างนี้ ขัดต่อหลักพุทธศาสนา จาบจ้วงพระธรรมวินัย ทำให้ศาสนาวิปริต ไปอีกแล้วกระมัง พุทธศาสนิกชน อย่าลืมว่า สภาวธรรมทั้งหลาย อันได้กล่าวถึง ในพุทธศาสนานั้น ล้วนเป็น อนิจจัง คือ วัฏฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เที่ยง ทางปฏิบัติตามพุทธศาสนานั้น พระพุทธองค์ท่านสั่งสอนให้ปฏิบัติ เพื่อให้พ้นจาก วัฏฏสงสาร ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ไหลไปตามกระแสสภาวธรรมนั้นๆ ดังนั้น นิพพาน จึงไม่ใช่สภาวธรรมแห่งวัฏฏะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พ้นไปจากสภาวะนี้ โดยสิ้นเชิง นี่คือแนวทางของพุทธศาสนา

ฉะนั้นนิพพาน เป็นที่ทวนกระแสแห่งการไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ นิพพานเป็นความว่าง คำว่า ว่างในที่นี้คือว่าง หรือปราศจาก อาสวะทั้งปวง (ไม่ใช่หมายถึง ว่างเปล่า เหมือนขวดเปล่า) ดังได้กล่าวไปแล้วว่า นิพพาน เป็น ภพ (ตามพระไตรปิฎก)


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)