ประวัติ - การเกิด , ความเป็นอยู่ และปราสาทแก้ว ๗ ชั้น
    ประวัติ - ทรัพย์สมบัติของท่านนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถนำได้ ถ้าไม่ได้อนุญาต
    บุพกรรม - เหตุที่ทำให้เป็นผู้มีปราสาทที่สวยงาม มีทรัพย์มากและทรัพย์นั้นไม่มีผู้ใดสามารถนำไปได้ คือ ตอนที่ ๑ /// ตอนที่ ๒


    ประวัติ - การเกิด , ความเป็นอยู่ และปราสาทแก้ว ๗ ชั้น

    ท่านโชติกะถือกำเนิดในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ซึ่งนครนี้มีพระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร
    ในวันที่ท่านเกิดนั้น สรรพาวุธทั้งหลายในพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์แล้ว แม้เครื่องประดับ คือ อาภรณ์ทั้งหลายที่สวมกายของบรรดาปวงชนทั้งหลาย ก็เป็นราวกับว่ารุ่งโรจน์ คือ มีแสงสว่างโชติช่วง เปล่งรัศมีออกจากทุกคน พระนครนั้นสว่างไสวไปหมด แล้วท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาของท่านก็ได้ไปสู่ที่บำรุงของพระราชาแต่เช้าตรู่
    คราวนั้นพระราชาได้ตรัสถามบิดาของท่านว่า วันนี้สรรพาวุธทั้งหลายรุ่งโรจน์เป็นแสงสวยแล้ว พระนครทั้งหมดก็รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน ท่านทราบเหตุเรื่องนี้ไหม บิดาของท่านก็กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทราบพระพุทธเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า เป็นเพราะอะไรจึงได้เป็นอย่างนั้น บิดาของท่านกล่าวว่าทาสของพระองค์ เกิดในเรือนของข้าพระพุทธเจ้า พระเจ้าข้า ความรุ่งโรจน์นั้นได้มีแล้ว ด้วยเดชแห่งบุญของเขานั้นแล
    พระราชาจึงได้ตรัสถามว่า เขาจะเป็นโจรกระมัง บิดาของท่านก็กราบถวายบังคมว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้อนั้นไม่มี สัตว์ผู้มีบุญได้ทำอภินิหารแล้วพระพุทธเจ้าข้า พระราชาจึงตรัสว่าถ้ากระนั้น เธอเลี้ยงเขาไว้ให้ดี จึงจะเป็นการสมควร เงินทองส่วนนี้จงเป็นค่าน้ำนมสำหรับเขา โดยพระราชาทรงตั้งทรัพย์ค่าเลี้ยงดูสำหรับเลี้ยงดูท่านซึ่งยังเป็นเด็กพึ่งเกิดในวันนั้นวันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ
    ครั้นในวันตั้งชื่อ บรรดาประชาชนทั้งหลายจึงได้ตั้งชื่อของท่านว่า โชติกะ (โชติกะ แปลว่ารุ่งโรจน์) เพราะเหตุว่าทำพระนครทั้งสิ้นให้รุ่งโรจน์ มีแสงสว่างในวันที่ท่านเกิด
    ต่อมาในเวลาที่ท่านเติบโตแล้ว ชนทั้งหลายจึงจับจองทำพื้นที่ เพื่อต้องการจะปลูกเรือนสำหรับท่าน ซึ่งทำให้ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน ท้าวโกสียสักกเทวราช (พระอินทร์) ใคร่ครวญดูว่า นี่มันเหตุอะไรหนอ ก็ทรงทราบว่า ชนทั้งหลายกำลังจับจองที่สำหรับปลูกเรือนให้ท่านโชติกะ ท้าวสักกะทรงดำริว่า โชติกะนี้ จะไม่อยู่ในเรือนที่ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำแล้ว การที่เราไปในที่นั้น จึงเป็นการสมควร
    แล้วก็เสด็จไปที่นั้นด้วยเพศแห่งนายช่างไม้ แล้วจึงตรัสว่า พวกท่านทำอะไรกัน คนทั้งหลายเหล่านั้นก็กล่าวว่า พวกฉันจับจองที่จะปลูกเรือนสำหรับโชติกะ ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) จึงตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป โชติกะนี้ จะไม่อยู่ในเรือนที่ท่านทั้งหลายปลูก แล้วก็ทรงทอดพระเนตรแลดูภาคพื้น มีปริมาณ ๑๖ กรีส ทรงใช้ฤทธิ์ของท่าน ปรับพื้นที่นั้นให้สม่ำเสมอกัน แล้วท้าวสักกเทวราชก็ทรงดำริว่าขอปราสาท ๗ ชั้นที่สำเร็จไปด้วยแก้ว ๗ ประการ จงชำแรกแทรกแผ่นดินขึ้นมา ณ ที่นี้ แล้วปราสาทที่สวยงามดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นมา
    จากนั้นท้าวสักกเทวราชาก็ทรงดำริอีกว่า ขอกำแพง ๗ ชั้น ที่สำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ จงปรากฏขึ้นแวดล้อมปราสาทนี้แล้วกำแพงสวยงามดังกล่าวก็ปรากฏขึ้น ท้าวสักกเทวราชก็ดำริต่อไปว่าขอต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จงผุดขึ้นในที่สุดรอบกำแพงนั้น (ต้นกัลปพฤกษ์ คือ ต้นไม้ที่ใครปรารถนาอยากได้อะไรก็ได้ อยากได้เพชร สอยลงมา ก็เป็นเพชร อยากได้ผ้า สอยลงมาก็เป็นผ้า) แล้วต้นกัลปพฤกษ์ก็เกิดขึ้นที่นั้น จากนั้นท้าวสักกเทวราชก็ดำริว่า ขอขุมทรัพย์ทั้ง ๔ จงผุดขึ้นที่ ๔ มุมแห่งปราสาทแล้วขุมทรัพย์สมบัติ ๔ ขุมก็เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละขุมมีขนาดดังนี้ คือ ขุมหนึ่งประมาณ ๑ โยชน์, อีกขุมประมาณ ๓ คาวุต, อีกขุมประมาณ กึ่งโยชน์ และ อีกขุมประมาณ ๑ คาวุต
    แล้วนอกจากนั้นท้าวสักกเทวราชยังดำริให้มีซุ้มประตูถึง ๗ ซุ้ม รอบปราสาท ๗ ชั้นนั้น ซึ่งแต่ละซุ้มประตูจะมีเทวดายืนทำการรักษาประตูไว้ โดย -
    ซุ้มประตูที่ ๑ มีเทวดาชื่อว่า ยมโมลี พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๑,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๒ มีเทวดาชื่อว่า อุปปละ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๒,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๓ มีเทวดาชื่อว่า วชิระ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๓,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๔ มีเทวดาชื่อว่า วชิรพาหุ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๔,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๕ มีเทวดาชื่อว่า สกฏะ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๕,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๖ มีเทวดาชื่อว่า สกฏัตถะ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๖,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    ซุ้มประตูที่ ๗ มีเทวดาชื่อว่า ทิสามุขะ พร้อมไปด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ๗,๐๐๐ ตน รักษาประตูอยู่
    เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบว่ามีปราสาท ๗ ชั้นที่สำเร็จไปด้วยแก้ว ๗ ประการมีกำแพงแก้ว ๗ ชั้น มีซุ้ม ๗ ซุ้ม มีขุมทรัพย์ ๔ ขุม เกิดขึ้นแล้วเพื่อท่านโชติกะ พระราชาจึงได้ทรงส่งฉัตรตำแหน่งของมหาเศรษฐี ไปให้ท่านโชติกะ (สมัยนั้นคนที่จะเป็นมหาเศรษฐี พระราชาต้องแต่งตั้งให้) ทำให้ท่านเป็น "โชติกเศรษฐี"
    ปรากฏว่า มีหญิงนางหนึ่ง นามว่า สตุลกายะ ซึ่งเป็นผู้ที่มีบุญกรรมอันกระทำไว้แล้วกับท่านเศรษฐีในชาติก่อนนั้น ได้เกิดขึ้นใน อุตตรกุรุทวีป (เป็นทวีปที่อยู่คนละโลกกับโลกของเรา แต่ว่าอยู่ในเขตของจักรวาลมนุษย์ ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ และสวยสดงดงามมาก ผู้คนที่นี่เขาไม่ใช้ไฟหุงต้ม เขาใช้แก้วมณี แสงสว่างทั้งหมดก็ใช้ด้วยอำนาจของแก้วมณี และแต่ละคนก็มีแก้วมณีติดกาย ทำให้แสงสว่างเกิดขึ้นรอบกาย แลดูสวยสดงดงามมาก ดังนั้นคนที่นี่จึงไม่รู้จักไฟ หรือแสงสว่างที่เกิดจากไฟ)
    ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ครั้งนั้น เทวดานำนาง สตุลกายะ นี้มาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ก็ให้อยู่ในห้องหนึ่งที่สวยงามและเป็นมงคล
    เมื่อมา แม่นางผู้นี้ ก็ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลาอันลุกโพลง ๓ แผ่น (แผ่นหินนี้ก็ คือ แก้วมณี ไม่มีเปลวไฟ มีแต่แสงออกมา) ซึ่งอาหารสำหรับจะทาน ก็ปรากฏขึ้นในทะนานข้าวสารนั้นตลอดชีวิต คือ ไม่จำเป็นต้องทำงานหรือต้องหาซื้อ เมื่อเวลาที่ต้องการจะทานข้าว ข้าวก็เกิดขึ้นในทะนานนั้น ต้องการจะทานขนมหรืออาหารชนิดใด สิ่งที่ต้องการนั้นก็เกิดขึ้นในทะนานนั้น โดยเวลาที่จะหุงอาหารก็เพียงใส่ข้าวสารลงไปในหม้อ แล้วก็วางไว้บนแผ่นศิลานั้น แล้วแผ่นศิลาก็ลุกโพลงขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง เมื่ออาหารสุกแล้ว แสงสว่างก็ดับไป ก็จะรู้ว่าอาหารสุกแล้ว หรือถ้าต้องการจะแกงก็ทำวิธีเดียวกัน
    ตามพระบาลีท่านกล่าวต่อไปว่า สมบัติของท่านโชติกเศรษฐีนั้นมีมากถึงประการดังนี้ ได้ปรากฏไปทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้น (คือ ความรวยของท่านได้ดังไปทั่ว) บรรดามหาชนทั้งหลาย ต่างพากันมาเพื่อดูทรัพย์สินของท่าน
    ท่านมหาเศรษฐี ได้สั่งให้หุงต้มอาหาร ด้วยอาหารจากทะนานที่นำมาจาก อุตตรกุรุทวีป แล้วให้แจกจ่ายแก่บุคคลทั้งหลายที่มาชมบ้านชมเมืองของท่าน แล้วก็บอกว่า ท่านทั้งหลาย จงถือเอาผ้า จงถือเอาเครื่องประดับจากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จากนั้นท่านมหาเศรษฐีก็เปิดปากขุมทรัพย์ ขุมหนึ่งที่มีขนาดประมาณ ๑ คาวุต แล้วก็บอกว่าท่านทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอแก่ยังอัตภาพที่สามารถจะนำไปได้ (คือเอาไปเท่าที่สามารถเอาไปได้) เป็นอันว่า บรรดาชนทั้งหลายในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอาทรัพย์ไป แต่ปากแห่งขุมทรัพย์ก็มิได้พร่อง หรือลดลงเลย
    ในกาลต่อมาเมื่อบุคคลที่มาปราสาทของท่านมหาเศรษฐีน้อยลง พระราชามีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของท่านโชติกเศรษฐี จึงได้ตรัสกับบิดาของท่านมหาเศรษฐีว่า ฉันมีความประสงค์จะชมปราสาทบุตรของท่าน บิดาของท่านจึงได้กราบทูลว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า แล้วบิดาของท่านก็บอกกับท่านว่า พ่อ พระราชามีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของเธอ ท่านมหาเศรษฐีรับคำจากบิดาว่า ดีละ คุณพ่อ ขอพระองค์จงเสด็จมาเถิด
    พระราชาได้เสด็จไปที่ปราสาทของท่านพร้อมกับพระราชกุมารอชาตศัตรู และพร้อมไปด้วยข้าราชบริพารอีกเป็นอันมาก เมื่อไปถึงก็ทรงทอดพระเนตรเห็น ทาสี (ทาสผู้หญิง) ผู้ปัดกวาดหยากเยื่อที่ซุ้มประตูที่หนึ่ง ซึ่งนางนั้นได้ถวายมือแด่พระราชา (ไหว้พระราชา) พระราชาทรงละอาย ด้วยสำคัญว่า หญิงนั้นคือภรรยาของท่านมหาเศรษฐี เพราะนางมีความงามมาก และแม้ที่ซุ้มประตูที่เหลือทั้งหลาย ที่มีทาสีอยู่ พระราชาก็สำคัญว่าเป็นภรรยาของท่านมหาเศรษฐีทั้งหมด
    ท่านมหาเศรษฐีได้ออกมาต้อนรับพระราชา พร้อมทั้งถวายบังคมแล้วก็มานั่งอยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปข้างหน้าเถิดพระพุทธเจ้าข้า - แต่แผ่นดินที่ประดับไปด้วยแก้วมณี ย่อมปรากฏแก่พระราชาเป็นเสมือนกับเหวลึกตั้ง ๑๐๐ ชั่วคน (หมายความว่าแผ่นดินทั้งผืน ที่ใช้สร้างปราสาท ต่างมีแก้วมณีเต็มไปหมด แล้วเพราะแก้วมณีใสมาก มองไปแล้วเหมือนกับเป็นเหวลึก) พระราชาจึงคิดว่า โชติกะนี้ขุดบ่อไว้เพื่อต้องการจะจับเรา พระราชาท่านจึงบอกว่า ท่านไม่อาจที่จะเสด็จไปได้เพราะเกรงว่าจะตกหลุม ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพข้างหน้านี้ไม่ใช่บ่อหรือหลุม พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์เสด็จไปข้างหลังข้าพระพุทธเจ้าเถิดพระเจ้าข้า แล้วท่านมหาเศรษฐีก็นำเสด็จพระราชาไป ซึ่งพระราชาทรงเหยียบพื้นในบริเวณที่ท่านมหาเศรษฐีเหยียบแล้ว เสด็จเที่ยวทอดพระเนตรปราสาททุกชั้น ซึ่งมีความสวยสดงดงามมาก
    คราวนั้น พระราชกุมารอชาตศัตรู ทรงจับองคุลีของพระราชบิดา (จับนิ้วมือของพระเจ้าพิมพิสาร) เสด็จเที่ยวไปอยู่ ทรงดำริว่า โอ..หนอ ทูลกระหม่อมของเราเป็นคหบดี ยังอยู่ปราสาทที่ทำด้วยแก้ว ๗ ประการนี้ได้ บิดาของเราเป็นถึงพระราชา ยังประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรที่ทำด้วยไม้ เมื่อเราเป็นพระราชาแล้ว จักไม่ให้คหบดีผู้นี้อยู่ในปราสาทหลังนี้ (ความเป็นอันธพาลของพระราชกุมารอชาตศัตรู เริ่มตั้งแต่เป็นเด็ก อิจฉาท่านโชติกเศรษฐี คิดว่า ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเมื่อไร จะยึดปราสาทหลังนี้มาเป็นของตน)
    เมื่อพระราชากำลังเสด็จอยู่ที่พื้นปราสาทนั่นเองเป็นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า พระราชาตรัสเรียกท่านมหาเศรษฐีแล้วตรัสว่า พวกเราจักบริโภคอาหารเช้าในที่นี้ ท่านมหาเศรษฐีกราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่ พระกระยาหารสำหรับสมมติเทพ ข้าพระองค์เตรียมไว้แล้วพระพุทธเจ้าข้า
    พระราชาทรงสรงสนาน (อาบน้ำ) ด้วยน้ำหอม ๑๖ หม้อ แล้วประทับบนบัลลังก์ อันเป็นที่นั่งของท่านโชติกเศรษฐี ซึ่งทำด้วยแก้วมณีเช่นกัน
    ครั้งนั้น บุรุษทั้งหลาย ถวายน้ำสำหรับล้างพระหัตถ์แล้ว ก็คดข้าวปายาสที่เปียก จากภาชนะทองคำที่มีค่าได้แสนหนึ่งวางไว้ตรงหน้าพระพักตร์ พระราชาทรงเริ่มเสวย ด้วยมีความสำคัญว่าเป็นโภชนะ (อาหารสำหรับเสวย) ท่านมหาเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี่ไม่ใช่โภชนะพระพุทธเจ้าข้า อันนี้เป็นข้าวปายาสเปียก ซึ่งข้าวนี้มีไว้สำหรับรองรับโภชนะ (ถ้าเป็นบ้านอื่น ข้าวปายาสก็คืออาหาร แต่ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่น) การบริโภคโภชนะ ด้วยไออุ่นที่ฟุ้งขึ้นมากจากภาชนะข้าวปายาสเปียกนั้น ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสบาย พระพุทธเจ้าข้า
    เมื่อพระราชาเสวยโภชนะที่มีรสอร่อย ก็มิได้ทรงรู้จักประมาณ ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูล ว่าพอเถิดพระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้พอแล้ว พระองค์ไม่ทรงสามารถ เพื่อจะบริโภคให้ยิ่งไปกว่านี้ได้ พระราชาจึงตรัสถามว่า คหบดี เธอมีความหนักใจหรือ (กลัวสิ้นเปลืองหรือ) จึงได้ทูลทัดทานเราอย่างนี้
    ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า ข้อนั้นหามิได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าภัตรเพื่อหมู่พลของพระองค์แม้ทั้งหมดก็แบบนี้ แกงก็แบบนี้เช่นกัน มีเพียงพอสำหรับทุกคน แต่ทว่าข้าพระองค์กลัวแต่ความเสื่อมยศ พระราชาทรงถามว่า ที่ฉันกินแบบนี้ มันจะเสื่อมยศอย่างไร ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทุลว่า ด้วยเหตุสักว่า ความอึดอัดแห่งพระวรกายจะพึงมีแก่สมมติเทพ ข้าพระองค์กลัวแต่คำตำหนิว่าวานนี้พระราชาทรงเสวยพระกระยาหารในเรือนของท่านมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีคงจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งถวายเป็นแน่ พระราชาจึงทรงพระประชวร
    พระราชาจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงนำอาหารกลับไปและจงนำน้ำมา และเวลาที่เสร็จภัตตกิจแห่งพระราชา ข้าราชบริพารทั้งหมดก็ทานของที่พระราชาทรงเสวย (ที่บ้านนี้เขาไม่ได้แยกว่าพ่อบ้านแม่เรือนทานอย่างนี้ คนรับใช้ทานอย่างนี้ เพราะความเป็นมหาเศรษฐีของเขา ทุกคนจึงได้ทานเหมือนกัน)
    เมื่อพระราชาทรงประทับนั่งสนทนาปรารภถึงความสุข ตรัสเรียกท่านมหาเศรษฐี แล้วตรัสว่า ภรรยาของท่านในเรือนนี้ไม่มีหรือ (ความจริง พระราชาเห็นทาสี ที่หน้าประตูซุ้มในตอนแรก ก็เข้าใจว่าเป็นภรรยาของท่านมหาเศรษฐีแล้ว แต่พอเข้ามาในปราสาทเห็นว่าคนที่นี่ไม่มีใครที่ไม่ประดับประดาร่างกายด้วยแก้ว ๗ ประการ แม้แต่คนใช้เทกระโถน ก็แต่งตัวดีเช่นกัน จึงได้มีความสงสัย) ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่ามีพระพุทธเจ้าข้า พระราชาจึงตรัสถามว่า เวลานี้ภรรยาของท่านอยู่ที่ไหน ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า นางนั่งอยู่ในห้องอันมีสิริ ยังไม่ทราบเกล้าว่า องค์สมมติเทพเสด็จมาพระพุทธเจ้าข้า
    ลำดับนั้นท่านโชติกเศรษฐีรู้ว่า พระราชามีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรภรรยาของตน จึงไปสำนักของภรรยาแล้วบอกว่า พระราชาเสด็จมาแล้ว การที่เธอจะเข้าไปเฝ้าพระราชา เธอเห็นว่า สมควรหรือไม่สมควรประการใด (คือ ท่านเศรษฐีมีประชาธิปไตย ถามภรรยาก่อนว่า ควรจะไปเฝ้าพระราชาไหม) นางจึงกล่าวว่า นาย ชื่อว่าพระราชาเป็นอย่างไร (นางไม่รู้จัก เพราะนางอยู่อย่างมีความสุขมาก ไม่เคยต้องเดือดร้อนเรื่องเสียภาษี อยากได้อะไรก็มีต้นกัลปพฤกษ์ให้) ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า คนที่เป็นใหญ่ของพวกเรา ชื่อว่า พระราชา
    นางจึงพูดว่า พวกเรามีแม้บุคคลผู้เป็นใหญ่ นับว่าทำบุญกรรมทั้งหลายไว้ไม่ดีหนอ จึงถึงสมบัติอันเกิดแล้วในท้องที่ของชนอื่นผู้เป็นใหญ่ (คือ เราคงทำบุญไว้ไม่ดีพอ จึงยังคงมีผู้ที่ใหญ่กว่าอยู่อีก) แล้วนางก็กล่าวว่า นาย บัดนี้ฉันจักทำอย่างไร ท่านมหาเศรษฐีจึงบอกว่า เธอจงถือเอาพัดก้านตาล ไปพัดถวายพระราชา ให้พระราชามีความสุข เมื่อนางถือพัดก้านตาลมาพัดถวายพระราชาอยู่ ลมกลิ่นแห่งภูษาสำหรับพระราชากระทบนัยน์ตาของนาง ทำให้น้ำตาของนางไหลออกจากตา พระราชาทอดพระเนตรเห็นอาการอย่างนั้น จึงตรัสถามกับท่านมหาเศรษฐีว่า ท่านมหาเศรษฐี ธรรมดามาตุคามมีความรู้น้อย ชะรอย จะร้องไห้ เพราะกลัวว่าพระราชาจะยึดเอาสมบัติของสามี ท่านจงปลอบนางว่า เราไม่มีความต้องการได้สมบัติของนาง
    ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นางไม่ได้ร้องไห้ พระพุทธเจ้าข้า น้ำตาของนางไหลออกเพราะกลิ่นแห่งภูษาสำหรับโพกพระเศียรของพระองค์ และภรรยาของข้าพระองค์ไม่เคยเห็นแสงสว่างของประทีป (แสงสว่างของไฟ) ย่อมนั่งและนอนด้วยแสงสว่างของแก้วมณีเท่านั้น ส่วนสมมติเทพคงจักประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งประทีป
    ตอนนี้พระราชาแปลกใจ พระราชาจึงได้ตรัสว่าถูกแล้ว ท่านมหาเศรษฐี ในพระราชฐานเขาใช้ตะเกียง เขาใช้โคมไฟกัน ที่นี่เขาไม่ได้ใช้หรืออย่างไร ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ถ้าเช่นนั้นจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไปขอพระองค์จงประทับนั่ง ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี แล้วก็ได้ถวายแก้วมณีอันมีค่ามาก ใหญ่ประมาณเท่ากับผลแตงโม
    พระราชาทรงทอดพระเนตรปราสาทและทรัพย์สมบัติต่างๆของท่านมหาเศรษ,ฐีแล้ว ทรงตรัสว่าสมบัติโชติกะนี้มากจริงๆน่ะ แล้วก็ทรงเสด็จกลับพระราชวัง

    (กลับไปหน้าบนสุด)


    ประวัติ - ทรัพย์สมบัติของท่านนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถนำได้ ถ้าไม่ได้อนุญาต

    ดูตัวอย่างได้จาก ตอนที่พระราชกุมารอชาตศัตรู ได้ขึ้นครองราชเป็นพระเจ้าอชาตศัตรู แทนพระราชบิดาแล้ว (พระราชกุมารได้สมคบกับพระเทวทัตปลงพระชนม์พระราชบิดา - พระเจ้าพิมพิสารแล้วดำรงอยู่ในราชสมบัติแทน) คิดจะยึดเอาปราสาทของท่านโชติกเศรษฐี ไปเป็นของตน
    เมื่อพระราชาต้องการปราสาทท่านโชติกเศรษฐี คือ ปราสาทที่ประกอบไปด้วยแก้ว ๗ ประการ จึงได้ทรงเตรียมการรบ แล้วก็เสด็จไปยังปราสาท พอทอดพระเนตรเห็นพระฉายของพระองค์ (เงา) พร้อมด้วยบริวาร ที่กำแพงแก้วแล้วเข้าพระทัยว่า คหบดีเป็นผู้เตรียมการรบคุมพลออกมาแล้ว จึงไม่ทรงสามารถจะเสด็จเข้าไปได้
    ความจริงในวันนั้น ท่านมหาเศรษฐี ไม่ได้ยกทัพไป แต่เป็นผู้รักษาอุโบสถศีล โดยท่านบริโภคอาหารเช้าแต่เช้าตรู่ แล้วก็ไปสู่พระมหาวิหาร นั่งฟังพระธรรมเทศาอยู่ในสำนักขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ด้วยเพราะอำนาจวาสนาบารมีที่ท่านมหาเศรษฐีสั่งสมมา จึงทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าใจผิด
    ฝ่ายเทวดาที่ชื่อ ยมโมลี ผู้ซึ่งเฝ้าซุ้มประตูที่หนึ่งอยู่นั้น พอเห็นพระเจ้าอชาตศัตรู และทราบว่า พระราชาคิดจะเข้ามายึดปราสาท จึงจัดการขับไล่พระราชาพร้อมไปด้วยบริวารติดตามให้ไปในทิศน้อย ทิศใหญ่
    เมื่อพระราชาพร้อมด้วยบริวารหนีไปแล้ว เทวดาก็ยังไม่หยุด ยังคิดจะปราบปรามพระราชาอันธพาลโดยทำให้กลัว ให้เข็ดหลาบ ฝ่ายพระราชาเมื่อไม่รู้จะหนีไปไหน หนีเทวดาไม่ทัน จึงได้หนีไปสู่พระมหาวิหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ท่านมหาเศรษฐีเมื่อเห็นพระราชา จึงทูลถามว่า พระองค์เสด็จมาเพื่ออะไรกันพระพุทธเจ้าข้า แล้วจึงได้ลุกจากอาสนะยืนต้อนรับ แสดงความเคารพในฐานะที่พระองค์เป็นพระราชา พระราชาจึงได้กล่าวว่า ท่านคหบดี ท่านบังคับบุรุษของท่านว่าจงรบกับเรา แล้วมาที่นี่ มานั่งทำเป็นเหมือนว่า ฟังธรรมอยู่อย่างนั้นหรือ ท่านมหาเศรษฐีจึงได้กล่าวว่า ก็สมมติเทพเสด็จไปเพื่อจะยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ใช่หรือไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า พระราชาตอบว่า เออ.. ใช่ เราต้องการอย่างนั้น
    ท่านมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพันพระองค์ และมีกองทัพมากกว่านี้อีกพันเท่าก็ไม่สามารถเพื่อจะยึดเอาเรือนของข้าพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าข้าพระองค์ไม่พึงปรารถนา (คือ ถ้าไม่ให้ใครก็เอาไปไม่ได้) จึงทำให้พระราชาทรงกริ้ว แล้วตรัสว่า ก็ท่านจักเป็นพระราชาหรือ (หมายความว่า ที่พูดอย่างนี้ แสดงว่าท้าทาย คิดจะกบฏ ใช่ไหม)
    ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาเป็นพระราชา แต่ทว่าพระราชาก็ดี โจรก็ดีหรือพระราชาที่เป็นโจรก็ดี ไม่สามารถจะถือเอาแม้เส้นด้ายที่ชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ เมื่อพระราชาได้ฟังดังนั้นแล้วท่านก็ตรัสว่า ก็ฉันจักถือเอาตามความชอบใจ ท่านจะว่าอย่างไร
    ท่านมหาเศรษฐีก็กล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น แหวน ๒๐ วงเหล่านี้ ที่นิ้วมือทั้ง ๑๐ ของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ (คิดว่า คงใส่นิ้วละ ๒ วง) ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาจะถวายแหวนเหล่านี้แก่พระองค์ ถ้าพระองค์ทรงสามารถก็เชิญพระองค์ถือเอาให้ได้เถิดพระพุทธเจ้าข้า
    พระราชาได้ฟังอย่างนั้น ก็เข้าไปหมายจะถอดแหวนจากนิ้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถถอดแหวนออกได้แม้สักวงหนึ่ง ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า ขอพระองค์จงลาดผ้าสาฏก ที่มีราคาแพงไว้ จากนั้นท่านเศรษฐีก็ทำนิ้วทั้งหลายเหล่านั้นให้ตรง แหวนแม้ทั้ง ๒๐ วงก็หลุดลงไปบนผ้าสาฏกโดยที่ไม่ต้องใช้มืออีกข้างช่วยถอดเลย
    ลำดับนั้นท่านมหาเศรษฐีกราบทูลกับพระราชาว่า ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะถือเอาสมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ได้ เพราะว่า ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาจะให้ กล่าวดังนี้แล้ว ท่านเศรษฐีก็เกิดความสลดใจแก่พระอริยาบทของพระราชา ที่พยายามจะถอดแหวนของตน จึงได้กราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตเพื่อการบวชแก่ข้าพระองค์ (เพราะมหาเศรษฐีนี่พระราชา - พระเจ้าพิมพิสาร ทรงตั้ง ดังนั้นต้องขออนุญาตพระราชาก่อนจึงบวชได้)
    พระราชาก็ดำริว่า เมื่อเศรษฐีนี่บวชแล้ว เราก็จะยึดเอาปราสาทได้สะดวก จึงได้ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงบวชเถิด ด้วยพระดำรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ท่านมหาเศรษฐีก็บวชในสำนักขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และในกาลต่อมาไม่นานนักท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล มีนามว่า "พระโชติกเถระ"
    ถึงแม้ท่านเศรษฐีจะออกบวชแล้วก็ตาม พระราชาก็ยังคงมิสามารถยึดถือเอาทรัพย์สมบัติของท่านได้ และในเวลาที่ท่านบรรลุอรหัตผลนั่นเอง สมบัติทั้งหลายที่เป็นของท่านก็อันตรธานไป บรรดาเทวดาก็นำภรรยาของท่านกลับไปสู่อุตตรกุรุทวีป บ้านเดิมของนาง
    ตามพระบาลีท่านกล่าวต่อว่า ต่อมาวันหนึ่งบรรดาภิกษุทั้งหลาย (ซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า) ได้เรียกพระโชติกะมา แล้วถามว่า โชติกะผู้มีอายุ ก็ตัณหาในปราสาท หรือว่าในหญิงนั้นของท่าน ยังมีอยู่หรือ (หมายความว่า ความต้องการหรือความรักในปราสาทหรือว่าภรรยาของท่านนั้นยังมีอยู่ไหม)
    พระโชติกเถระก็ตอบว่า ไม่มีความรู้สึกแล้ว ท่านผู้มีอายุ ทรัพย์สมบัติก็ดี แม้ภรรยาก็ดี ไม่มีความต้องการในผม ผมไม่มีความรู้สึก บรรดาภิกษุเหล่านั้น ก็เข้าใจว่า พระโชติกเถระ พยากรณ์ความเป็นพระอรหันต์ จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า โชติกะนี้กล่าวไม่จริง พยากรณ์ตนเป็นอรหันต์
    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นเลย ดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาว่า "ผู้ใดละตัณหาได้แล้วในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีเรือน เว้นเสียได้ เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว ว่า เป็นพราหมณ์ (นักบวช)" พอจบพระธรรมเทศนา บรรดาภิกษุและชนทั้งหลายเป็นอันมาก ก็พากันบรรลุอริยมรรค อริยผล มีพระโสดาบันเป็นต้น

    (กลับไปหน้าบนสุด)


    บุพกรรม - เหตุที่ทำให้ท่านเป็นผู้มีปราสาทที่สวยงาม มีทรัพย์มากและทรัพย์นั้นไม่มีผู้ใดสามารถนำไปได้ - ตอนที่ ๑

    ในอดีตกาล มีกุฏุมพีสองคนพี่น้องในกรุงพาราณสี สองพี่น้องนี้พากันทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก ต่อมาวันหนึ่งน้องชาย (คือ พระโชติกเถระ ในอดีต) ไปยังไร่อ้อย คิดว่า เราจักต้องการให้อ้อยลำหนึ่งแก่พี่ชาย ลำหนึ่งเป็นของเรา จึงได้ตัดอ้อย ๒ ลำ แล้วผูกลำอ้อยทั้งสองตรงที่ๆมีการตัด เพื่อไม่ให้รสอ้อย (น้ำอ้อย) ไหลออกมากจากลำต้น
    ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ครั้งนั้น กิจด้วยการหีบ (หนีบ) อ้อยด้วยเครื่องยนต์ไม่มี ในเวลาที่ลำอ้อยที่เขาตัดไป ที่ด้านปลายก็ดี โคนก็ดีเมื่อยกขึ้นแล้ว รสอ้อย (น้ำอ้อย) ย่อมจะไหลออกมาเอง
    ในเวลาที่เขาถือลำอ้อยและเดินไปจากไร่ เป็นเวลาพอดีกับที่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่ที่เขาคันธมาทน์ ท่านออกจากสมาบัติแล้ว จึงมารำพึงว่า วันนี้เราจะได้การสงเคราะห์ (ตักบาตร) จากใครหนอแล เมื่อพิจารณาไปก็ทราบด้วยอำนาจทิพจักขุญาณ(ตาทิพย์) เห็นชายผู้น้องนี้เข้าญาณของท่านและก็ทราบว่า เขาเป็นผู้สามารถที่จะทำการสงเคราะห์ได้เพราะเขามีศรัทธา ท่านจึงถือบาตรและจีวรแล้วก็เหาะไปด้วยฤทธิ์ เมื่อถึงที่ๆใกล้เขาจึงได้เดินมายืนอยู่ข้างหน้าชายผู้น้องนั้น
    เมื่อชายผู้น้องเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใส จึงได้ลาดผ้าห่ม ปูผ้าลงบนพื้นในที่สูงกว่าตน แล้วนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั่งและกล่าวคำว่า ขอพระคุณเจ้านั่งที่นี้เถิดขอรับ แล้วจึงได้กล่าวว่า ขอท่านจงน้อมบาตรมาเถิดขอรับ แล้วเขาจึงได้แก้ปลายอ้อยที่ผูกไว้ วางไว้บนบาตร น้ำอ้อยก็ไหลลงไปเต็มบาตร
    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าฉันน้ำอ้อยนั้นแล้ว เขาจึงคิดในใจว่าดีจริง พระผู้เป็นเจ้าของเรานี้ ฉันน้ำอ้อยของเราแล้ว เราจักถวายน้ำอ้อยจากลำอ้อยที่เป็นของพี่ชาย เพื่อฝากท่านไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ถ้าพี่ชายจักให้นำมูลค่ามา เราก็จักเอา (หมายความว่าถ้าพี่ชายจะให้จ่ายเงินให้ ก็จะให้) หรือถ้าพี่ชายจะไม่เอาด้วยราคา ถ้าเขาจะขอส่วนบุญของเรา เราก็จะให้ส่วนบุญ คิดดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า นิมนต์พระคุณเจ้าน้อมบาตรเข้ามาเถิดขอรับ แล้วก็ถวายน้ำอ้อยจากต้นที่เป็นของพี่ชายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ารับน้ำอ้อยแล้ว ก็นิ่งอยู่ ไม่ได้ฉันน้ำอ้อยนั้น ชายผู้น้องก็ทราบแล้วว่า ท่านทราบความคิดของเขา (คือ ฝากท่านนำไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่น) จึงได้ไหว้ด้วย เบญจางคประดิษฐ์ แล้วตั้งความปรารถนาว่าท่านขอรับ รสอันเลิศนี้ใด ที่กระผมถวายแล้ว ด้วยผลแห่งรสอันเลิศนี้ กระผมพึงเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษย์โลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั้นเถิด
    พระปัจเจกพุทธเจ้าก็กล่าวว่า ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งใจแล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น แล้วท่านก็อนุโมทนาแก่เขาด้วยคาถา ๒ คาถา ว่า อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ เป็นต้น แล้วก็อธิษฐานด้วยอาการที่เขาจะพึงเห็นได้ (คือ อธิฐานจิต ขอให้เขาเห็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไป) ด้วยอำนาจฤทธิ์ของท่าน ท่านก็เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ โดยทางอากาศแล้วถวายรสน้ำอ้อยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ รูป (ด้วยอำนาจของพระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมสามารถทำให้น้ำอ้อยนั้นเพียงพอสำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รุป) ดังที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านได้อธิฐานไว้ เขาจึงสามารถเห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว ก็กลับไปสู่สำนักของพี่ชาย
    เมื่อพี่ชายถามว่า เจ้าไปไหนมา เขาจึงได้บอกว่า ฉันไปตรวจดูไร่อ้อย พี่ชายจึงกล่าวว่า มีประโยชน์อะไรด้วยคนอย่างเจ้าไปไร่อ้อย เมื่อไปไร่อ้อยกลับมาก็ควรจะถืออ้อยมาสักลำหรือสองลำ แต่เจ้ากลับมามือเปล่า เขาจึงบอกกับพี่ชายว่า ถูกแล้วพี่ ที่ถูกควรจะถือลำอ้อยมา ฉันก็เอามาเหมือนกันถือมา ๒ ลำ แต่ระหว่างทางฉันเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงถวายรสน้ำอ้อยของฉันแก่ท่าน เมื่อถวายแล้ว ท่านฉันหมดบาตร จึงได้เอาลำอ้อยของพี่ไปถวายด้วย ก็คิดว่า ถ้าพี่ต้องการเป็นราคาก็จะให้ หากว่า พี่ต้องการเป็นส่วนบุญ ก็จะให้บุญ พี่จะรับเป็นราคาค่าลำอ้อยลำนั้นหรือว่าจะรับเอาส่วนบุญ
    พี่ชายก็ถามว่า ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำอะไร ผู้เป็นน้องก็บอกว่า ท่านดื่มรสจากลำอ้อยของฉันแล้ว ถือเอาน้ำอ้อยของพี่เหาะไปในอากาศไปสู่เขาคันธมาทน์ แล้วก็ได้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป พี่ชายนั้นเมื่อน้องกำลังกล่าวอยู่นั่นแหละเป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว หาระหว่างมิได้ (คือ มีความปลื้มใจ อิ่มใจ จนกระทั่งท่วมท้นใจ หาที่ว่างไม่ได้) พี่ชายจึงได้ทำความปรารถนาว่า การบรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นบรรลุแล้วนั่นแหละเป็นของดีสำหรับเรา (จะเห็นได้ว่า พี่ชายนั้นปรารถนาความเป็นพระอรหันต์เลย แต่น้องชายนั้นปรารถนาเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์มีทรัพย์มาก แล้วต่อไปก็เป็นพระอรหันต์)
    พระบาลีท่านกล่าวต่อไปว่า สองพี่น้องดำรงอยู่ตลอดอายุ แล้วเคลื่อนจากอัตภาพนั้น แล้วไปเกิดในเทวโลก ยังพุทธันดรหนึ่งให้สิ้นไป (คำว่า พุทธันดรหนึ่ง คือ ชั่วระยะพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์หนึ่ง จนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกองค์หนึ่งจะอุบัติขึ้น ซึ่งหาเวลาแน่นอนไม่ได้ ท่านเปรียบไว้ว่า สิ้นเวลาแผ่นดินหนาขึ้นประมาณ ๑ โยชน์ ชื่อว่า "พุทธันดรหนึ่ง")

    (กลับไปหน้าบนสุด)


    บุพกรรม - เหตุที่ทำให้ท่านเป็นผู้มีปราสาทที่สวยงาม มีทรัพย์มากและทรัพย์นั้นไม่มีผู้ใดสามารถนำไปได้ - ตอนที่ ๒

    ต่อมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "วิปัสสี" ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก พี่น้องทั้งสองนั้นเคลื่อนจากเทวโลกแล้ว (คือ จากเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์) ผู้ที่เป็นพี่ชายก็คงเป็นพี่ชาย คนที่เป็นน้องชายก็เป็นน้องชายตามเดิม โดยทั้งสองได้ถือปฏิสนธิในตระกูลแห่งหนึ่งในเมืองพันธุมดีนคร โดยมารดาบิดาได้ให้ชื่อพี่ชายว่า " เสนะ" และให้ชื่อน้องชายว่า "อปราชิต" (คือ พระโชติกะเถระ ในอดีต)
    เมื่อสองพี่น้องเติบโต และกำลังรวบรวมขุมทรัพย์อยู่นั้น ท่านเสนะ (คนพี่) ได้ฟังการป่าวร้องจากอุบาสกผู้โฆษณาธรรมว่าพุทธรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก ธรรมรัตนะเกิดแล้วในโลก สังฆรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก พวกท่านทั้งหลายจงทำบุญด้วยเถิด วันนี้เป็นวันดิถีที่ ๑๔ วันนี้เป็นดิถีที่ ๑๕ พวกท่านจงทำอุโบสถ จงฟังธรรม
    เมื่อท่านเสนะเห็นบรรดามหาชนทั้งหลายถวายทานในกาลก่อนภัตร (คือ ก่อนที่เขาจะทานข้าวกัน ต่างคนต่างก็เอาอาหารไปถวายพระก่อน) แล้วก็กำลังจะไปฟังธรรมในกาลภายหลังภัตร เขาจึงถามบรรดาชนเหล่านั้นว่า พวกท่านจะไปไหน บรรดาชนเหล่านั้นบอกว่า พวกฉันจะไปสู่สำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม เขาจึงพูดว่า ฉันจะไปฟังธรรมเหมือนกัน แล้วก็ไปพร้อมกับบรรดามหาชนเหล่านั้น เมื่อถึง ก็นั่งอยู่ที่สุดของบริษัท (คือ ด้านหลังของคณะ)
    ในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของท่านเสนะ (คนพี่) จึงได้แสดงอนุปุพพีกถา โดยลำดับ (อนุปุพพีกถา ก็มีทาน ศีล อานิสงส์ของการบวช แล้วก็โทษของการเสวยกาม และกล่าวถึงสวรรค์) ท่านเสนะฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเกิดความอุตสาหะทูลขอบรรพชาในพระพุทธศาสนากับพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ก็พวกญาติของท่านจะพึงมีสำหรับที่จะลามีไหม ท่านเสนะก็บอกว่า มีพระพุทธเจ้าข้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า กุฏุมพี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงไปลาเสียก่อน แล้วจึงมา ถ้าญาติของท่าน ไม่อนุญาตเพียงใด ตถาคตบวชให้ไม่ได้
    เมื่อท่านเสนะเข้าไปสู่สำนักของท่านอปราชิต (คนน้อง) แล้ว ก็กล่าวว่า ทรัพย์สมบัติใดที่มีอยู่ในตระกูลนี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนั้นจงเป็นของเจ้า น้องชายจึงถามว่า แล้วพี่เล่า พี่จะไปไหน พี่ชายก็บอกพร้อมกับเดินออกจากบ้านว่า ฉันจะบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้องชายจึงกล่าวพร้อมกับเดินตามว่า พี่พูดอะไร เมื่อมารดาบิดาตายแล้วฉันก็ได้พี่เป็นเหมือนบิดามารดา แล้วพี่จะหนีไปไหน ตระกูลของเรานี้มีโภคสมบัติมาก พี่ดำรงอยู่ในเรือนนี่แหละ ก็สามารถจะทำบุญได้ พี่อย่าบวชเลย พี่ชายจึงกล่าวว่า ฉันฟังธรรมในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ฉันดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือนก็ไม่สามารถจะบำเพ็ญสมณธรรมได้โดยสะดวก ฉันจะบวชให้ได้ เจ้าจงกลับไป
    เป็นอันว่า พี่ชายก็ได้บรรพชาอุปสมบทในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ (เหตุที่พี่ชายไม่สนใจในชีวิตปุถุชน และได้ออกบวชจนบรรลุอรหันต์ก่อนนั้น เพราะจากที่เคยอธิฐานจิตไว้ {ในตอนที่ ๑} เมื่อชาติที่แล้ว ว่าขอบรรลุอรหันต์อย่างเดียว ไม่เหมือนน้องชายที่ขอให้เสวยความสุขในการเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์มีความสุข มีทรัพย์มาก แล้วค่อยบรรลุอรหันต์ - อธิฐานบารมีจึงมีความสำคัญมาก)
    ต่อมา ท่านอปราชิต (คนน้อง) ก็คิดว่า เราจักทำสักการะแก่บรรพชิตผู้พี่ชาย (คือ ต้องการจะเลี้ยงดู ถวายสักการะ ตามที่พี่ชายชอบ) จึงได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธานสิ้น ๗ วัน นมัสการพี่ชายแล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านทำการสลัดออกจากภพแห่งตนได้แล้ว ส่วนกระผมยังเป็นผู้พัวพันด้วยกามคุณ ๕ (คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ) ไม่สามารถจะบวชได้ ขอท่านจงบอกบุญกรรมอันใหญ่ที่สมควรแก่กระผมผู้ดำรงอยู่ในเรือนด้วยเถิดของรับ (ขอให้พี่ชายช่วยบอกวิธีทำบุญที่มีอานิสงส์มาก)
    พระเถระ (พี่ชาย) จึงกล่าวกับท่านอปราชิตว่า ดีละ เจ้าผู้เป็นบัณฑิต (ผู้รู้) เจ้าจงสร้างพระคันธกุฏี สำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอปราชิตรับว่า สาธุ แล้วก็จัดการเกณฑ์ (จ้าง) ให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย นำไม้ต่างๆมาแล้วให้ถากที่เพื่อประโยชน์แก่เครื่องสัมภาระทั้งหลาย มีเสา เป็นต้น ให้ทำเสาทั้งหมดวิจิตรไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ต้นหนึ่งวิจิตรตระการไปด้วยทองคำ อีกต้นหนึ่งวิจิตรตระการไปด้วยเงิน อีกต้นหนึ่งวิจิตรไปด้วยแก้วมณี เป็นต้น แล้วให้สร้างพระคันธกุฏีด้วยเสาเหล่านั้น ให้มุงด้วยกระเบื้องสำหรับมุงอันวิจิตร (ที่สวยที่สุด) ไปด้วยแก้ว ๗ ประการเหมือนกัน
    ในเวลาที่สร้างพระคันธกุฏีนั่นแหละ หลานชายของท่านอปราชิตที่ชื่อว่า อปราชิต เหมือนกับท่าน ได้เข้าไปหาแล้วกล่าวว่า แม้ฉันก็จักสร้าง ท่านจงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถิด ท่านจึงกล่าวว่าพ่อฉันให้ไม่ได้ ฉันจักสร้างไม่ให้ทั่วไปด้วยคนทั้งหลายเหล่าอื่น (คือ บุญอันนี้ ฉันจะสร้างคนเดียว ไม่แบ่งให้ใคร)
    หลานชายนั้นอ้อนวอนไม่หยุด ก็ไม่มีโอกาสที่ท่านจะพึงอนุญาต จึงได้คิดว่า การที่เราสร้างกุญชรศาลา (คือ ศาลาหน้าวัด ศาลารูปร่างคล้ายช้าง) ข้างหน้าพระคันธกุฏีนี้ ย่อมเป็นการสมควร จึงได้สร้างศาลามีลักษณะเหมือนช้างสำเร็จด้วยแก้ว ๙ ประการ จากชาตินั้นจนถึงสมัยขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์พระสมณโคดม หลานชายคนนี้ได้มาเกิดเป็นท่านเมณฑกเศรษฐี (ซึ่งเป็นปู่ของนางวิสาขา - วิสาขามหาอุบาสิกา)
    สำหรับท่านอปราชิต เมื่อสร้างพระคันธกุฏีให้สำเร็จสวยงามดังกล่าวแล้ว จึงได้เข้าไปเฝ้าพระเถระผู้เป็นพี่ชายเรียนว่า ท่านขอรับ พระคันธกุฏีสำเร็จแล้ว กระผมหวังในการใช้สอยพระคันธกุฏีนั้น - ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า บุญเป็นอันมากนี้ ย่อมมีเพราะการใช้สอย
    พระเถระผู้เป็นพี่ชายจึงได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว กราบถวายบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า กุฏุมพีผู้นี้ได้สร้างพระคันธกุฏีเพื่อพระองค์ บัดนี้เธอหวังในการใช้สอย (คือ ปรารถนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไปใช้พักอาศัย) พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้เสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จไปสู่ที่เฉพาะหน้าพระคันธกุฏีทอดพระเนตรเห็นกองรัตนะ (คือแก้ว ๗ ประการ) ที่ท่านอปราชิตกองล้อมรอบพระคันธกุฏี ทรงประทับยืนอยู่แล้วที่ซุ้มแห่งประตู ท่านอปราชิตจึงกราบทูลว่า ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้าข้า การรักษาดูแลกองรัตนะนั้น จักมีแก่ข้าพระองค์เอง ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเสด็จเข้าไปเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้าไปประทับ ณ ที่นั่น
    พระบาลีท่านกล่าวต่อไปว่า ท่านอปราชิตได้ตั้งการรักษาแก้วมณีนั้นไว้ (คือตั้งยามรักษา เพราะสมบัตินั้นมาก) สั่งบรรดายามทั้งหลายไว้ว่า พ่อ พวกเจ้าจงห้ามชนทั้งหลายที่จะถือเอารัตนะ คือ แก้วทั้งหลายเหล่านี้ ไปด้วยการใส่พก หรือด้วยการใส่กระเช้าหรือด้วย การใส่กระสอบ แต่ว่าอย่าห้ามชนผู้ถือเอาไปด้วยมือ (คือ ห้ามเฉพาะคนที่เอาไปโดยใส่กระเช้า ใส่กระสอบ หรือห่อไป แต่ไม่ห้ามถ้าคนนั้นจะถือไปด้วยมือ จะกำหนึ่งหรือสองกำก็ได้)
    ท่านอปราชิตได้ให้ประกาศว่า รัตนะ ๗ ประการ อันเราโปรยปรายไว้แล้วในบริเวณรอบพระคันธกุฏีนั้น บรรดามนุษย์ผู้เข็ญใจทั้งหลาย ผู้ฟังธรรมในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จงถือเอาแก้ว ๗ ประการนี้ เต็มมือของท่าน ทั้งสองมือไป บรรดาชนทั้งหลายแม้ถึงสุขแล้ว ก็จงถือเอาด้วยมือเดียว (คือ เมื่อฟังธรรมเทศนาแล้ว ถ้าผู้ใดเป็นผู้ที่ขัดสนขอให้เอาแก้วมณีไปทั้งสองกำมือ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ขัดสนหรือรวยอยู่แล้ว ก็ให้เอาไปเพียงกำมือเดียว)
    พระบาลีท่านกล่าวว่า ท่านอปราชิต ทำอย่างนี้เพราะมีความคิดว่า ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธาประสงค์จะฟังธรรมจึงจะไป ส่วนที่ไม่มีศรัทธาไปด้วยความโลภในทรัพย์ ฟังธรรมแล้ว ก็จักพ้นความทุกข์ได้ (คือ บางคนที่มาด้วยความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรารถนาจะฟังธรรม เมื่อฟังแล้วถือเอาไป ก็ดี แต่บางคนที่ไม่มีเจตนา ไม่ได้มีศรัทธา แต่ทว่าต้องการจะได้ทรัพย์ การได้ทรัพย์นั้น ท่านก็ได้บังคับไว้ว่า ต้องฟังเทศน์ให้จบก่อน จึงจะนำไปได้ ซึ่งการฟังธรรมนั้นแม้ว่าจะไม่ตั้งใจ แต่ถ้าฟังบ่อยๆ (เพราะต้องมาบ่อยเพื่อหวังทรัพย์) ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ย่อมค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปอยู่ในจิต สามารถจะทำจิตของผู้นั้นให้ผ่องใสไปได้ในวันหน้า จะเห็นได้ว่า เจตนาของท่านดีมาก
    เมื่อบรรดาแก้วทั้งหลายที่ท่านอปราชิตโปรยไว้แล้วคราวเดียวหมดไปแล้ว ท่านก็ให้โปรยลงไปใหม่เรื่อยๆ โปรยเป็นแถวยาวสูงเพียงเข่า ถึง ๓ ครั้ง และนอกจากนี้ท่านอปราชิตได้วางแก้วมณีอันมีค่าหามิได้ ขนาดเท่าผลแตงโมแทบบาทมูล (คือ ใกล้เท้า) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยท่านมีความคิดอย่างนี้ว่า ชื่อว่า ความอิ่ม จักไม่มีแก่ชนทั้งหลาย ผู้แลดูรัศมีแห่งแก้วมณี พร้อมไปด้วยรัศมีอันมีสีดุจทองคำ ที่ปรากฏแต่สรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (คือเมื่อผู้ฟังธรรมทั้งหลายมองดูความสว่างสวยงามของแก้วมณีก็ดี มองดูฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ก็มีแต่ความชื่นบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อ เวลาที่มาฟังเทศน์ ก็มีความเพลิดเพลินเจริญใจด้วยกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย บวกกัน เป็นเหตุให้บรรดาผู้ฟังธรรมทั้งหลายมีแต่ความอิ่มเอิบ ทั้งธรรมะและรัศมี)
    ต่อมา ในวันหนึ่ง มีพราหมณ์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ (ผู้หลงผิด) คนหนึ่ง คิดว่า ได้ยินมาว่าแก้วมณีที่มีค่ามาก อันกุฏุมพีนั้นวางไว้แทบบาทมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจักขโมยแก้วมณีนั้น คิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปสู่พระคันธกุฏี เข้าไปโดยระหว่างมหาชนผู้มาแล้ว เพื่อจะถวายบังคมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพราหมณ์นั้นก็วางมือไว้ที่ใกล้เท้าแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พอถวายบังคมแล้ว ก็ถือเอาแก้วมณีซ่อนไว้ในเกลียวผ้า แล้วก็หลบไป
    ท่านอปราชิตเห็นว่า พราหมณ์นี้ ถือเอาแก้วมณีที่วางอยู่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าไปโดยไม่ได้สนใจที่จะฟังธรรม ท่านจึงไม่อาจจะทำจิตให้เลื่อมใสในพราหมณ์นั้นได้
    ดังนั้น ในกาลจบพระธรรมกถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ ท่านอปราชิตได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า รัตนะ ๗ ประการ อันข้าพระองค์โปรยปรายไว้รอบพระคันธกุฏี สิ้น ๓ ครั้ง โดยทำให้เป็นแถวแนวยาว สูงเพียงเข่า เมื่อชนทั้งหลายถือเอารัตนะทั้งหลายเหล่านั้นก็ชื่อว่า ความอาฆาตมิได้มีแล้วแก่ข้าพระองค์ (ไม่โกรธที่เขาถือไป) ยิ่งเขาถือไปเท่าไร ความเลื่อมใสก็มีขึ้นแก่ข้าพระองค์ เพราะว่า ข้าพระองค์ปรารถนาจะสงเคราะห์เขา แต่ทว่าวันนี้ข้าพระองค์คิดว่า โอ...หนอ พราหมณ์นี้ ไม่ควรถือเอาแก้วมณี เมื่อพราหมณ์นั้นขโมยแก้วมณีไปแล้ว จึงไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสได้พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับคำของท่านอปราชิตแล้ว จึงได้ตรัสว่า อุบาสกะ ดูก่อนอุบาสก ท่านไม่อาจเพื่อจะทำของที่มีอยู่ของตนให้เป็นของอันชนเหล่าอื่นพึงนำไปไม่ได้ มิใช่หรือ (หมายความว่า ตามธรรมดา ของที่เรามีอยู่ เรายกขึ้นได้ คนอื่นเขาก็หยิบยกขึ้นได้ เราไม่สามารถจะบังคับให้ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรายกขึ้น แล้วคนอื่นยกไม่ได้) พระผู้มีพระภาคเจ้าถามอย่างนั้นท่านอปราชิตก็ตอบว่า ใช่พระเจ้าข้า
    เมื่อท่านอปราชิต ดำรงอยู่ในนัยที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทานแล้ว (หมายความว่า มีความเข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่เที่ยง มีแล้วก็หมดไป ของที่เราหามาได้ คนอื่นก็ขโมยไปได้เหมือนกัน) ท่านจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ทำการปรารถนาว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาแม้เส้นด้ายแห่งชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ จงอย่ามีนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (คือ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเอาไปได้ ถ้าไม่ได้ให้) แล้วท่านอปราชิต ก็ปรารถนาต่อว่า แม้แต่ไฟ ก็ไม่สามารถจะไหม้ของๆข้าพระองค์ได้ น้ำหรือลม ก็ไม่สามารถจะพัดพาไปได้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำอนุโมทนาแก่ท่านว่า ขอความปรารถนาที่ท่านปรารถนาแล้ว จงสำเร็จตามนั้นเถิด
    เมื่อท่านอปราชิต ทำการฉลองพระคันธกุฏีแล้ว ได้ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์มีประมาณ ๖๘ แสน ภายในพระคันธกุฏีนั้น ตลอด ๙ เดือน และในกาลเป็นที่สุด ท่านได้ถวายผ้าไตรจีวรแด่บรรดาภิกษุทุกรูป ทั้งถวายผ้าสาฏกสำหรับทำจีวรของภิกษุ ผู้บวชใหม่ ด้วยเช่นกัน
    ท่านอปราชิตได้ทำบุญทั้งหลายจนตลอดอายุอย่างนั้นแล้ว (ทำบุญจนสิ้นอายุขัย) เคลื่อนจากอัตภาพนั้นไปเกิดเป็นเทวดาในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลก และมนุษย์โลก จนกระทั่งมาถึงพุทธุปบาทกาลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า "สมณโคดม" ท่านก็ได้มาเกิดเป็น ท่านโชติกเศรษฐี และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นามว่า "พระโชติกเถระ"

    (กลับไปหน้าบนสุด)

    หน้าแรก
    หน้าถัดมาหน้าถัดไป

    อีเมล์ = grandmoms@hotmail.com
    ไอซีคิว = ๒๐๙๙๐๑๘๔