จารึกลานทองพระธรรมกายในพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่
๑
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ รัฐบาลได้มอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา
๕ รอบ
ขณะดำเนินบูรณะปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ
ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑ และพระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขารประจำรัชกาลที่
๓ อยู่นั้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลาประมาณ ๐๘.๑๕ น. ช่างที่กำลังสกัดผิวกระเบื้องเคลือบชั้นนอกขององค์พระมหาเจดีย์ทั้งสองพบว่า
บริเวณใกล้คอระฆังด้านทิศเหนือ มีโพลงลึกเข้าไปในองค์พระมหาเจดีย์ พบมีห้องกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
โบราณวัตถุล้ำค่าต่างๆ พระพุทธรูปและจารึกลานทองเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาบรรจุอยู่ในหีบทองลงยา
หนึ่งในนั้นก็คือจารึกลานทองเกี่ยวกับพระธรรมกาย จึงได้อัญเชิญเคลื่อนย้ายลงมา
แต่เนื่องจากวัตถุล้ำค่าในกรุพระมหาเจดีย์มีความสำคัญยิ่งเกี่ยวเนื่องกับพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์
กรมศิลปากรจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย
เพื่อดำเนินการอันเหมาะสมต่อไป วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๒ กรมศิลปากรได้รับหนังสือจากราชเลขาธิการ
อัญเชิญพระราชดำรัสของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความว่า
๑. โบราณวัตถุทั้งปวงที่บรรจุอยู่ในพระมหาเจดีย์นั้น ควรรวบรวมรักษาไว้โดยจัดพระวิหารหลังใดหลังหนึ่งซึ่งมีอยู่มากมายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มั่นคง
แสดงสิ่งที่ขุดได้อย่างมีระเบียบเป็นหมวดหมู่สำหรับคนรุ่นนี้ และรุ่นหลังได้ศึกษา
๒. วัตถุใดแตกหักเสียหายมากไม่เป็นชิ้นดี จะบรรจุคืนเข้าในพระมหาเจดีย์ก็ควร
๓. ควรจัดทำจำลองวัตถุเดิมขึ้นใหม่โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทัพสัมภาระที่มีค่าสูงบรรจุในพระมหาเจดีย์
ให้พระมหาเจดีย์ที่บูรณะใหม่มีลักษณะเป็น ธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ อุทเทสิกเจดีย์
และบริโภคเจดีย์ ครบถ้วนตามลักษณะดั้งเดิม
จารึกจากกรุพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ มี ๔
รายการได้แก่
๑. จารึกฐานพระพุทธรูปบุเงิน อักษรไทย ภาษาไทย จำนวน ๑ ด้าน
มีอักษร ๒ บรรทัด
๒. จารึกคัมภีร์ลานทอง (๑) อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย จำนวน ๙
ลาน มสายสนองร้อยรวมเป็นผูก จารึกอักษรด้วยเส้นจารมีเส้นชุบชาดถมเส้นจารจำนวน
๗ ลานๆละ ๒ ด้านๆละ ๕ บรรทัดรวม ๗๐ บรรทัดกับใบปกอีก ๒ ลานไม่มีอักษรจารึก
เรื่องที่จารึกเป็นบทธรรมว่าด้วยพระอภิธรรมทั้ง ๗ ได้แก่ พระสังคิณี พระวิภังค์
พระธาตุกถา พระปุคคลบัญญัติ พระกถาวัตถุ พระยมกและพระมหาปัฏฐาน
๓. จารึกคัมภีร์ลานทอง (๒) อักษรขอม ภาษาบาลีจำนวน ๙ ลาน
มีสายสนองร้อยรวมเป็นผูก จารึกอักษรด้วยเส้นจารมีเส้นชุบรักดำถมเส้นจารจำนวน
๗ ลานๆละ ๒ ด้านๆละ ๔ บรรทัด รวม ๗๐ บรรทัดกับใบปกอีก ๒ ลานไม่มีอักษรจารึก
เรื่องที่จารึกว่าด้วยปัจยาการ อเนกชาติสังสารัง และพระธรรมกาย
๔. จารึกคัมภีร์ลานทอง (๓) อักษรขอมย่อ ภาษาบาลี-ไทย จำนวน
๙ ลาน มีสายสนองร้อยรวมเป็นผูกจารึกอักษรด้วยเส้นชุบรักดำ จำนวน ๗ ลานๆละ
๑ ด้านๆละ ๔ บรรทัด รวม ๒๘ บรรทัด กับใบปกอีก ๒ ลาน ไม่มีอักษรจารึก เรื่องที่จารึกว่าด้วยพระอภิธรรมทั้ง
๗ ได้แก่ พระสังคิณี พระวิภังค์ พระธาตุกถา พระปุคคลบัญญัติ พระกถาวัตถุ พระยมก
และพระมหาปัฏฐาน ซึ่งท่านย่อความไว้พอดีกับแผ่นจารึก
คำแปลจารึกลานทองพระธรรมกาย
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระรัตนตรัย
"เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีอายตนะ ๖ เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสะ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั้น เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยดังกล่าว
อีกส่วนหนึ่งเพราะอวิชชาดับสนิทไม่เหลือ ปราศจากราคะ
คือความกำหนัด สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับอายตนะ ๖ จึงดับ เพราะอายตนะ ๖ ดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ
เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปาสะจึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลล้วนดับตามเหตุปัจจัยดังกล่าว
เราเที่ยวแสวงหานายช่างทำบ้านเรือน(ตัณหา) เมื่อไม่พบ
จึงต้องท่องเที่ยวไปในสงสารหลายชาติไม่น้อย ชาติ(ความเกิด)บ่อยๆ นำทุกข์มาให้
นายช่างเอ๋ย(บัดนี้) เราได้พบท่านแล้ว ท่านจักสร้างบ้านเรือนต่อไปอีกไม่ได้
เพราะเราได้หักทำลายรื้อโครงและยอดบ้านเรือนของท่านกระจัดกระจายหมดสิ้นแล้ว
จิตของเราหมดกิเลสเครื่องปรุงแต่งแล้ว เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว
พระเศียรหมายถึงพระสัพพัญญุตญาณ พระเกศาหมายถึงอารมณ์พระนิพพาน
พระลลาตหรือพระนลาฎหมายถึงจตุตถฌาณ พระอุนาโลมหมายถึงสมาบัติญาณเพชร พระภมู(พระขนง)
ทั้งสองหมายถึงนีลกสิณ พระจักษุทั้งสองหมายถึงทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ
พุทธจักษุและธรรมจักษุ พระโสตทั้งสองหมายถึงทิพพโสตญาณ พระฆานะหมายถึงโคตรภูญาณ
พระปรางทั้งสองหมายถึงมรรคญาณผลญาณและวิมุติญาณ พระโอษฐ์(ริมพระโอษฐ์)ทั้งสองหมายถึง
โลกิยฌาณและโลกุตรฌาณ พระทนต์หมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ พระเขี้ยวแก้วทั้ง
๔ หมายถึงมรรคญาณ ๔ พระศอหมายถึงสัจจญาณ ๔ การเอี้ยวพระศอทอดพระเนตรดูหมายถึงพระไตรลักษณญาณ
พระพาหาทั้งสองหมายถึง เวสารัชญาณ ๔ พระองคุลีทั้ง ๘ หมายถึงอนุสสติญาณ ๑๐
พระอุระหมายถึงสัมดภชฌงค์ ๗ พระถันทั้ง ๒ หมายถึงอาสยานุสยญาณ พระอวัยวะส่วนกลางหมายถึงพลญาณ
๑๐ พระนาภีหมายถึงปฏิจจสมุปปบาท พระชฆนะหมายถึงอินทรีย์ ๕ พละ ๕ พระอุระทั้ง
๒ หมายถึงสัมมัปปธาน ๔ พระชงฆ์ทั้ง ๒ หมายถึงกุศลกรรมบท ๑๐ พระบาททั้ง ๒ หมายถึงอิทธิบาท
๔ สังฆาฏิ (ผ้าสำหรับห่มซ้อน) หมายถึงศีลและสมาธิ จีจรสำหรับห่มปกปิดกล่าวคือผ้าบังสุกุลหมายถึงหิริและโอตตัปปะ
ผ้าอันตรวาสก(ผ้าสำหรับนุ่ง) หมายถึงมรรค ๘ ประคตเอวหมายถึง สติปัฏฐาน ๔
เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระอวัยวะทุกส่วนสูงสุดประกอบด้วยสัพพัญญุตญาณ
ที่รู้กันว่าพระธรรมกายไม่มีใครจะเป็นผู้นำโลกได้เท่า
ทรงรุ่งโรจน์กว่าเทวดาและมนุษย์เหล่าอื่น (ดังนั้น)พระโยคาวจรผู้มีญาณแก่กล้าเมื่อปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พึงระลึกถึงบ่อยๆซึ่งพุทธลักษณะคือ พระธรรมกาย
ว่าพระพุทธเจ้า(พระองค์ใด) ทรงมีพระวรกายสูง ๑๒ ศอก มีพระมงกุฎ (เครื่องประดับศรีษะ)
ที่มีแสงสว่างดุจเปลวไฟพุ่งสูงขึ้นไปตลอดกาลเป็นนิจถึง ๖ ศอก พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจึงชื่อว่าสูงได้
๑๘ ศอก"
นับเป็นบุญของแผ่นดินไทยโดยแท้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรีชาญาณ
ทรงเล็งเห็นการณ์ไกล มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญจารึกลานทองเรื่องราวเกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอน
ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จัดตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เพื่อมหาชนได้ศึกษาเรียนรู้ จารึกลานทองพระธรรมกายจึงได้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นเครื่องยืนยันว่า
พระธรรมคำสั่งสอนที่เกี่ยวกับพระธรรมกายในพระพุทธศาสนานั้นมีอยู่จริง พระบูรพมหากษัตริย์ไทยทรงเห็นถึงความสำคัญยิ่ง
ทรงเกรงว่าพระคัมภีร์ล้ำค่าทางพระพุทธศาสนาจะสูญหายไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จารึกไว้บนลานทองเก็บรักษาไว้ในพระมหาเจดีย์ เมื่อถึงคราวมหามงคลสมัยในพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรมอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เจริญพระชนพรรษา ๖๐ พรรษา ก็มีเหตุอัศจรรย์บังเกิดให้ได้ค้นพบจารึกลานทองพระธรรมกายภายในพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑ เป็นศุภนิมิตหมายที่ดียิ่งประกาศถึงพระเกียรติคุณองค์มหาราชโดยธรรมพระองค์นี้ว่า
ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองจนถึงที่สุดแห่งยุค
จะเผยแผ่ขจรไกลไปทั่วโลก ชาวโลกทั้งหลายจักได้สัมผัสกระแสสันติสุขโดยถ้วนหน้า
แผ่นดินไทยนี้จักได้ชื่อว่า แผ่นดินศรีวิไล ที่มนุษยชาติใฝ่ฝันมานาน สมดังคำพยากรณ์ของพระอรหันตเถระ
ขอพระบรมราชจักรีวงศ์ดำรงอยู่คู่พระพุทธศาสนาตราบสิ้นกัลป์
จากวารสารกัลยาณมิตร ฉบับที่ ๑๖๐
เมษายน ๒๕๔๒
|