หน้า ๑
คู่มือการศึกษา
วิถีสังคหวิภาค
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ปริจเฉทที่ ๔
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
วิถี
วิถีสังคหวิภาค เป็นส่วนที่รวบรวมแสดงโดยย่อเรื่อง
วิถีจิต คือ แสดงความเป็นไปของจิตตามลำดับที่เกิด
ก่อนและหลัง ในเมื่อประสบกับอารมณ์ใหม่ ในวาระหนึ่ง ๆ
ถ้าได้ศึกษา วิถีจิต ให้เข้าใจโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะทำให้การศึกษาพระอภิธรรม
(เฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์
มหาปัฏฐาน) เข้าใจได้ซาบซึ้งยิ่งขึ้นดังที่ท่านโบราณจารย์ได้กล่าวไว้ว่า
จะเชี่ยวชาญ พระวินัย ต้องแตกฉานใน อุโบสถ
จะเชี่ยวชาญ พระสูตร ต้องแตกฉานใน ลิงคะ ( ไวยกรณ์ )
จะเชี่ยวชาญ พระอภิธรรม ต้องแตกฉานใน วิถี
วิถีสังคหะนี้ ท่านพระอนุรุทธาจารย์
ผู้รจนาพระอภิธัมมัตถสังคหะจัดเป็นปริจฌฉทที่ ๔ ให้ชื่อว่า วิถีสังคหะวิภาค
ประพันธ์เป็นคาถาสังคหะรวม ๑0 คาถา คาถาที่ ๑ และที่ ๒ ประพันธ์ไว้ว่า
๑. จิตฺตปฺปาทานมิจฺเจวํ กตฺวา
สงฺคหมุตฺตรํ
ภูมิปุคฺคลเภเทน ปุพฺพาปรนิยามิตํ
ฯ
๒. ปวตฺติสงฺคหํ นาม ปฏิสนฺธิปฺปวตฺติยํ
ปวกฺขามิ สมาเสน ยถาสมฺภวโต กถํ ฯ
แปลความว่า ข้าพเจ้าผู้มีนามว่า
อนุรุทธาจารย์ ได้แสดงปกิณกสังคหะ อันเป็นอรรถอันยิ่งแห่งจิตและเจตสิกแล้ว
บัดนี้จักกล่าว ปวัตติสังคหะในปฏิสนธิกาลและในปวัตติกาล แสดงความเป็นไปองจิตและเจตสิกตามลำดับที่เกิด
ก่อนและหลัง พร้อมด้วยประเภทแห่งภูมิและบุคคล โดยย่อตามสมควรแก่ความบังเกิดขึ้นของจิต
หน้า ๒
ปวัตติสังคหะ
ปวัตติสังคหะ หมายความว่า
การรวบรวมกล่าวถึงความเป็นอยู่ หรือความ เป็นไปของจิตและเจตสิก จำแนก
ได้เป็น ๒ คือ ความเป็นอยู่ หรือความเป็นไปของ จิตและเจตสิก ในปฏิสนธิกาล ๑ ในปวัตติกาล
๑
ความเป็นอยู่และความเป็นไปของจิตและเจตสิกใน ปฏิสนธิกาล นั้นมีชื่อว่า
วิถีมุตตจิต เป็นจิตที่พ้นวิถี เป็นจิต
ที่ไม่อยู่ในวิถี เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถี จึงไม่แสดง ในปริจเฉทนี้ แต่จะแสดงในปริจเฉทต่อไป
ส่วนความเป็นอยู่หรือความเป็นไปของจิตและเจตสิกใน ปวัตติกาล นั้นมีชื่อ
ว่า วิถีจิต ซึ่งจะแสดงในปริจเฉทนี้
ฉักกะ ๖
ในวิถีสังคหะนี้ มีธรรมเกี่ยวเนื่องกัน
๖ หมวด แต่ละหมวดก็จำแนกได้เป็น ๖ อย่าง จึงเรียก ฉักกะ รวม ๖ หมวด
ก็เป็น ๖ ฉักกะ คือ
๑. วัตถุฉักกะ (วัตถุ ๖) คือ ที่ที่จิตและเจตสิกอาศัยเกิด ๖ แห่ง
๒. ทวารฉักกะ (ทวาร ๖) คือ ทางที่จิตและเจตสิกรับอารมณ์ ๖ ทาง
๓. อารัมมณฉักกะ (อารมณ์ ๖) คือ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ ๖ สิ่ง
๔. วิญญาณฉักกะ (วิญญาณ ๖) คือ จิตที่รับรู้ หรือ ตัวรู้ ๖ ประเภท
๕. วิถีฉักกะ (วิถี ๖) คือ ความเป็นไปของจิต ๖ กระแส (๖ วิถี)
๖. วิสยัปปวัตติฉักกะ (วิสยัปปวัตติ ๖) คือ จิตที่เป็นไปในอารมณ์ทั้ง
๖ มี ๖ อย่าง
หมวดที่ ๑ วัตถุฉักกะ คือ
วัตถุ ๖ ได้แก่ จักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ และ หทยวัตถุ
หมวดที่ ๒ ทวารฉักกะ คือ ทวาร ๖ได้แก่ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร
ชิวหาทวาร กายทวาร และ มโนทวาร หมวดที่ ๓ อารัมมณฉักกะ คือ อารมณ์
๖ ได้แก่ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์
และ ธัมมารมณ์
ธรรม ๓ หมวดนี้ ได้กล่าวแล้วในปริเฉทที่ ๓ คือ วัตถุฉักกะ ได้แสดง
แล้วใน วัตถุสังคหะ ทวารฉักกะ ได้แสดงแล้วใน ทวารสังคหะ และ อารัมมณฉักกะ
ได้แสดงแล้วในอารัมมณสังคหะ
หมวดที่ ๔ วิญญาณฉักกะ คือวิญญาณ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และ มโนวิญญาณ
หน้า ๓
ธรรมหมวดที่ ๔ นี้ ก็ได้แสดงไว้ในปริจเฉทที่
๑ จิตสังคหวิภาค นั้นแล้ว
หมวดที่ ๕ วิถีฉักกะ คือ วิถี ๖ ความเป็นไปของจิต ๖ กระแส หรือ ๖ สาย
หรือ ๖ ทาง หรือ ๖ วิถี มีความหมาย
ถึงความเป็นไปของจิตนั้นเกี่ยวกับ ทวารใดในทวารทั้ง ๖ นั้น คือ
กระแสจิตที่เกิดทาง จักขุทวาร ก็เรียกว่า จักขุทวารวิถี
กระแสจิตที่เกิดทาง โสตทวาร ก็เรียกว่า โสตทวารวิถี
กระแสจิตที่เกิดทาง ฆานทวาร ก็เรียกว่า ฆานทวารวิถี
กระแสจิตที่เกิดทาง ชิวหาทวาร ก็เรียกว่า ชิวหาทวารวิถี
กระแสจิตที่เกิดทาง กายทวาร ก็เรียกว่า กายทวารวิถี
กระแสจิตที่เกิดทาง มโนทวาร ก็เรียกว่า มโนทวารวิถี
หมวดที่ ๖ วิสยัปปวัตติฉักกะ คือ วิสยัปปวัตติ ๖, วิสย แปลว่า
อารมณ์, ปวัตติ แปลว่า ความเป็นไป, วิสยัปปวัตติ ก็แปลว่า ความเป็นไป(ของจิต)
ในอารมณ์หนึ่ง ๆ , วิสยัปปวัตติ ๖ จำแนกได้เป็น ๒ คือ วิสยัปปวัตติทาง
ปัญจทวาร และ มโนทวาร
ก. วิสยัปปวัตติ ทางปัญจทวาร มี ๔ ได้แก่
๑. อติมหันตารมณ์ ๒. มหันตารมณ์
๓. ปริตตารมณ์ ๔. อติปริตตารมณ์
ข. วิสยัปปวัตติ ทางมโนทวาร มี ๒ ได้แก่
๑. วิภูตารมณ์ ๒. อวิภูตารมณ์
อนึ่ง วิสยัปปวัตติ ในปฏิสนธิกาล มีเพียง ๓ คือ กรรมอารมณ์
กรรมนิมิตอารมณ์ และ คตินิมิตอารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ได้มาจากอดีตชาติเมื่อจะ
ตาย ไม่เกี่ยวกับวิสยัปปวัตติ ๖ นี้
ปฏิสนธิจิต มีอารมณ์เก่า ไม่ได้รับอารมณ์ใหม่ด้วย เป็นจิตที่พ้นทวาร
(ทวาร วิมุตตจิต)ด้วย และเป็นจิตที่ไม่ใช่
วิถี (วิถีมุตตจิต) ด้วย จึงไม่แสดงในปริจเฉทนี้
แม้ ภวังคจิต และ จุติจิต ในภพเดียวชาติเดียวกับปฏิสนธิจิตนั้น
ก็เป็น จิตดวงเดียวกัน มีอารมณ์อย่างเดียว
กันกับปฏิสนธิจิต ก็เป็นทวารวิมุตตจิต วิถีวิมุตต จิตเหมือนกัน จึงไม่แสดงในปริจเฉทนี้เช่นเดียวกัน
วิถีฉักกะ กับวิสยัปปวัตติฉักกะ
ความแตกต่างกันระหว่างหมวดที่
๕ วิถีฉักกะ กับ หมวดที่ ๖ วิสยัปปวัตติ ฉักกะ คือ
วิถีฉักกะ นั้นแสดงเพื่อให้ทราบว่า ความเป็นไปของจิตที่เกี่ยวเนื่องกับทวาร
นั้นว่า วิถีจิตนั้นเกิดทางทวารไหน
หน้า ๔
ส่วน วิสยัปปวัตติ นั้นแสดงเพื่อให้ทราบว่า
ความเป็นไปของจิตที่เกี่ยว เนื่องกับอารมณ์นั้นว่า อารมณ์นั้นชัดเจน
แจ่มแจ้งเพียงใด
เมื่อรวมกล่าวทั้ง วิถี และ วิสยัปปวัตติ ไปด้วยกัน ก็เป็นการแสดงให้
ทราบว่า วิถีจิตนั้นเกิดทางทวารไหน และมีอารมณ์ชัดเพียงใดด้วย ดังนี้
จักขุทวารวิถี ที่เป็นอติมหันตารมณ์ ก็เรียกว่า จักขุทวาร อติมหันตารมณ์วิถี
จักขุทวารวิถี ที่เป็นมหันตารมณ์ ก็เรียกว่า จักขุทวาร มหันตารมณ์วิถี
จักขุทวารวิถี ที่เป็นปริตตารมณ์ ก็เรียกว่า จักขุทวาร ปริตตารมณ์วิถี
จักขุทวารวิถี ที่เป็นอติปริตตารมณ์ ก็เรียกว่า จักขุทวาร อติปริตตารมณ์วิถี
แม้ทางโสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี และกายทวารวิถี ก็เป็นไป
อย่างเดียวกันนี้
ส่วนทางมโนทวาร ก็คงเรียก วิภูตารมณ์วิถี หรือ อวิภูตารมณ์วิถี เท่านั้น
เพราะทั้ง ๒ชื่อนี้ย่อมต้องเกิดทาง
มโนทวารทางเดียว จะเกิดทางทวารอื่นหาได้ไม่
ความแตกต่างกันระหว่างวิสยัปปวัตติ ๖
๑. อติมหันตารมณ์ คือ อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากที่สุด
ยกตัวอย่าง ทางตาเห็นรูป
ก. เกี่ยวกับวัตถุ จักขุวัตถุที่มีหน้าที่รับรูปารมณ์นั้น จะต้องเป็นจักขุปสาท
ที่ดี ไม่พิการแม้แต่เล็กน้อยเลย มี
ความใส คือ มีความสามารถรับรูปารมณ์ได้เป็นอย่างดี
ข. เกี่ยวกับอารมณ์ รูปารมณ์นั้นต้องชัดและเด่น ตั้งอยู่ไม่ไกลเกินไปหรือผ่าน
ไปไม่เร็วนัก รูปารมณ์นั้นต้องอยู่ใน
ที่ที่แสงสว่างพอที่จักขุปสาทจะรับได้ชัดเจน
เมื่อจักขุวัตถุได้รับรูปารมณ์ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนั้น จึงทำให้ขณะจิตเกิดได้มาก
ที่สุด
แม้ทางหูได้ยินเสียง ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นได้รส ทางกายได้รับการสัมผัส
ถูกต้อง ก็มีนัยทำนองเดียวกันนี้ อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากที่สุดที่ชื่อว่า
อติมหันตารมณ์นี้ มีจิตตุปปาทะ (คือจิตที่เกิดขึ้นในวิถี) ถึง ๑๔ ขณะ ทั้งนี้ไม่นับภวังคจิต
๓ ขณะ ซึ่งไม่ใช่จิตใน วิถีด้วย และมีวิถีจิตถึง ๗
๒. มหันตารมณ์ คือ อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากพอประมาณ ไม่เด่นชัด
หรือแจ่มแจ้งเท่าอติมหันตารมณ์ ทั้งนี้เพราะวัตถุหรืออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง บกพร่องไปบ้างเล็กน้อย
อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้มากพอประมาณที่ชื่อว่า มหันตารมณ์นี้ มีจิตตุป
ปาทะเพียง ๑๒ ขณะ ทั้งนี้ไม่นับ
ภวังคจิตรวมด้วยเช่นเดียวกัน และมีวิถีจิตเพียง ๖
๓. ปริตตารมณ์ คือ อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้น้อย เพราะวัตถุหรืออารมณ์
อย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปมาก จึงไม่ชัดแจ้งพอที่จะตัดสินลงไปได้ว่าอารมณ์นั้นดี
หรือชั่วประการใด
หน้า ๕
อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้น้อย
ที่ชื่อว่า ปริตตารมณ์นี้ มีจิตตุปปาทะ เพียง ๗ ขณะเท่านั้นเอง และมีวิถีจิตเพียง
๕
๔. อติปริตตารมณ์ คือ อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้น้อยที่สุด เพราะวัตถุหรือ
อารมณ์นั้นบกพร่องมากเหลือเกิน จึงทำให้จิตเพียงแต่แว่ว ๆ ไหว ๆ เท่านั้น ไม่ทัน
จะได้เห็น ไม่ทันจะได้ยิน อารมณ์นั้นก็ดับไปเสียแล้วเลยยังไม่ทันรู้ว่าอะไร
เป็นอะไร
อารมณ์ที่มีขณะจิตเกิดได้น้อยที่สุด ที่ชื่อว่า อติปริตตารมณ์นี้ จิตตุปปาทะ
ไม่มีเลย และวิถีจิตก็ไม่มีด้วย
ทั้ง ๔ นี้ เป็นวิสยัปปวัตติทางปัญจทวาร ต่อไปนี้จะแสดง วิสยัปปวัตติ
ทางมโนทวาร อีก ๒ คือ
๕. วิภูตารมณ์ คือ อารมณ์ที่ปรากฏทางใจชัดเจนแจ่มแจ้งมาก ทำให้มีจิต
ตุปปาทะถึง ๑๐ ขณะ และมีวิถีจิต ๓
๖. อวิภูตารมณ์ คือ อารมณ์ที่ปรากฏทางใจชัดเหมือนกัน แต่ว่าชัดน้อยกว่า
หรือไม่แจ่มแจ้งเท่าวิภูตารมณ์ จึงมีจิตตุปปาทะเพียง ๘ ขณะ และมีวิถีจิตเพียง ๒
ความหมายของจิตตุปปาทะ วิถีจิต และ ขณะ
คำว่า จิตตุปปาทะ คือ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกที่ประกอบ
ในที่นี้มี ความหมายว่า ในวิถีนั้นมีจิตเกิดขึ้นกี่
ดวง นับแต่ อาวัชชนจิต คือ จิตที่รับอารมณ์ ใหม่เป็นต้นไป ส่วน ภวังคจิต
แม้จะมีอยู่ในวิถีนั้นด้วยก็ไม่นับ เพราะภวังคจิตเป็น จิตที่รับอารมณ์เก่าดังกล่าวแล้วข้างต้น
จิตเกิดขึ้นในวิถีนั้นกี่ดวงก็นับเรียงดวงไปเลย ไม่ว่าจิตนั้นจะ
ทำกิจอย่างเดียวกัน หรือทำกิจต่างกัน เช่น ชวนจิตในวิถีนั้นมี ๗ ดวง หรือ ๗ ขณะ
ซึ่งทำชวนกิจอย่างเดียวกัน ก็นับเป็น
จิตตุปปาทะ ๗ ขณะ หรือ ๗ ดวง ตทาลัมพนจิตในวิถีนั้นมี ๒ ดวง หรือ ๒ ขณะ ซึ่งทำตทาลัมพนกิจอย่างเดียว
ก็นับเป็น
จิตตุปปาทะ ๒ ดวง หรือ ๒ ขณะ
คำว่า วิถีจิต คือ จิตในวิถีนั้นมีกี่อย่าง มีความหมายว่า จิตในวิถีนั้นทำกิจ
กี่อย่าง ทำกิจอย่างหนึ่งก็เรียกว่ามี
วิถีจิต ๑ นับแต่ อาวัชชนจิต คือจิตที่รับอารมณ์ใหม่เป็นต้นไป เช่นเดียวกับจิตตุปปาทะ
แต่ไม่นับเรียงดวง นับเป็น
พวก ๆ เช่น ชวนจิตมีจิตตุปปาทะ ๗ แต่ทำชวนกิจอย่างเดียวเท่านั้นก็เรียกว่าวิถีจิต
๑, ตทาลัมพนจิต ๒ ดวง ทำตทาลัมพนกิจอย่างเดียวก็เรียกว่า วิถีจิต ๑ เช่นกัน รวมชวนจิต
๗ ตทาลัมพนจิต ๒ เป็นจิต ๙ ดวง ก็เรียกว่า มี
วิถีจิต ๒ เป็นต้น
หน้า ๖
คำว่า ขณะ คือ จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งก็นับเป็นขณะหนึ่ง
เรียกว่า ขณะจิต บางทีก็เรียก ขณะ เฉย ๆ แต่ว่าจิตที่
เกิดขึ้นดวงหนึ่งที่เรียกว่าขณะหนึ่งนั้น ยังแบ่ง ได้เป็น ๓ อนุขณะ หรือ ๓ ขณะเล็ก
คือ อุปาทขณะ หมายถึงขณะที่จิต
เกิดขึ้น ๑ อนุขณะ, ฐีติขณะ หมายถึงขณะที่จิตตั้งอยู่ ๑ อนุขณะ และ ภังคขณะ
หมายถึง ขณะที่จิตนั้นดับไป ๑ อนุขณะ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ขณะจิตหรือจิตแต่ละดวง
นั้นมีอายุ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ๑, ฐีติขณะ ๑, ภังคขณะ ๑
อนึ่งจิต ๑๗ ขณะ เท่ากับอายุของรูปธรรมรูป ๑ มีความหมายว่า จิตเกิดดับ ไป ๑๗ หน
รูปจึงดับไปหนหนึ่ง หรือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปแต่ละรูปมีอายุเท่ากับ จิตเกิดดับไป ๑๗ ดวง หรือ ๑๗ ขณะ
หรือ ๑๗ หน ดังนั้นรูปแต่ละรูปจึงมีอายุ เท่ากับ ๕๑ อนุขณะ หรือ ๕๑ ขณะเล็ก เป็น
อุปาทขณะ คือขณะที่รูปเกิดขึ้น ๑ อนุขณะ, เป็น ฐีติขณะ คือขณะที่รูปตั้ง
อยู่๔๙ อนุขณะ และเป็น ภังคขณะ คือขณะที่รูปดับไป ๑ อนุขณะ
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า อุปาทขณะของจิตกับอุปาทขณะของรูปมี ๑ อนุขณะ เท่ากัน
ภังคขณะของจิตกับภังคขณะของ
รูปก็มี ๑ อนุขณะเท่ากันอีก ส่วนฐีติ ขณะของจิตก็มี ๑ อนุขณะ แต่ฐีติขณะของรูปนั้นมีถึง
๔๙ อนุขณะ รูปจึงมีอายุยืนยาว
กว่าจิตมาก
รูปที่มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะจิต หรือ ๕๑ อนุขณะนั้น มีชื่อเรียกว่า สตฺตรสายุกรูป
รูปธรรมทั้งหมดมี ๒๘ รูป แต่เป็น สตฺตรสายุกรูป คือรูปที่มีอายุ
๑๗ ขณะจิต เพียง ๒๒ รูป เท่านั้น ส่วน
อีก ๖ รูป คือ วิญญัติรูป ๒ และ ลักขณะรูป ๔ มีอายุไม่ถึง ๑๗ ขณะจิต เพราะ
วิญญัติรูป ๒ เป็นรูปที่เกิดพร้อมกับจิตและดับไปพร้อมกับจิต จึงมีอายุเท่า
กับอายุของจิตดวงเดียวคือ ๓ อนุขณะ เท่านั้น
ส่วนลักขณะรูป ๔ นั้น อุปจยรูป กับ สันตติรูป เป็นรูปที่ขณะแรกเกิด คือ
อุปาทขณะ มีอายุเพียง ๑ อนุขณะเท่านั้น ไม่ถึง ๕๑ ขณะ ชรตารูป เป็นรูปที่ตั้ง อยู่คือ
ฐีติขณะ มีอายุ ๔๙ อนุขณะเท่านั้นไม่ถึง ๕๑ ขณะ และอนิจจตารูปที่กำลัง
ดับไป คือ ภังคขณะ ก็มีอายุเพียง ๑ อนุขณะ ไม่ถึง ๕๑ ขณะ เป็นอันว่าลักขณะ รูปทั้ง
๔ นี้ แต่ละรูปมีอายุไม่ถึง ๕๑
อนุขณะ แม้แต่สักรูปหนึ่ง ก็ไม่มีอายุถึง ๕๑ อนุขณะ
เพื่อให้เข้าใจความหมายและการนับจำนวน จิตตุปปาทะ วิถีจิต และ ขณะจิต
ได้ง่ายเข้า ดูภาพประกอบคำอธิบาย
ข้างต้นดังนี้
หน้า ๗
อติมหันตารมณ์วิถี
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ | ๗ | ๘ | ๙ ๑0 ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ | ๑๖ ๑๗ | ขณะจิต ๑๗ |
ตี | น | ท | ป | วิ | สํ | สัน | วุ | ช ช ช ช ช ช ช | ต ต | |
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ | ๑๓ ๑๔ | จิตตุปปาทะ ๑๔ | |||
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ | ๗ | วิถีจิต ๗ |
มหันตารมณ์วิถี
๑ ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ | ๗ | ๘ | ๙ | ๑0 ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ | ๑๗ | ขณะจิต ๑๗ |
ตี ตี | น | ท | ป | วิ | สํ | สัน | วุ | ช ช ช ช ช ช ช | ภ | |
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ | จิตตุปปาทะ ๑๒ | ||||
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | ๖ | วิถีจิต ๖ |
ปริตตารมณ์วิถี
๑ ๒ ๓ ๔ | ๕ | ๖ | ๗ | ๘ | ๙ | ๑๐ | ๑๑ ๑๒๑๓ | ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ | ขณะจิต ๑๗ |
ตี ตี ตี ตี | น | ท | ป | วิ | สํ | สัน | วุ วุ วุ | ภ ภ ภ ภ | |
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ ๖ ๗ | จิตตุปปาทะ ๗ | ||||
๑ | ๒ | ๓ | ๔ | ๕ | วิถีจิต ๕ |
อติปริตตารมณ์วิถี
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑0 | ๑๑ ๑๒ | ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ | ขณะจิต ๑๗ |
ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี | น น | ภ ภ ภ ภ ภ | |
จิตตุปาทะ และวิถีจิต ไม่มีเลย |
วิภูตารมณ์วิถี
น | ท | มโน | ช ช ช ช ช ช ช | ต ต | ภ | |
๑ | ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ | ๙ ๑๐ | จิตตุปปาทะ ๑๐ | |||
๑ | ๒ | ๓ | วิถีจิต ๓ |
หน้า ๘
อวิภูตารมณ์วิถี
น | ท | มโน | ช ช ช ช ช ช ช | ภ ภ | |
๑ | ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ | จิตตุปปาทะ ๘ | |||
๑ | ๒ | วิถีจิต ๒ |
ความหมายของอักษรย่อ ตี =
อตีตภวังค, น = ภวังคจลนะ, ท = ภวังคุ ปัจเฉทะ, ป = ปัญจทวาราวัชชนะ,
วิ = ปัญจวิญญาณ, สํ = สัมปฏิจฉันนะ, สัน = สันตีรณะ, วุ
= โวฏฐัพพนะ, ช = ชวนะ, ต = ตทาลัมพนะ, ภ = ภวังค,
มโน = มโนทวาราวัชชนะ
อนึ่ง อติมหันตารมณ์วิถี มหันตารมณ์วิถี ปริตตารมณ์วิถี และอติปริตตารมณ์
วิถี เป็นวิถีที่เกิดทางปัญจทวาร ซึ่งต้องมีรูปธรรมเป็นอารมณ์แน่นอน อายุของ รูปธรรมนั้นมี
๑๗ ขณะจิต จึงแสดงจิต ๑๗ ดวง เท่าอายุของรูปธรรมที่มา เป็นอารมณ์
ส่วนวิภูตารมณ์วิถี และอวิภูตารมณ์วิถีนั้น เป็นวิถีที่เกิดทางมโนทวาร
มี รูปธรรมเป็นอารมณ์ก็ได้ มีนามธรรม
หรือบัญญัติเป็นอารมณ์ก็ได้ จึงไม่ได้แสดงจิต ถึง ๑๗ ขณะ
จำแนกวิถี
ในวิถีสังคหะนี้ จำแนกวิถีออกไปตามประเภทของจิต
คือ วิถีของจิตประเภท กามาวจร ก็เรียก กามวิถี
วิถีของจิตประเภทมหัคคต ก็เรียกว่า โลกียอัปปนาวิถี หรือ มหัคคตวิถี
วิถีของจิตประเภทโลกุตตร ก็เรียกว่า โลกุตตรอัปปนาวิถี หรือ โลกุตตรวิถี
ในกามวิถียังแยกเป็น ๒ คือ กามวิถีทางปัญจทวาร และกามวิถีทางมโน ทวาร
กามวิถีทางปัญจทวารก็แจกเป็น อติมหันตารมณ์วิถี มหันตารมณ์วิถี ปริต ตารมณ์วิถี
และอติปริตตารมณ์วิถี ส่วนกามวิถีทางมโนทวารก็แจกเป็น
วิภูตารมณ์วิถี และอวิภูตารมณ์วิถี
ในอติมหันตารมณ์วิถี มี ๑ นัย มหันตารมณ์วิถี มี ๒ นัย ปริตตารมณ์วิถี
มี ๖ นัย และอติปริตตารมณ์วิถี มี
๖ นัย รวมกามวิถีทางปัญจทวาร แต่ละทวารมี ๑๕ นัย ๕ ทวาร ก็เป็น ๗๕ นัย ดูภาพต่อไปนี้ประกอบด้วย
จะทำให้เข้าใจ
ได้ง่ายเข้า
หน้า ๙
วิถี
|
|||
กามวิถี
|
อัปปนาวิถี
|
||
ปัญจทวารวิถี
|
มโนทวารวิถี
|
โลกียอัปปนาวิถี
|
โลกุตตรอัปปนาวิถี
|
อติมหันตารมณ์วิถี ๑ นัย วิภูตารมณ์วิถี
มหันตารมณ์วิถี ๒ นัย อวิภูตารมณ์วิถี
ปริตตารมณ์วิถี ๖ นัย
อติปริตตารมณ์วิถี ๖ นัย
รวม ๑๕ นัย
๕ ทวาร
เป็น ๗๕ นัย
กามวิถี
อติมหันตารมณ์วิถี นัยเดียว ตทาลัมพนวาระ
๑. ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต
มหันตารมณ์วิถี ๒ นัย ชวนวาระ
๑. ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ ช ช ช ช ช ช ช ภ
๒. ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ ช ช ช ช ช ช ช
ปริตตารมณ์วิถี ๖ นัย โวฏฐัพพนวาระ
๑. ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ วุ ภ ภ ภ ภ
๒. ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ วุ ภ ภ ภ
๓. ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ วุ ภ ภ
๔. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ วุ ภ
๕. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ วุ
๖. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ วุ
หน้า ๑0
อติปริตตารมณ์วิถี ๖ นัย โมฆวาระ
๑. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น ภ ภ ภ ภ ภ
๒. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น ภ ภ ภ ภ
๓. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น ภ ภ ภ
๔. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น ภ ภ
๕. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น ภ
๖. ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น น
วิภูตามณ์วิถี ตทาลัมพนวาระ
น ท มโน ช ช ช ช ช ช ช ต ต
อวิภูตารมณ์วิถี ชวนวาระ
น ท มโน ช ช ช ช ช ช ช
ปัญจทวารวิถี
ปัญจทวารวิถี อยู่ในประเภท กามวิถี อย่างเดียว เพราะอัปปนาวิถีไม่เกิดทางปัญจทวารเลย ปัญจทวารวิถี คือ วิถีจิตที่ปรากฏอารมณ์ทางปัญจทวารเท่านั้น ปัญทวารวิถีนี้ มีคาถาสังคหะที่ ๓ แสดงว่า
๓. วิถีจิตฺตานิ สตฺเตว จิตฺตุปฺปาทา
จตุทฺทส
จตุปญฺญาส วิตฺถารา ปญฺจทฺวาเร ยถารหํ
ฯ
แปลความว่า วิถีจิตที่ปรากฏอารมณ์ทางปัญจทวารนั้น
กล่าวโดยวิถีจิต แล้วมี ๗
กล่าวโดยจิตตุปปาทะ แล้วมี ๑๔
กล่าวโดยพิสดาร แล้วมี ๕๔
อธิบาย
ปัญจทวารวิถี กล่าวโดยวิถีจิต
คือ จิตที่นับเป็นวิถีแล้ว มี ๗ ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑, ทวิปัญจวิญญาณจิต
ดวงใดดวงหนึ่งแล้วแต่อารมณ์ที่มา ปรากฏ ๑, สัมปฏิจฉันนจิต ๑, สันตีรณจิต ๑, โวฏฐัพพนจิต
๑, ชวนจิต ๑, และ ตทาลัมพนจิต ๑