หน้า๑
รูปสังคหวิภาค
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ปริจเฉทที่ ๖
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺสฺส
ความเบื้องต้น
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖ ชื่อว่า รูปสังคหวิภาค เป็น ปริจเฉทที่แสดงธรรม ๒ ประการ คือ
รูปปรมัตถ และ นิพพานก่อนที่จะดำเนินความตามปริจเฉทที่ ๖ นี้ ขอถือโอกาสกล่าวถึงธธรรมและสภาพของธรรมก่อน ธรรมและสภาพของ ธรรมนี้ ก็ได้กล่าวไว้แล้วเป็นหลายแห่งหลายตอนในปริจเฉทต้นๆ แต่ว่ากระจัดกระจายอยู่ใรที่หลายแห่งจึงขอรวมมากล่าวใน ที่นี้อีกโดยสังเขป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมไว้ว่า ธรรมทั้งหลายย่อม จำแนกได้เป็น ๒ ประการ คือ บัญญัติธรรม และ ปรมัตถธรรม
๑. บัญญัติธรรม คือ สิ่งที่บัญญัติขึ้น สมมุติขึ้นไม่ได้มีอยู่จริง ๆ เป็นการ สมมุติขึ้นเพื่อเรียกขานกันตาม
โวหารของชาวโลก ตามความนิยมตามความตกลงเฉพาะหมู่เฉพาะเหล่าเฉพาะ
หน้า ๒
ประเทศชาตินั้นๆ เป็นสมมติสัจจะก็จริง แต่เป็นเพียงความจริงโดยสมมติของชาวโลกที่บัญญัติขึ้นเท่านั้นเอง
เพื่อให้รู้ได้ว่าเรียกสิ่งใด เช่น คำว่า "คน" ผู้เรียกจะชี้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่า "คน" ไม่ได้ไม่มี หรือ
คำว่า "เก้าอี้" ผู้เรียก จะชี้ส่วนหนึ่งส่วนใดว่าเป็นเก้าอี้ไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกโดยสมมุติขึ้นเท่านั้นบัญญัติธรรมนี้มี ๒ ประการ คือ อัตถบัญญัติ และ สัททบัญญัติ
ก. อัตถบัญญัติ เป็นการสมมุติขึ้นตามความหมายแห่งรูปร่างสัณฐาน หรือ ลักษณะอาการของสิ่งนั้น ๆ
เช่น ภูเขา ต้นไม้ บ้าน เรือน เดิน วิ่ง การโบกมือ หมายถึงการจากลา หรือหมายถึงการปฏิเสธก็ได้
การพยักหน้า หมายถึงการยอมรับ หรือการให้เข้ามาหาก็ได้
ข. สัททบัญญัติ เป็นการสมมุติขึ้นเพื่อใช้เรียกขานสิ่งนั้น ๆ คือ สมมุติขึ้น เพื่อให้รู้ด้วยเสียงตามอัตถบัญญัตินั้น เช่น ไม่ได้เห็นภูเขา ไม่ได้เห็นการเดิน แต่เมื่อ ออกเสียงว่า ภูเขา พูดว่าเดิน ก็รู้ว่าภูเขามีรูปร่างสัณฐานอย่างนั้น เดินมีลักษณะ อาการอย่างนั้น เป็นต้น
เพราะฉะนั้นทั้งอัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ ก็คือระบบการสื่อสารให้เกิด ความรู้ เกิดความเข้าใจกันของมนุษย์นั่นเอง ไม่ได้มีอยู่จริง ๆ
ตัวอย่างร่างกายของเรา ที่เรียกว่า แขน ขา จมูก ปาก ตับ ปอด ลำไส้ ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้ คนไทยก็เรียกอย่างหนึ่ง คนจีนก็เรียกไปอย่างหนึ่ง คนแขกก็เรียกไป อย่างหนึ่ง ฝรั่งก็เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะสมมุติเรียกว่า อะไร บัญญัติจึงหมายถึงการสมมุติขึ้นของคนกลุ่มหนึ่งใช้เรียกขานกัน ไม่ได้มีอยู่ จริง ๆ ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นความจริงโดยสมมุต ิ
๒. ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีเนื้อความอันไม่วิปริตผันแปรเป็น ธัมมธาตุ เครื่องดำรงอยู่ของธรรม เป็น ธัมมฐีติ เครื่องตั้งอยู่ของธรรม เป็น ธัมมนิยาม กำหนดหมายของธรรม อันเป็นสิ่งที่เป็นไปเอง ตามธรรมดาธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ไม่มีใครแต่งตั้งขึ้น ไม่มีใครสร้างขึ้น มีโดยเหตุโดยปัจจัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ด้วยเหตุนี้ ปรมัตถธรรมจึงหมายถึง ธรรมชาติที่มีอยู่จริง ๆ ไม่วิปริตผันแปร เป็นความจริงที่มีอยู่จริง ๆ ซึ่งมีอยู่ ๔ อย่าง คือ
(๑) จิตปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
(๒) เจตสิกปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ให้เกิดการรู้ อารมณ์และรู้สึกเป็นไปตาม
ตนเองที่ประกอบ
(๓) รูปปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่แตกดับย่อยยับด้วยความเย็นความร้อน
(๔) นิพพานปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่สงบจากกิเลสและขันธ์
ทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริงๆ มีอยู่โดยความเป็นปรมัตถ พิสูจน์ได้ รู้ได้ ด้วยปัญญา เป็นอารมณ์ของปัญญา จากการเรียนการศึกษา จากการพิจารณาหาเหตุ ผล และจากการปฏิบัติ คือภาวนามัยปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีเนื้อความอันไม่วิปริตผันแปรนั้นมีสภาวะ หรือมี ลักษณะ ๒ อย่าง ได้แก่ สามัญญลักษณะ ๑ และวิเสสลักษณะ ๑
หน้า ๓
ก. สามัญญลักษณะ เป็นลักษณะสามัญเป็นลักษณะธรรมดาที่ธรรมทั้งหลาย ที่สิ่งทั้งหลายมีเหมือน ๆ กัน
เป็นลักษณะทั่ว ๆ ไป ที่ธรรมทั้งหลายจะต้องเป็นไป อย่างนั้น สามัญญลักษณะมี ๓ อย่าง คือ อนิจจลักษณะ ๑
ทุกขลักษณะ ๑ และ อนัตตลักษณะ ๑อนิจจลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ตลอดกาล
ทุกขลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ทนอยู่ไม่ได้ จำต้องแตกดับ เสื่อมสลายไป
อนัตตลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ หมายว่าจะให้เป็นไปตามใจชอบ หาได้ไม่
เพราะเหตุว่า สามัญญลักษณะ มีสภาพ ๓ อย่าง ดังที่ได้กล่าวแล้วนี้ จึงได้ชื่อ ว่า ไตรลักษณ์
จิต เจตสิก และรูป มีไตรลักษณ์ คือ สามัญญลักษณะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ อย่าง แต่นิพพานมีสามัญญลักษณะ
เพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะเท่านั้น
ส่วนบัญญัติธรรม ไม่มีสามัญญลักษณะ ๓ อย่าง คือ ไตรลักษณ์นี้แต่อย่าง หนึ่งอย่างใดไม่เพราะบัญญัติไม่ใช่
ปรมัตถธรรมแต่เป็นบัญญัติธรรมคือ สมมติสัจจะ ที่สมมติขึ้นบัญญัติขึ้น ตามโวหารของโลกเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มีเองเป็นเองแต่อย่างใด
หน้า ๔
ข. วิเสสลักษณะ เป็นลักษณะพิเศษที่มีประจำ เป็นจำเพาะของสิ่งนั้นๆ เป็น สภาพพิเศษประจำตัวของธรรม
แต่ละอย่างแต่ละชนิด ซึ่งมีไม่เหมือนกันเลย วิเสส ลักษณะมี ๔ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน
และปทัฏฐาน
ลักษณะ หมายถึง คุณภาพ เครื่องแสดงหรือสภาพโดยเฉพาะที่มีอยู่เป็น ประจำตัวของธรรมนั้น ๆ
รสะ หมายถึง กิจการงาน หรือหน้าที่การงานของธรรมนั้น ๆ พึง กระทำตามลักษณะของตน รสะนี้ยังจำแนกออกได้เป็น ๒ คือ กิจจรส และ สัมปัตติรส
กิจจรส เช่น ความร้อนของไฟมีหน้าที่การงานทำให้สิ่งของต่าง ๆ สุก
สัมปัตติรส เช่น แสงของไฟ มีหน้าที่การงานทำให้สว่าง
ปัจจุปัฏฐาน หมายถึงอาการที่ปรากฏจากรสะนั้น คือผลอันเกิดจากรสะ
ปทัฏฐาน หมายถึง ปัจจัยโดยตรงที่เป็นตัวการให้เกิดลักษณาการนั้น ๆ เรียกว่า เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เพราะเหตุว่าวิเสสลักษณะนี้ มี ๔ ประการดังที่ได้กล่าวแล้วนี้ จึงได้ชื่อว่า ลักขณาทิจตุกะ แปลความว่า
ธรรมที่มีองค์ ๔ อันมีลักษณะ เป็นต้น
หน้า ๕
จิต เจตสิก และ รูป มีลักขณาทิจตุกะ คือ วิเสสลักษณะครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการ แต่นิพพานมีวิเสสลักษณะ
เพียง ๓ ประการ คือ ลักษณะ รสะ และ ปัจจุปัฏฐานเท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน เหตุใกล้ให้เกิดเพราะนิพพาน
เป็นธรรมที่พ้นจากเหตุจากปัจจัยทั้งปวง
ส่วนบัญญัติธรรมนั้น ไม่มีวิเสสลักษณะเลย เพราะบัญญัติไม่มีสภาวธรรมที่มี เองเป็นเอง เป็นการบัญญัติขึ้น
ตามความนิยมของชาวโลกเท่านั้นเอง
รูปปรมัตถ
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖ นี้ พระอนุรุทธาจารย์ได้ประพันธ์เป็นคาถาสังคหะ รวม ๑๔ คาถา คาถาสังคหะที่ ๑ แสดงว่า
๑. เอตฺตาวตา วิภตฺตา หิ สปฺปเภทปฺปวตฺติกา
จิตฺต เจตสิกา ธมฺมา รูปนฺทานิ ปวุจฺจติ ฯแปลเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหลาย คือ จิตและเจตสิก เป็นไปโดยประเภทและปวัตติกาล ได้จำแนกแล้วโดย
ปริจเฉททั้ง ๕ มีประมาณเพียงเท่านั้น บัดนี้จะแสดงถึงรูปต่อไป
หน้า ๖
อธิบาย
ปรมัตถธรรม ๔ ประการนั้น จิตและเจตสิก ได้กล่าวแล้วตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ถึงปริจเฉทที่ ๕ ส่วนปริจเฉทที่ ๖ นี้จะได้ กล่าวถึง รูป และ นิพพาน ต่อไป
คำว่า " รูป " นี้ ใน ปรมัตถทีปนีฎีกา กล่าวอธิบายไว้ว่า รุปฺปนตีติ รูปํ แปลว่า ธรรมชาติที่แตกดับหรือ
ผันแปรนั้น เรียกว่า รูป
วิภาวินีฎีกา ได้ไขคำ รุปฺปน ว่า รุปฺปนญฺเจตฺถ สีตาทิ วิโรธิปจฺจยสมวาเย วิสทิสุปฺปติ เยว ลำดับรูปที่เกิด
ก่อนและเกิด ทีหลังขณะที่มีปัจจัยอันเป็นข้าศึก คือ ความเย็นเป็นต้น ยังให้แตกดับนั้น ลำดับรูปนั้นชื่อว่า รุปปนะ
เข้าใจง่าย ๆ ก่อนว่า สิ่งใดก็ตามถ้าแตกดับย่อยยับ ผันแปรไปด้วยอำนาจ ของความเย็น ความร้อน ก็รวมเรียกว่า รูป จัดเป็นรูปทั้งหมด
รวมมีความหมายว่า
รูป คือ ธรรมชาติที่ผันแปรแตกดับไปด้วยความเย็น และความร้อน รูปในส่วนของปรมัตถที่มีชีวิต
จิตใจครองที่จะรู้ว่าเป็นรูปได้นั้น อาศัยรู้ได้โดย วิเสสลักษณะ คือลักษณะพิเศษ ๔ ประการ คือรุปฺปน ลกฺขณํ มีการสลายแปรปรวน เป็นลักษณะ
วิกิรณ รสํ มีการแยกออกจากกัน(กับจิต)ได้ เป็นกิจ
อพฺยากต ปจฺจุปฏฺฐานํ มีความเป็นอพยากตธรรม เป็นอาการปรากฏ
วิญฺญาณ ปทฏฺฐานํ มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
หน้า ๗
ลักขณาทิจตุกะของรูปที่กล่าวนี้ กล่าวตามนัยแห่งปฏิจจสมุทปาทอันเป็นลักขณาทิจตุกะของรูปที่เกิดจากรรม จึงมี วิญญาณ ( ปฏิสนธิวิญญาณ ) เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
รูปมี ๒ อย่าง คือ
๑. รูปบัญญัติ คือ สิ่งที่เรามองเห็นกัน เรียกกันไปต่าง ๆ นา ๆ ทั้งที่ไม่มี ชีวิตจิตใจครอง และ มีชีวิต
จิตใจครอง เช่น คนผู้หญิง คนผู้ชาย ก็มีชื่อต่างกัน ออกไป สัตว์ต่าง ๆ ตัวผู้ ตัวเมีย ก็มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ
กันไป ต้นไม้แต่ละชนิด ทั้งที่ยืนต้นและล้มลุก ก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป รวมถึงพื้นดิน ภูเขา ห้วยน้ำ
ลำคลอง เป็นต้น เหล่านี้เป็นรูปโดยบัญญัติ
๒. รูปปรมัตถ คือ รูปที่มีอยู่จริงๆ โดยสภาวะ โดยธรรมชาติ ผู้ที่ได้ศึกษา ได้เรียนรู้ ได้กระทบ ได้สัมผัส
จะมีความรู้สึกเหมือนกันหมด
เพื่อความเข้าใจง่าย และให้เห็นชัด ระหว่างรูปปรมัตถกับรูปบัญญัติ ขอยก ตัวอย่าง ดังนี้
ถ้าเอาถ่านไฟในเตาซึ่งติดไฟแล้วมาจี้ที่แขนของคน ๕ คน แต่ละคนจะรู้สึก ร้อนเหมือน ๆ กัน ถ้าเป็นคนไทย
ก็จะพูดว่าร้อน คนจีน คนพม่า คนอินเดีย คน ยุโรป ก็จะเปล่งภาษาออกมาไม่เหมือนกัน แต่มีความหมาย
เหมือนกันว่าร้อน ทุกคน มีความรู้สึกว่าร้อน นั่นคือ " จริงที่มีอยู่จริง " ส่วนคำอุทานแต่ละภาษาที่เปล่งออกมา
นั้นไม่เหมือนกันนั้นเป็น " บัญญัต "
จริงที่มีอยู่จริง คือ ปรมัตถธรรม และไฟที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เป็นหนึ่งในรูป ปรมัตถ คือ เตโชธาตุ นั่นเอง
สงเคราะห์รูปเป็น ๕ นัย
บรรดารูปทั้งหลายนั้น สงเคราะห์ได้ ๕ นัย หรือจัดได้เป็น ๕ ประเภท ดังมีคาถาสังคหะที่ ๒ แสดงว่า
๒. สมุทฺเทสา วิภาคา จ สมุฏฐานา กลาปโต
ปวตฺติกฺกมโต เจติ ปญฺจธา ตตฺถ สงฺคโห ฯแปลความว่า อันว่ารูปนั้น สงเคราะห์โดยนัย ๕ คือ สมุทเทส , วิภาค , สมุฏฐาน , กลาป และปวัตติกกมะ
หมายความว่า รูปทั้งหมด เมื่อกล่าวโดยหัวข้อแล้วสงเคราะห์ ( แบ่ง ) ได้เป็น ๕ นัย คือ
นัยที่ ๑ รูปสมุทเทส เป็นการกล่าวถึงรูปโดยสังเขปหรือโดยย่อ พอให้ทราบถึงลักษณะของรูปแต่ละรูป
ตามนัยแห่งปรมัตถธรรม