หน้า ๔๓
รูปกายจะทรงอยู่ได้ ก็เพราะโอชาในอาหาร
และโอชาธาตุในร่างกายร่วมกัน เกื้อกูลอุดหนุนไว้ ถ้าขาดเสียซึ่ง
อาหารแล้ว รูปเหล่านั้นก็จะถึงซึ่งความพินาศ ดำรงอยู่ไม่ได้
ที่เรียกว่าอาหาร ตามนัยแห่งรูปปรมัตถแล้ว หมายถึง โอชะรูปที่อยู่ในอาหาร
นั้น ๆ ทำหน้าที่ทำให้อาหารชรูปเกิด
คือ โอชะรูปที่ถูกจัดโดยปาจกเตโชนั่นเอง
รูปที่กล่าวมาแล้วรวม ๑๘ รูป นี้ ได้ชื่อว่า นิปผันนรูป หรือ สภาวรูป
หรือ สลักขณรูป หรือ รูปรูป หรือ สัมมสนรูป รวม ๕ ชื่อด้วยกัน
ตามความหมายของชื่อแต่ละชื่อนี้ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น (ดูหน้า ๑๓)
หน้า ๔๔
ประเภทที่ ๘ ปริจเฉทรูป
ปริจเฉทรูป คือ รูปที่เป็นช่องว่างระหว่างรูปกลาปต่อรูปกลาป
มีทั้งสิ่งที่มี ชีวิตและไม่มีชีวิต เป็นรูปที่คล้าย ๆ กับทำหน้าที่ให้รู้ถึงสัณฐานของรูปต่าง
ๆ หรือ คล้ายกับเป็นผู้จำแนกให้รู้ได้ซึ่งรูปต่าง ๆ
ในบรรดาสิ่งที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิตทั้งหลายนั้น ถ้าไม่มีช่องว่างกั้นกลาง
เสียแล้ว ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า รูปนั้นมี
จำนวนเท่าไร มีสัณฐานเป็นอย่างไร ต่อเมื่อ มีช่องว่างคั่นอยู่จึงกำหนดรู้ได้ว่า
มีจำนวนเท่าไร มีสัณฐานอย่างไร และช่องว่าง นี่แหละ เรียกว่า อากาสธาตุบ้าง เรียกว่า
ปริจเฉทรูปบ้าง
๑๙. ปริจเฉทรูป
ปริจเฉทรูป เป็นช่องว่างระหว่างรูปต่อรูป
ระหว่างกลาปกับกลาป มีได้ทั้งใน สิ่งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ
ถ้าไม่มีปริจเฉทรูปแล้ว จำนวนรูปกลาปก็มีไม่ได้ ที่สุดของรูปก็มีไม่ได้
เขต แดนของรูปก็มีไม่ได้ เพราะรูปเหล่านั้น
จะติดกันเป็นพืดไปหมด ไม่มีรูปร่างสัณฐาน และก็นับจำนวนไม่ได้ด้วย
ปริจเฉทรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
รูปปริจฺเฉท ลกฺขณํ มีการคั่นไว้ซึ่งรูปกลาป
เป็นลักษณะ
รูปปริยนฺตปฺปกาสน รสํ มีการแสดงส่วนของรูป
เป็นกิจ
รูปมาริยาท ปจฺจุปฏฺฐานํ มีการจำแนกซึ่งรูป
เป็นผล
ปริจฺฉินฺนรูป ปทฏฺฐานํ มีรูปที่คั่นไว้
เป็นเหตุใกล้
หน้า ๔๕
ปริจเฉทรูปนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า
อากาสรูป อากาสนี้ยังจำแนกได้เป็น ๕ คือ
(๑) อชฺฏากาส ได้แก่ ที่ว่างในท้องฟ้าทั่วไป
(๒) กสิณุคฺฆาฏิมากาส ได้แก่ อากาศที่เพิกแล้วจากกสิณ อากาศที่เนื่องมา
จากกสิณ
(๓) วิวรากาส อากาศในช่องโปร่ง เช่น ช่องหู ช่องจมูก ขวด โอ่ง
ไห
(๔) สุสิรากาส อากาศในโพรงทึบ เช่น ในปล้องไม้ไผ่ ในเห็ดเผาะ
(๕) ปริจฺเฉทากาส อากาศที่คั่นระหว่างรูปกลาปต่อรูปกลาป คือ ปริจเฉท
รูป หรืออากาศรูปนี่แหละ
อีกนัยหนึ่งแสดงว่าอากาศมีเพียง
๔ เท่านั้น คือ รวมวิวรากาสกับสุสิรากาส เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ปริจฺฉินฺนากาส
คือ อากาศในช่องว่าง ไม่แยกเป็นทึบ หรือไม่ทึบ
หน้า ๔๖
ประเภทที่ ๙ วิญญัตติรูป
วิญญัตติรูป คือรูปที่แสดงให้ผู้อื่นรู้ความหมายหรือรู้ความประสงค์
วิญญัตติ รูปจะเคลื่อนไหวต้องมีจิตสั่งงานให้
เคลื่อนไหว ทางกาย ทางวาจา นั่งนอน ยืนเดิน พูดเสียงดัง พูดค่อย พูดเพราะ พูดไม่เพราะ
ก็อยู่ที่วิญญัตติรูป โดยจิต
สั่งรูปชุดนี้ ให้ทำงาน
รูปใดทำให้ผู้อื่นรู้ความประสงค์ รูปนั้นชื่อว่า วิญญัตติรูป ชนทั้งหลายทำให้รู้
จิตใจซึ่งกันและกันได้โดยอาศัยรูปนั้น ฉะนั้นรูปนั้นชื่อว่า วิญญัตติรูป การแสดง
ออกซึ่งวิญญัตติรูปนี้ เรียกกันอย่างสามัญว่า การไหวกาย และ การไหววาจา (การกล่าววาจา)
วิญญัตติรูป มี ๒
รูป คือ
(๑) กายวิญญัตติรูป คือ การเคลื่อนไหวของรูป ให้รู้ความประสงค์ทางกาย
(๒) วจีวิญญัตติรูป คือ การเคลื่อนไหวของรูปทางวาจา ให้รู้ความประสงค์
ทางวาจา
หน้า ๔๗
๒๐. กายวิญญัตติรูป
กายวิญญัตติรูป จำแนกได้
๒ คือ
(๑) โพธนกายวิญฺญตฺติ ได้แก่ การไหวกาย จงใจให้ผู้อื่นรู้ความหมาย
เช่น โบกมือ กวักมือเรียก เป็นต้น
(๒) ปวตฺตนกายวิญฺญตฺติ ได้แก่ การไหวกาย โดยไม่ได้จงใจให้เป็น
ความหมายแก่ผู้ใด เช่น การยืน เดิน นั่ง
นอน หรือวิ่ง เป็นต้น แม้ว่าจะ ไม่ได้เจาะจงให้เป็นความหมายแต่ผู้อื่นก็รู้ได้ว่า
เรานั่ง นอน ยืน เดิน หรือวิ่ง
กายวิญญัตติรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
วิญฺญาปน ลกฺขณํ มีการแสดงให้รู้ซึ่งความหมาย
เป็นลักษณะ
อธิปฺปายปกาสน รสํ มีการแสดงซึ่งความหมาย
เป็นกิจ
กายวิปฺผนฺทนเหตุภาว ปจฺจุปฏฺฐานํ มีการไหวกาย เป็นผล
จิตฺตสมุฏฺฐานวาโยธาตุ ปทฏฺฐานํ มีวาโยธาตุของจิตตสมุฏฐาน
เป็นเหตุใกล้
๒๑. วจีวิญญัตติรูป
วจีวิญญัตติรูป จำแนกได้
๒ คือ
(๑) โพธนวจีวิญฺญตฺติ ได้แก่ การกล่าววาจา โดยจงใจให้ผู้อื่นรู้ความหมาย
เช่น ตะโกนเรียก การเรียกชื่อกัน การบอกเล่า การสนทนากัน เป็นต้น
(๒) ปวตฺตนวจีวิญฺญตฺติ ได้แก่ การกล่าววาจา โดยไม่ได้จงใจจะให้เป็น
ความหมายแก่ผู้ใด เช่น เปล่งเสียงออก
มาเวลาตกใจ การไอ การจาม เป็นต้น แม้ว่าจะไม่เจาะจงให้ใครรู้ ไม่เจาะจงให้เป็นความหมาย
แต่ผู้อื่นก็รู้ว่าเป็นเสียงตกใจ
เสียงไอ เสียงจาม
วจีวิญญัตติรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
วิญฺญาปน ลกฺขณํ มีการแสดงให้รู้ซึ่งความหมาย
เป็นลักษณะ
อธิปฺปายปกาสน รสํ มีการแสดงซึ่งความหมาย
เป็นกิจ
วจีโฆสเหตุภาว ปจฺจุปฏฺฐานํ มีการกล่าววาจา
เป็นผล
จิตฺตสมุฏฺฐานปฐวีธาตุ ปทฏฺฐานํ มีปฐวีธาตุของจิตตสมุฏฐานเป็น
เหตุใกล้
หน้า ๔๘
ประเภทที่ ๑๐ วิการรูป
วิการรูป คือรูปที่แสดงอาการพิเศษของนิปผันนรูปให้ปรากฏมี
๓ รูป ได้แก่ รูปัสสลหุตา ๑ รูปัสสมุทุตา ๑ และ รูปัสสกัมมัญญตา ๑ แต่นิยมเรียกสั้น
ๆ ว่า ลหุตารูป(ความเบาของรูป), มุทุตารูป(ความอ่อนของรูป), กัมมัญญตารูป(การ
ควรของรูป)
วิเสสา อาการา วิการาฯ
แปลว่า อาการพิเศษของรูป เรียกว่า วิการรูป
วิการรูปนี้ บางทีก็นับว่ามี ๕ รูป โดยนับกายวิญญัตติรูป และวจีวิญญัตติรูป
รวมเข้าไปอีกด้วย
หน้า ๔๙
๒๒. ลหุตารูป
ลหุตารูป ได้แก่ รูปที่เป็นความเบาของนิปผันนรูป หรืออาการเบาของนิปผันนรูป
ลหุตารูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อทนฺธตา ลกฺขณา มีความเบา
เป็นลักษณะ
รูปานํ ครุภาววิโนทน รสา มีการทำลายความหนักของรูป
เป็นกิจ
ลหุปริวตฺติตา ปจฺจุปฏฺฐานา มีการทำให้ว่องไว
เป็นผล
ลหุรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่เบา
เป็นเหตุใกล้
๒๓. มุทุตารูป
มุทุตารูป ได้แก่ รูปที่เป็นความอ่อนของนิปผันนรูป หรือ อาการอ่อนของ นิปผันนรูป
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อถทฺธตา ลกฺขณา มีความอ่อน เป็นลักษณะ
รูปานํ ตทฺธวิโนทน รสา มีการทำลายความกระด้างของรูป
เป็นกิจ
สพฺพกริยาสุ อวิโรธิตา ปจฺจุปฏฺฐานา มีการไม่ขัดแย้งต่อกิจทั่วไป
เป็นผล
มุทุรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่อ่อน
เป็นเหตุใกล้
๒๔. กัมมัญญตารูป
กัมมัญญตารูป ได้แก่ รูปที่เป็นความควรของนิปผันนรูป หรืออาการควร ของนิปผันนรูป
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กมฺมญฺญภาว ลกฺขณา มีการควร
เป็นลักษณะ
อกมฺมญฺญตา วิโนทน รสา มีการทำลายการไม่ควร
เป็นกิจ
อทุพฺพลภาว ปจฺจุปฏฺฐานา มีการทรงไว้ซึ่งพลัง
เป็นผล
กมฺมญฺญรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่ควร
เป็นเหตุใกล้