วิการรูปทั้ง ๓ ดังกล่าวแล้ว มีความสัมพันธ์กันกับวิญญัตติรูป
๒ ก็ได้ ไม่ สัมพันธ์กับวิญญัตติรูป ๒ ก็ได้ คือ เกิดพร้อมกันก็ได้ ไม่เกิดพร้อมกันก็ได้
ถ้าวิญญัตติรูป เกิดพร้อมกับวิการรูป วิญญัตติรูปนั้นก็จะมีความเบา ความ
อ่อน ความควรแก่การงานก็จะเกิดขึ้นทัน
ที กล่าวคือ การเคลื่อนไหวทางร่างกายก็ จะรู้สึกเบา อ่อนโยน คล่องแคล่ว ควรแก่การงาน
การเคลื่อนไหวทางวาจา เช่น การพูด การบรรยาย ก็จะมีความเบา ความอ่อนโยน ความคล่องแคล่ว
ควรแก่ การงานเกิดขึ้นทันที เพราะฉะนั้น วิการรูปจึง
มี ๓ หรือ ๕ คือ
๑. ลหุตารูป ๒. มุทุตารูป ๓. กัมมัญญตารูป ๔. วิการรูปที่เกิด พร้อมกับกายวิญญัตติ
๕. วิการรูปที่เกิดพร้อมกับ
วจีวิญญัตติ
และทั้งวิญญัตติรูป ๒ กับวิการรูป ๓ ก็อาศัยนิปผันนรูป หรือเป็นอาการ
ของนิปผันนรูปนั่นเอง คือถ้าไม่มีนิปผันนรูป วิญญัตติรูป และวิการรูปก็มีไม่ได้
วิการรูป รูปที่แสดงอาการ คือ ความเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษรวม ๓ รูปนี้ ต้องเกิดมีขึ้นแก่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น
สิ่งที่ไม่มี
ชีวิต ไม่มีวิการรูป วิการรูปนี้ เมื่อเกิดก็ เกิดร่วมกันพร้อมกันทั้ง ๓ รูป แต่อาจจะยิ่งหรือหย่อนกว่ากันได้
ประเภทที่ ๑๑ ลักขณรูป
ลักขณรูป คือ รูปที่แสดงความเกิดขึ้นให้ปรากฏ รูปที่แสดงความเจริญให้ ปรากฏ รูปที่แสดงความเสื่อมให้ปรากฏ รูปที่แสดงความดับไปให้ปรากฏ มี ๔ รูป คือ
(๑) รูปัสสอุปจย แปลว่า
ความเกิดขึ้นของรูป
(๒) รูปัสสสันตติ แปลว่า ความเจริญของรูป
(๓) รูปัสสชรตา แปลว่า ความเสื่อมของรูป
(๔) รูปัสสอนิจจตา แปลว่า ความแตกดับของรูป
ทั้ง ๔ รูป ดังกล่าวชื่อว่า ลักขณรูป คือ รูปที่มีกาลเวลาเป็นที่กำหนดในการ
ชี้ขาด
ธรรมทั้งหลายอันบัณฑิตกำหนดรู้ได้ว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นสังขตะด้วยอาศัย
รูปนี้ ฉะนั้นรูปที่เป็นเหตุแห่งการกำหนด
รู้ได้นั้น ชื่อว่า ลักขณะ
สังขตธรรมมี ๓ คือ จิต เจตสิก และ รูป ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ คือ ๑.
กรรม ๒. จิต ๓. อุตุ ๔. อาหาร
ในเมื่อจิต เจตสิก และรูป ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ ดังนี้ ก็จะปรากฏให้รู้
ได้ว่า
๑. จิต ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
๒. เจตสิก ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
๓. รูป ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ความที่ปรากฏให้รู้ได้ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่แหละ เรียกว่า ลักขณะ
หรือลักษณะ และลักขณะนี้จะมีอยู่ในจิต
เจตสิก รูป เท่านั้น
๒๕. อุปจยรูป
อุปจยรูป คือ รูปที่เกิดครั้งแรก
หรือรูปที่มีขึ้นครั้งแรก ปรากฏขึ้นครั้งแรก ของนิปผันนรูปนั่นเอง มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อาจย ลกฺขโณ มีการแรกเกิด
เป็นลักษณะ
รูปานํ อุมฺมชฺชาปน รโส มีการทำให้บรรดารูปได้เกิด
เป็นกิจ
ปริปุณฺณภาว ปจฺจุปฏฺฐาโน มีสภาพที่บริบูรณ์ของรูป
เป็นผล
อุปจิตรูป ปทฏฺฐาโน มีรูปที่กำลังจะเกิด
เป็นเหตุใกล้
หน้า ๕๑
๒๖. สันตติรูป
สันตติรูป คือ รูปที่เกิดสืบต่อกันกับอุปจยรูป
หรือ รูปที่มีต่อ สืบต่อจาก อุปจยรูปของนิปผันนรูป นั่นเอง
ความเกิดขึ้นสืบต่อกันของนิปผันนรูป ชื่อว่า สันตติ กล่าวคือ เมื่อรูปนั้น
ๆ เกิดขึ้นครั้งแรกแล้ว รูปที่เกิดสืบต่อจาก
รูปที่เกิดครั้งแรกนั่นเอง เรียกว่า สันตติรูป
สันตติรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ปวตฺติ ลกฺขณา มีการเจริญอยู่
เป็นลักษณะ
อนุปฺปพนฺธน รสา มีการสืบต่อ เป็นกิจ
อนุปจฺเฉท ปจฺจุปฏฺฐานา มีการไม่ขาดจากกัน
เป็นผล
อนุปพนฺธกรรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่ยังให้ต่อเนื่องกัน
เป็นเหตุใกล้
๒๗. ชรตารูป
ชรตารูป คือ รูปที่เป็นความแก่ของนิปผันนรูป
หรือรูปที่กำลังเสื่อมไปของ นิปผันนรูป ภาวะแห่งความแก่ของ
นิปผันนรูป ชื่อว่า ชรตา
ชรตารูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
รูปปริปาก ลกฺขณา มีการเสื่อมของรูป
เป็นลักษณะ
อุปนยน รสา มีการนำไปซึ่งความเสื่อม
เป็นกิจ
นวภาวาปคมน ปจฺจุปฏฺฐานา มีสภาพที่ไม่เกิดใหม่
เป็นผล
ปริปจฺจมานรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่เสื่อม เป็นเหตุใกล้
๒๘. อนิจจตารูป
อนิจจตารูป คือ รูปที่ดับไป หรือรูปที่หมดไปของนิปผันนรูป ความดับของนิปผันนรูป ชื่อว่า อนิจจตา
อนิจจตารูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ปริเภท ลกฺขณา มีการเสื่อม
เป็นลักษณะ
สํสีทน รสา มีการจมดิ่ง เป็นกิจ
ขยวย ปจฺจุปฏฺฐานา มีการสูญหาย เป็นผล
ปริภิชฺชมานรูป ปทฏฺฐานา มีรูปที่แตกดับ เป็นเหตุใกล้
หน้า ๕๒
อุปจยรูป คือ รูปที่เกิดขึ้นเป็นขณะแรก
หรือ การสั่งสมรูปเป็นปฐมใน ปฏิสนธิกาล
สันตติรูป คือ รูปที่เจริญหรือขยายตัว เป็นการสืบต่อแห่งรูป
รูปทั้ง ๒ คือ อุปจยรูป และสันตติรูปนี้ มีชื่ออีกนัยหนึ่งว่าชาติรูป
หรือ อุปปาทะรูป
ชรตารูป คือ รูปที่เสื่อม ทรุดโทรม คร่ำคร่าแก่ มีชื่ออีกนัยหนึ่งว่า
ชรารูป หรือ ฐีติรูป
อนิจจตารูป คือ รูปที่แตกดับสูญสิ้นไป มีชื่ออีกนัยหนึ่งว่า
มรณรูป หรือ ภังครูป
นัยที่ ๒ รูปวิภาค
รูปวิภาคนัย เป็นการแสดงรูปธรรมโดยละเอียดพิสดารกว้างขวางออกไปอีก เพื่อให้ทราบว่ารูปธรรมทั้ง ๒๘ รูปนั้น จัดเป็นส่วน ๆ ก็ได้
หน้า ๕๓
คือ จัดว่ามีส่วนเดียว ก็ได้ หรือจัดแยกเป็น ๒ ส่วน ๒ อย่างก็ได้ ดังมีคาถาสังคหะ เป็นคาถาที่ ๕ แสดงไว้ว่า
๕. อิจฺเจวมฏสวิสติ วิธมฺปิ
จ วิจกขนา
อชฺฌตฺติกาทิเภเทน วิภชฺชนติ ยถารหํ
ฯ
แปลความว่า บัณฑิตผู้เห็นประจักษ์ ย่อมจำแนกรูป แม้ทั้ง ๒๘ รูป ออกไปโดยประเภท มีอัชฌัตติกรูป เป็นต้น ตามควรอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้
อธิบาย
ในรูปวิภาคนัยนี้ แสดงเป็น ๒ มาติกา
(มาติกา=แม่บท) คือ
ก. เอกมาติกา แม่บทเดียว หมายความว่า รูปธรรมทั้ง ๒๘ รูปนี้มี
ความหมายรวมเป็นอย่างเดียวกัน
ข. ทุกมาติกา แม่บทคู่ หมายความว่า รูปธรรมทั้ง ๒๘ มีความหมาย
ต่างกัน เป็นคู่ ๆ เป็น ๒ ส่วน
หน้า ๕๔
เอกมาติกา
คำว่า เอกมาติกา หมายความว่า
รูป ๒๘ มีบทเดียว มีอย่างเดียว มีประเภทเดียว มีชื่อเดียว เป็นประเภทเดียว
กัน มีชื่อรวมเรียกได้ ดังนี้
๑. เป็น อเหตุกรูป เป็นรูปที่ไม่มีเหตุ
คือ ไม่มีสัมปยุตตเหตุ หมายความว่า รูปทั้ง ๒๘ ไม่มีเหตุ ๖ มาประกอบด้วย
เลย (โลภะเหตุ โทสะเหตุ โมหะเหตุ อโลภะเหตุ อโทสะเหตุ อโมหะเหตุ)
ส่วนรูปที่มีเหตุ ๖ คือ สเหตุกรูป นั้นไม่มี
๒. เป็น สปัจจยรูป เป็นรูปที่มีปัจจัย คือ มีสิ่งที่อุปการะเกื้อหนุน
จึงทำให้ รูปเกิดได้ ปัจจัยหรือสิ่งที่อุปการะอุดหนุน
ให้เกิดรูปนั้น ได้แก่ กรรม จิต อุตุ อาหาร ส่วนรูปที่ไม่มีปัจจัยอุปการะให้เกิด
คือ อปัจจยรูป นั้นไม่มีเลย
๓. เป็น สาสวรูป เป็นรูปที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (คือ กามาสวะ ภวาสวะ
ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ) ได้ทั้ง ๒๘ รูป
๔. เป็น สังขตรูป เป็นรูปที่ปรุงแต่งมาจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร
ส่วนรูปที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ปรุงแต่งมาจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร คือ อสังขต รูป
นั้นไม่มี
๕. เป็น โลกียรูป เป็นรูปที่เนื่องด้วยโลกียธรรม อันจะต้องแตกดับอยู่เสมอ
หน้า ๕๕
ส่วนรูปที่ไม่แตกดับ พ้นจากการแตกดับ คือ
โลกุตตรรูป นั้นไม่มี
๖. เป็น กามาวจร เป็นรูปที่เป็นอารมณ์ของกามจิต
ส่วนรูปที่เป็นอารมณ์ของมหัคคตจิต หรือโลกุตตรจิตนั้นไม่มี เพราะมหัคคต
จิตมีบัญญัติและมีจิตเป็นอารมณ์ โลกุตตรจิต ก็มีนิพพานเป็นอารมณ์
๗. เป็น อนารัมมณ เป็นรูปที่ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เหมือนจิตและเจตสิก
ส่วนรูปที่สามารถรู้อารมณ์ได้ คือ
สารัมมณ นั้นไม่มี
๘. เป็น อัปปหาตัพพ เป็นรูปที่ไม่พึงละ ไม่พึงประหาร เพราะรูปเป็นธรรม
ที่ปราศจากเหตุอันจะยังให้เกิดความดี
หรือความชั่ว
ส่วนรูปที่พึงละพึงประหาร คือ ปหาตัพพะ นั้นไม่มี
ตามที่กล่าวมา (ทั้ง ๘ ข้อ) แล้วนี้ จะเห็นได้ชัดแจ้งว่า รูปทั้ง ๒๘ นั้น
มี ประเภทเดียว มีส่วนเดียว มีแม่บทเดียว เพราะไม่มีประเภทที่ตรงกันข้ามเลย จึงได้ชื่อว่า
เอกมาติกา แสดงรูปโดยแม่บทเดียว
ทุกมาติกา
ในจำนวนรูป ๒๘ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สามารถจำแนกได้เป็นคู่ ๆ คือ มีนัย ตรงกันข้ามได้ถึง ๑๑ คู่ ดังนี้
หน้า ๕๖
คู่ที่ ๑ อัชฌัตติกรูป กับ พาหิรรูป
อัชฌัตติกรูป แปลว่า รูปภายใน
องค์ธรรมได้แก่ ปสาทรูป ๕ ไม่ได้หมายถึงส่วนในของรูป แต่หมายถึงความสำคัญ ในการทำหน้าที่เป็นสื่อเชื่อมโยงให้เกิดการเห็น
การได้ยิน เป็นต้น ถ้าหากว่าขาดปสาทรูปเสียแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีรูปร่าง ทั้งหลาย
ก็จะเหมือนกับท่อนไม้ ไม่สามารถจะรู้และทำอะไรๆ ได้ ปสาทรูปจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก
เปรียบเหมือน กับคนที่มีประโยชน์ช่วยเหลือกิจการต่างๆ ได้มาก ก็เรียกคนเหล่านั้นว่าเป็นคนภายใน
พาหิรรูป แปลว่า รูปภายนอก องค์ธรรมได้แก่ รูปที่เหลือ ๒๓ การจัดว่าเป็นรูปภายใน
เป็นรูปภายนอกนั้น ไม่ได้หมายถึง อยู่ในร่างกายหรือ นอกร่างกาย แต่มุ่งหมายถึงรูปที่มีความสำคัญ
แต่ละรูปที่มีบทบาทในการเชื่อมโยง ให้เกิดการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส และการสัมผัสกับอารมณ์ทางกายปสาทมาก
เปรียบได้กับคนภายนอก ช่วยเหลือการงาน ไม่ได้มากเท่ากับคนภายใน