หน้า ๗๘
อาหารชรูป ๑๒
แน่นอน (เอกนฺต) ไม่มี | มีแต่ไม่แน่นอน ทั้ง ๑๒ รูป ได้แก่ |
อวินิพโภครูป ๘ | |
ปริจเฉทรูป ๑ | |
วิการรูป ๓ |
นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป
นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป
หรือ นกุโตจิรูป เป็นรูปที่ไม่ได้เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร มีคาถาสังคหะ
เป็นคาถาที่
๗ ว่า
๗. ชายมานาทิรูปานํ สภาวตฺตา
หิ เกวลํ
ลกฺขณานิ น ชายนฺติ เกหิจีติ ปกาสิตํ
ฯ
นกุโตจิรูปหรือลักษณะรูปทั้ง ๔ (อุปจยรูป สันตติรูป ชรตารูป อนิจจตารูป) นั้น ไม่ได้เกิดจากสมุฏฐานใด ๆ เป็นเพียงสภาพของรูปที่กำลังเกิดขึ้น เป็นต้น เท่านั้นเอง
มีความหมายว่า ลักษณะรูป ๔ รูปนี้ ถือว่าไม่ได้เกิดจากสมุฏฐานหนึ่ง สมุฏฐานใดเลย ต่อเมื่อมีนิปผันนรูปเกิดขึ้น จึงจะมีลักขณรูปร่วมเกิดขึ้นพร้อมด้วย เสมอไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่มีนิปผันนรูปเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีลักขณรูปทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นเลยแม้แต่รูปเดียว เพราะลักขณรูป ๔ เป็นแต่เพียงสภาพของรูปที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเท่านั้น
หน้า ๗๙
ประมวลรูปตามสมุฏฐาน
เมื่อประมวลรูปตามสมุฏฐานเข้าด้วยกันแล้ว จะเห็นได้ว่า
๑. เอกสมุฏฐานิกรูป หรือ เอกชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐานอย่างเดียวมี ๑๑ รูป ได้แก่
อินทรียรูป ๘ รวม
๙ รูป เกิดจากกรรม เป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว
หทยรูป ๑
กายวิญญัตติ ๑ รวม
๒ รูป เกิดจากจิต เป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว
วจีวิญญัตติ ๑
๒. ทวิสมุฏฐานิกรูป หรือ ทวิชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐาน ๒ อย่าง หรือ ๒ สมุฏฐาน มี ๑ รูป ได้แก่
สัททรูป ๑ เกิดจากจิต
เป็นสมุฏฐานก็ได้
เกิดจากอุตุ เป็นสมุฏฐานก็ได้
๓. ติสมุฏฐานิกรูป หรือ ติชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐาน ๓ อย่างมี ๓ รูป ได้แก่
วิการรูป ๓ เกิดจากจิต หรือ อุตุ หรืออาหาร เป็นสมุฏฐานก็ได้
๔. จตุสมุฏฐานิกรูป หรือ จตุชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ ได้มี ๙ รูป ได้แก่
อวินิพโภครูป ๘ รวม
๙ รูปนี้ เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร อย่างใดก็ได้ทั้งนั้น
ปริจเฉทรูป ๑
หน้า ๘0
๕. นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป
หรือ นกุโตจิรูป คือ รูปที่ไม่ได้เกิดจากสมุฏฐาน ใด ๆ เลยทั้งนั้น มี
๔ รูป ได้แก่
ลักขณรูป ๔ (อุปจยรูป ๑ สันตติรูป ๑ ชรตารูป ๑ อนิจจตารูป ๑) ไม่ได้เกิดจากกรรม
จิต อุตุ อาหาร อย่างใดเลย
สรุปสมุฏฐานิกรูป
มหาภูตรูป ๔ | กรรม | จิต | อุตุ | อาหาร |
ปสาทรูป ๕ | กรรม | |||
โคจรรูป ๓ | กรรม | จิต | อุตุ | อาหาร |
สัททรูป ๑ | จิต | อุตุ | ||
ภาวรูป ๒ | กรรม | |||
หทยรูป ๑ | กรรม | |||
ชีวิตรูป ๑ | กรรม | |||
อาหารรูป ๑ | กรรม | จิต | อุตุ | อาหาร |
ปริจเฉทรูป ๑ | กรรม | จิต | อุตุ | อาหาร |
วิญญัตติรูป ๒ | จิต | |||
วิการรูป ๓ | จิต | อุตุ | อาหาร | |
ลักขณรูป ๔ | ||||
รวม ๒๘ | ๑๘ | ๑๕ | ๑๓ | ๑๒ |
รูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว
๙ รูป คือ อินทรียรูป ๘ หทยรูป ๑
รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว ๒ รูป คือ วิญญัตติรูป ๒
รูปที่มี ๒ สมุฏฐาน คือ สัททรูป ๑
รูปที่มี ๓ สมุฏฐาน คือ วิการรูป ๓
รูปที่มี ๔ สมุฏฐาน คือ อวินิพโภครูป ๘ และ ปริจเฉทรูป ๑
รูปที่ไม่มีสมุฏฐาน คือ ลักขณรูป ๔
มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน
ที่มีรูปร่างขึ้นมาได้ก็เพราะมีกัมมชรูปเป็นพื้นฐาน ก่อน จึงมีอุตุชรูปรักษาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย
ไป เพราะมีอาหารชรูปหล่อเลี้ยงให้เจริญ เติบโต ดำรงคงอยู่ได้
หน้า ๘๑
ขันธ์ที่เกิดมาเพราะกรรมจะทรงอยู่ได้ก็ด้วยมีอาหารค้ำชูไว้ หมายความว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยกรรม แต่ดำรงคงอยู่ได้ด้วยอาหาร
ครั้งเมื่อถึงแก่ความตาย
กัมมชรูปและอาหารชรูปก็ดับหมดสิ้นตามไปด้วยแต่ อุตุชรูป ยังคงปรากฏแก่ซากนั้นตลอด
ไป
ส่วนจิตตชรูปนั้น ต้องอาศัยกัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูป ทั้ง ๓ นี้เป็น ที่ตั้ง จึงจะเกิดได้ หมายความว่า จิตตชรูปต้องอาศัยรูปร่างกายของสัตว์ที่มีวิญญาณ เกิดขึ้น ถ้าไม่มีรูปร่างกายแล้ว จิตตชรูปก็เกิดไม่ได้
สมุฏฐานของอาการ ๔๒
อาการ ๔๒ ของมนุษย์ ก็คือ สสัมภารปฐวี ๒๐ อาการ, สสัมภารอาโป ๑๒ อาการ, สสัมภารเตโช ๔ อาการ และสสัมภารวาโยอีก ๖ อาการ วิเสสลักขณะ ของปฐวี อาโป เตโช วาโย ได้กล่าวแล้ว ในที่นี้จะแสดงอาการ ๔๒ นี้ว่าเกิด จากกรรม หรือ จิต หรือ อุตุ หรือ อาหาร เป็นสมุฏฐาน
๑. สสัมภารปฐวี ๒๐ อาการนั้น
เฉพาะ อุทฺริยํ อาหารใหม่ กรีสํ อาหารเก่า รวม ๒ อาการนี้ มีอุตุเป็นสมุฏฐานแต่
อย่างเดียว ส่วนที่เหลืออีก ๑๘ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔
หน้า ๘๒
๒. สสัมภารอาโป ๑๒ อาการนั้น
เฉพาะ ปุพฺโพ น้ำหนอง, มุตฺตํ น้ำมูตร รวม ๒ อาการนี้ มีอุตุเป็นสมุฏฐาน
แต่อย่างเดียว
เสโท เหงื่อ, อสฺสุ น้ำตา, เขโฬ น้ำลาย, สิงฺฆาณิกา
น้ำมูก, รวม ๔ อาการ นี้ มีจิตกับอุตุเป็นสมุฏฐาน คือ มี
สมุฏฐาน ๒ อย่าง
ส่วนที่เหลืออีก ๖ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔
๓. สสัมภารเตโช ๔ อาการนั้น เฉพาะปาจกเตโช ไฟที่ย่อยอาหาร (ไฟธาตุ) นี้ มีกรรมเป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว ส่วนที่เหลืออีก ๓ คือ อุสมาเตโช ชิรณเตโช สนฺตาปนเตโช นั้นมี สมุฏฐานทั้ง ๔
๔. สสัมภารวาโย ๖ อาการนั้น
เฉพาะ อสฺสาสปสฺสาสวาโย ลมหายใจเข้า หายใจออก มีจิตเป็นสมุฏฐานแต่อย่าง
เดียว
ส่วนที่เหลืออีก ๕ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔ สรุป ในอาการ ๔๒ นี้
ก. มีกรรม เป็นสมุฏฐาน มี ๑ คือ ปาจกเตโช
ข. มีจิต เป็นสมุฏฐาน มี ๑ คือ อสฺสาสปสฺสาสวาโย
ค. มีอุตุ เป็นสมุฏฐาน มี ๔ คือ อุทฺริยํ (อาหารใหม่), กรีสํ
(อาหารเก่า), ปุพฺโพ (น้ำหนอง), มุตฺตํ (น้ำมูตร)
หน้า ๘๓
ง. มีจิต และอุตุ เป็นสมุฏฐาน(มี
๒ สมุฏฐาน) มี ๔ คือ เสโท (เหงื่อ), อสฺสุ (น้ำตา), เขโฬ (น้ำลาย),
สิงฺฆาณิกา (น้ำมูก)
จ. มีกรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นสมุฏฐาน (มีสมุฏฐาน ๔) มี ๓๒ ได้แก่ อาการที่เหลือ
๓๒
นัยที่ ๔ รูปกลาป
รูปกลาป คือ กลุ่มรูปที่เกิดขึ้นเป็นหมวด,
หมู่, มัด ในปรมัตถทีปนีฎีกาได้ ให้ความหมายของรูปกลาปว่า กลาปิยนฺติ เอตฺถาติ
กลาปาฯ แปลว่า ธรรมชาติที่ นับเป็นหมวด ๆ เป็นคณะนั้น เรียกว่า " กลาป
"
หมายความว่า รูปกลาป คือ รูปที่อยู่ร่วมกัน เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นมัด
เป็นคณะ เป็นกลุ่ม เป็นก้อน
รูปที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ที่อาศัยร่วมกัน และเป็นที่รวมแห่งองค์
ทั้ง ๓ ซึ่งได้นามว่า รูปกลาป นั้น มีอยู่
รวม ๒๑ กลาป
หมายความว่า รูปที่อยู่ร่วมกันอันได้ชื่อว่าเป็นรูปกลาปนั้น ต้องประกอบ
พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
๑. เกิดพร้อมกัน
๒. ดับพร้อมกัน
๓. มีที่อาศัยพร้อมกัน
๔. ต้องเป็นที่รวมแห่งองค์ทั้ง ๓ นี้ด้วย
หน้า ๘๔
ดังนี้จะเห็นได้ว่า ลักษณะของรูปกลาปเป็นไปในทำนองเดียวกันกับจิตและ
เจตสิก คือ จิตเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีวัตถุที่อาศัยอันเดียวกัน
และ มีอารมณ์เดียวกันด้วย รวมเป็นองค์ ๔ รูปกลาปก็เหมือนกัน ต้องประกอบด้วย
องค์ ๔ ดังกล่าวแล้ว จึงจะได้ชื่อว่า รูปกลาป
รูปธรรมใด มีลักษณะไม่ครบองค์ ๔ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว รูปธรรมนั้นก็ไม่เรียกว่า
รูปกลาป
รูปกลาปนี้มีอยู่ ๒๑ กลาป ดังมีคาถาสังคหะเป็นคาถาที่ ๘ แสดงไว้ว่า
๘. กมฺมจิตฺโตตุกาหาร สมุฏฐานา
ยถากฺกมํ
นว ฉ จตุโร เทฺวติ กลาปา
เอกวีสติ ฯ
รูปกลาปนี้มีอยู่ ๒๑ กลาป
เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นสมุฏฐาน มี จำนวน ๙, ๖, ๔ และ ๒ ตามลำดับ หมายความว่า
กลุ่มรูปที่เกิดจากกรรมอันมีชื่อว่ากัมมชรูปกลาป หรือกัมมช-กลาป นั้นมี ๙ กลาป
หรือ ๙ กลุ่ม ๙
มัด
กลุ่มรูปที่เกิดจากจิต อันมีชื่อว่า จิตตชรูปกลาป หรือ จิตตชกลาป นั้นมี
๖ กลาป หรือ ๖ กลุ่ม