อาหารชรูป ๑๒

แน่นอน (เอกนฺต) ไม่มี มีแต่ไม่แน่นอน ทั้ง ๑๒ รูป ได้แก่
อวินิพโภครูป ๘
ปริจเฉทรูป ๑
วิการรูป ๓

นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป

         นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป หรือ นกุโตจิรูป เป็นรูปที่ไม่ได้เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร มีคาถาสังคหะ เป็นคาถาที่
๗ ว่า

         ๗. ชายมานาทิรูปานํ                         สภาวตฺตา หิ เกวลํ
             ลกฺขณานิ น ชายนฺติ                      เกหิจีติ ปกาสิตํ ฯ

         นกุโตจิรูปหรือลักษณะรูปทั้ง ๔ (อุปจยรูป สันตติรูป ชรตารูป อนิจจตารูป) นั้น ไม่ได้เกิดจากสมุฏฐานใด ๆ เป็นเพียงสภาพของรูปที่กำลังเกิดขึ้น เป็นต้น เท่านั้นเอง

         มีความหมายว่า ลักษณะรูป ๔ รูปนี้ ถือว่าไม่ได้เกิดจากสมุฏฐานหนึ่ง สมุฏฐานใดเลย ต่อเมื่อมีนิปผันนรูปเกิดขึ้น จึงจะมีลักขณรูปร่วมเกิดขึ้นพร้อมด้วย เสมอไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่มีนิปผันนรูปเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีลักขณรูปทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นเลยแม้แต่รูปเดียว เพราะลักขณรูป ๔ เป็นแต่เพียงสภาพของรูปที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเท่านั้น


หน้า ๗๙

ประมวลรูปตามสมุฏฐาน

         เมื่อประมวลรูปตามสมุฏฐานเข้าด้วยกันแล้ว จะเห็นได้ว่า

         ๑. เอกสมุฏฐานิกรูป หรือ เอกชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐานอย่างเดียวมี ๑๑ รูป ได้แก่

         อินทรียรูป ๘                รวม ๙ รูป เกิดจากกรรม เป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว
         หทยรูป ๑

         กายวิญญัตติ ๑             รวม ๒ รูป เกิดจากจิต เป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว
         วจีวิญญัตติ ๑

         ๒. ทวิสมุฏฐานิกรูป หรือ ทวิชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐาน ๒ อย่าง หรือ ๒ สมุฏฐาน มี ๑ รูป ได้แก่

         สัททรูป ๑                  เกิดจากจิต เป็นสมุฏฐานก็ได้
                                     เกิดจากอุตุ เป็นสมุฏฐานก็ได้

          ๓. ติสมุฏฐานิกรูป หรือ ติชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐาน ๓ อย่างมี ๓ รูป ได้แก่

          วิการรูป ๓                เกิดจากจิต หรือ อุตุ หรืออาหาร เป็นสมุฏฐานก็ได้

          ๔. จตุสมุฏฐานิกรูป หรือ จตุชรูป คือ รูปที่เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ ได้มี ๙ รูป ได้แก่

          อวินิพโภครูป ๘           รวม ๙ รูปนี้ เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร อย่างใดก็ได้ทั้งนั้น
          ปริจเฉทรูป ๑


หน้า ๘0

         ๕. นกุโตจิสมุฏฐานิกรูป หรือ นกุโตจิรูป คือ รูปที่ไม่ได้เกิดจากสมุฏฐาน ใด ๆ เลยทั้งนั้น มี ๔ รูป ได้แก่
         ลักขณรูป ๔ (อุปจยรูป ๑ สันตติรูป ๑ ชรตารูป ๑ อนิจจตารูป ๑) ไม่ได้เกิดจากกรรม จิต อุตุ อาหาร อย่างใดเลย

สรุปสมุฏฐานิกรูป

มหาภูตรูป ๔ กรรม จิต อุตุ อาหาร
ปสาทรูป ๕ กรรม
โคจรรูป ๓ กรรม จิต อุตุ อาหาร
สัททรูป ๑ จิต อุตุ
ภาวรูป ๒ กรรม
หทยรูป ๑ กรรม
ชีวิตรูป ๑ กรรม
อาหารรูป ๑ กรรม จิต อุตุ อาหาร
ปริจเฉทรูป ๑ กรรม จิต อุตุ อาหาร
วิญญัตติรูป ๒ จิต
วิการรูป ๓ จิต อุตุ อาหาร
ลักขณรูป ๔
รวม ๒๘ ๑๘ ๑๕ ๑๓ ๑๒

         รูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว ๙ รูป คือ อินทรียรูป ๘ หทยรูป ๑
         รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว ๒ รูป คือ วิญญัตติรูป ๒
         รูปที่มี ๒ สมุฏฐาน คือ สัททรูป ๑
         รูปที่มี ๓ สมุฏฐาน คือ วิการรูป ๓
         รูปที่มี ๔ สมุฏฐาน คือ อวินิพโภครูป ๘ และ ปริจเฉทรูป ๑
         รูปที่ไม่มีสมุฏฐาน คือ ลักขณรูป ๔

         มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน ที่มีรูปร่างขึ้นมาได้ก็เพราะมีกัมมชรูปเป็นพื้นฐาน ก่อน จึงมีอุตุชรูปรักษาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย
ไป เพราะมีอาหารชรูปหล่อเลี้ยงให้เจริญ เติบโต ดำรงคงอยู่ได้


หน้า ๘๑

         ขันธ์ที่เกิดมาเพราะกรรมจะทรงอยู่ได้ก็ด้วยมีอาหารค้ำชูไว้ หมายความว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยกรรม แต่ดำรงคงอยู่ได้ด้วยอาหาร

         ครั้งเมื่อถึงแก่ความตาย กัมมชรูปและอาหารชรูปก็ดับหมดสิ้นตามไปด้วยแต่ อุตุชรูป ยังคงปรากฏแก่ซากนั้นตลอด
ไป

         ส่วนจิตตชรูปนั้น ต้องอาศัยกัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูป ทั้ง ๓ นี้เป็น ที่ตั้ง จึงจะเกิดได้ หมายความว่า จิตตชรูปต้องอาศัยรูปร่างกายของสัตว์ที่มีวิญญาณ เกิดขึ้น ถ้าไม่มีรูปร่างกายแล้ว จิตตชรูปก็เกิดไม่ได้

สมุฏฐานของอาการ ๔๒

         อาการ ๔๒ ของมนุษย์ ก็คือ สสัมภารปฐวี ๒๐ อาการ, สสัมภารอาโป ๑๒ อาการ, สสัมภารเตโช ๔ อาการ และสสัมภารวาโยอีก ๖ อาการ วิเสสลักขณะ ของปฐวี อาโป เตโช วาโย ได้กล่าวแล้ว ในที่นี้จะแสดงอาการ ๔๒ นี้ว่าเกิด จากกรรม หรือ จิต หรือ อุตุ หรือ อาหาร เป็นสมุฏฐาน

         ๑. สสัมภารปฐวี ๒๐ อาการนั้น เฉพาะ อุทฺริยํ อาหารใหม่ กรีสํ อาหารเก่า รวม ๒ อาการนี้ มีอุตุเป็นสมุฏฐานแต่
อย่างเดียว ส่วนที่เหลืออีก ๑๘ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔


หน้า ๘๒

         ๒. สสัมภารอาโป ๑๒ อาการนั้น เฉพาะ ปุพฺโพ น้ำหนอง, มุตฺตํ น้ำมูตร รวม ๒ อาการนี้ มีอุตุเป็นสมุฏฐาน
แต่อย่างเดียว
         เสโท เหงื่อ, อสฺสุ น้ำตา, เขโฬ น้ำลาย, สิงฺฆาณิกา น้ำมูก, รวม ๔ อาการ นี้ มีจิตกับอุตุเป็นสมุฏฐาน คือ มี
สมุฏฐาน ๒ อย่าง
         ส่วนที่เหลืออีก ๖ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔

         ๓. สสัมภารเตโช ๔ อาการนั้น เฉพาะปาจกเตโช ไฟที่ย่อยอาหาร (ไฟธาตุ) นี้ มีกรรมเป็นสมุฏฐานแต่อย่างเดียว          ส่วนที่เหลืออีก ๓ คือ อุสมาเตโช ชิรณเตโช สนฺตาปนเตโช นั้นมี สมุฏฐานทั้ง ๔

         ๔. สสัมภารวาโย ๖ อาการนั้น เฉพาะ อสฺสาสปสฺสาสวาโย ลมหายใจเข้า หายใจออก มีจิตเป็นสมุฏฐานแต่อย่าง
เดียว          
         ส่วนที่เหลืออีก ๕ อาการนั้น มีสมุฏฐานทั้ง ๔ สรุป ในอาการ ๔๒ นี้
         ก. มีกรรม เป็นสมุฏฐาน มี ๑ คือ ปาจกเตโช
         ข. มีจิต เป็นสมุฏฐาน มี ๑ คือ อสฺสาสปสฺสาสวาโย
         ค. มีอุตุ เป็นสมุฏฐาน มี ๔ คือ อุทฺริยํ (อาหารใหม่), กรีสํ (อาหารเก่า), ปุพฺโพ (น้ำหนอง), มุตฺตํ (น้ำมูตร)


หน้า ๘๓

         ง. มีจิต และอุตุ เป็นสมุฏฐาน(มี ๒ สมุฏฐาน) มี ๔ คือ เสโท (เหงื่อ), อสฺสุ (น้ำตา), เขโฬ (น้ำลาย), สิงฺฆาณิกา (น้ำมูก)
         จ. มีกรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นสมุฏฐาน (มีสมุฏฐาน ๔) มี ๓๒ ได้แก่ อาการที่เหลือ ๓๒

นัยที่ ๔ รูปกลาป

         รูปกลาป คือ กลุ่มรูปที่เกิดขึ้นเป็นหมวด, หมู่, มัด ในปรมัตถทีปนีฎีกาได้ ให้ความหมายของรูปกลาปว่า กลาปิยนฺติ เอตฺถาติ กลาปาฯ แปลว่า ธรรมชาติที่ นับเป็นหมวด ๆ เป็นคณะนั้น เรียกว่า " กลาป "
         หมายความว่า รูปกลาป คือ รูปที่อยู่ร่วมกัน เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นมัด เป็นคณะ เป็นกลุ่ม เป็นก้อน
         รูปที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ที่อาศัยร่วมกัน และเป็นที่รวมแห่งองค์ ทั้ง ๓ ซึ่งได้นามว่า รูปกลาป นั้น มีอยู่
รวม ๒๑ กลาป
         หมายความว่า รูปที่อยู่ร่วมกันอันได้ชื่อว่าเป็นรูปกลาปนั้น ต้องประกอบ พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
         ๑. เกิดพร้อมกัน
         ๒. ดับพร้อมกัน
         ๓. มีที่อาศัยพร้อมกัน
         ๔. ต้องเป็นที่รวมแห่งองค์ทั้ง ๓ นี้ด้วย


หน้า ๘๔

         ดังนี้จะเห็นได้ว่า ลักษณะของรูปกลาปเป็นไปในทำนองเดียวกันกับจิตและ เจตสิก คือ จิตเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีวัตถุที่อาศัยอันเดียวกัน และ มีอารมณ์เดียวกันด้วย รวมเป็นองค์ ๔ รูปกลาปก็เหมือนกัน ต้องประกอบด้วย
องค์ ๔ ดังกล่าวแล้ว จึงจะได้ชื่อว่า รูปกลาป
         รูปธรรมใด มีลักษณะไม่ครบองค์ ๔ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว รูปธรรมนั้นก็ไม่เรียกว่า รูปกลาป
         รูปกลาปนี้มีอยู่ ๒๑ กลาป ดังมีคาถาสังคหะเป็นคาถาที่ ๘ แสดงไว้ว่า

         ๘. กมฺมจิตฺโตตุกาหาร                                 สมุฏฐานา ยถากฺกมํ
            นว ฉ จตุโร เทฺวติ                                  กลาปา เอกวีสติ ฯ

         รูปกลาปนี้มีอยู่ ๒๑ กลาป เกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นสมุฏฐาน มี จำนวน ๙, ๖, ๔ และ ๒ ตามลำดับ          หมายความว่า กลุ่มรูปที่เกิดจากกรรมอันมีชื่อว่ากัมมชรูปกลาป หรือกัมมช-กลาป นั้นมี ๙ กลาป หรือ ๙ กลุ่ม ๙
มัด
         กลุ่มรูปที่เกิดจากจิต อันมีชื่อว่า จิตตชรูปกลาป หรือ จิตตชกลาป นั้นมี ๖ กลาป หรือ ๖ กลุ่ม