หน้า ๙๓
ปัญหามีอยู่ว่า มีอายุ ๓ ขณะเล็กเฉพาะกายวิญญัตติรูป
๑ และ วจีวิญญัตติ รูป ๑ รวม ๒ รูป เท่านี้ หรือว่าดับไป
พร้อมกันรวมทั้งกลาปทีเดียว
เมื่อมีหลักฐานได้กล่าวมาแล้วว่า รูปธรรมใดเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีที่อาศัยร่วมกัน
และมีสภาพเป็นที่รวมแห่ง
องค์ทั้ง ๓ นั้นด้วย จึงจะเรียกว่าเป็น รูปกลาป ถ้ารูปธรรมใดมีลักษณะไม่ครบองค์ทั้ง
๔ รูปธรรมนั้น ก็ไม่เรียกว่ารูป กลาป ดังนี้แล้ว เข้าใจว่า ต้องดับไปพร้อมกันรวมทั้งกลาปทีเดียว
มิฉะนั้นจะเรียกว่า รูปกลาป อย่างไรได้
อุตุชกลาป ๔
อุตุชกลาป คือ กลุ่มรูปที่เกิดจากอุตุ มีอุตุเป็นสมุฏฐาน การเกิดขึ้นของกลุ่ม รูปที่เกิดจากอุตุนี้เรียกว่า อุตุชกลาป และอุตุชกลาปนี้ เกิดได้ทั้งในสิ่งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิต สำหรับที่เกิดในสัตว์ที่มีชีวิตนั้นมี ๔ กลาป คือ
๑. สุทธัฏฐกกลาป มีอวินิพโภครูป
๘ รวม ๘ รูป
๒. สัททนวกกลาป มีอวินิพโภครูป ๘ สัททรูป ๑ รวม
๙ รูป
๓. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป มีอวินิพโภครูป ๘ วิการรูป ๓ รวม
๑๑ รูป
๔. สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป มี อวินิพโภครูป ๘ สัททรูป ๑ และ วิการรูป ๓
รวม ๑๒ รูป
ความหมายของอุตุชกลาป
๑. สุทธัฏฐกกลาป ได้แก่
ร่างกายของสัตว์ทั้งหลายนั้นเอง เพราะอุตุชกลาป นั้น เป็นกลาปที่เป็นพื้นรองรับกลาป
อื่น ๆ อีกที่หนึ่ง ถ้าไม่มีอุตุชกลาปแล้ว กลาป อื่น ๆ ก็ไม่สามารถปรากฏได้ และสุทธัฏฐกกลาปนี้เกิดมีได้ทั้งภายนอก
หมายถึง สิ่งที่ไม่มีชีวิต และเกิดมีได้ทั้งภายใน หมายถึงสิ่งที่มีชีวิตด้วย และสุทธัฏฐกกลาปนี้
เกิดเมื่อเวลาที่ร่างกายของสัตว์ไม่เป็นปกติ เช่น ป่วย ไม่สบาย อ่อนเพลีย เป็นต้น
หน้า ๙๔
สุทธัฏฐกกลาป ที่เกิดมีได้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต
คือวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ทั้งหลาย เช่น ภูเขา ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ย่อมมีสุทธัฏฐกกลาป
คืออวินิพโภครูป ๘ เท่านั้น
สุทธัฏฐกกลาป หรือ อวินิพโภครูป ๘ ที่เกิดมีได้ในสิ่งที่มีชีวิต ก็คือ
รูปร่าง กายตัวตนของสัตว์นี่เอง เพราะอุตุชกลาป
นี้เป็นกลาปที่เป็นพื้นฐานในการรักษารูป เหล่านั้นมิให้เน่าเปื่อยไป ถ้าไม่มีอุตุชกลาปนี้แล้ว
กลาปอื่น ๆ เช่น กัมมชกลาป เป็น
ต้น ก็ไม่สามารถปรากฏตั้งอยู่ได้
สุทธัฏฐกกลาปภายใน เกิดเมื่อเวลาที่ร่างกายของสัตว์นั้น ๆ ไม่เป็นปกติ
เช่น ในเวลาที่ไม่สบาย อ่อนเพลีย เป็นต้น สุทธัฏฐกกลาปนี้ เมื่อมีวิการรูป
๓ เกิดร่วมด้วย ก็เรียกว่า ลหุตาทิเอกาทสก กลาป เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของสัตว์เป็น
ปกติสบายไม่อ่อนเพลีย มีความเบา ความ อ่อน ความควรเกิดขึ้น
๒. สัททนวกกลาป เป็นรูปกลาปที่เกิดขึ้นจากอุตุ
เกิดมีได้ทั้งภายนอกและ ภายใน คือ เกิดมีได้ทั้งในสิ่งที่ไม่มีชีวิต และในสิ่งที่มีชีวิต
ที่เกิดมีได้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือ เสียงลมพัด ฟ้าร้อง เสียงน้ำไหล
เสียงคลื่น เสียงเรือ เสียงรถ เสียงฆ้อง กลอง ระฆัง เป็นต้น
ที่เกิดมีได้ในสิ่งที่มีชีวิต คือ เสียงกรน เสียงท้องลั่น ท้องร้อง เสียงตบมือ
ดีดนิ้ว เป็นต้น ซึ่งเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ชัดเจนนัก
สัททนวกกลาปนี้ เมื่อมีวิการรูป ๓ เกิดร่วมอยู่ด้วย ก็เรียกว่า สัททลหุตา
ทิทวาทสกกลาป ได้แก่ เสียงต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว แต่เป็นเสียงที่ปรากฏชัด มีความแจ่มใส
ชัดเจน นั่นเอง
๓. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป
เป็นรูปกลาปที่เกิดจากอุตุ เกิดมีได้เฉพาะ แต่ภายใน คือ เกิดได้เฉพาะในสิ่งที่มีชีวิต
เท่านั้น จึงจะมีวิการรูป ๓ เกิดร่วมด้วยได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้ว ไม่มีวิการรูป
๓ เกิดร่วมด้วย
หน้า ๙๕
ลหุตาทิเอกาทสกกลาป เกิดเมื่อเวลาที่ร่างกายของสัตว์นั้นๆ
เป็นปกติ สบาย แข็งแรง หรือจะพูดว่า ถ้าเป็นปกติ
สบาย แข็งแรง
หรือจะพูดว่า ถ้าเป็นปกติ สบาย แข็งแรง ก็มีทั้งสุทธัฏฐกกลาป คือ อวินิพ
โภครูป ๘ และมีวิการรูป ๓ เกิดร่วม
ด้วยรวมเป็น ๑๑ รูปด้วยกัน ถ้าเวลาที่ร่างกาย ไม่ปกติ คือ ไม่สบาย อ่อนเพลีย ก็มีแต่เพียงสุทธัฏฐกกลาป
คือ อวินิพโภครูป
๘ เกิดขึ้นเท่านั้น
๔. สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป เป็นรูปกลาปที่เกิดจากอุตุ
เกิดมีได้แต่ เฉพาะภายใน คือเกิดได้เฉพาะในสิ่งที่มี
ชีวิตเท่านั้น เพราะสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่สามารถ จะมีวิการรูป ๓ เกิดร่วมด้วยได้เลยเป็นอันขาด
ที่เกิดมีได้แต่ในสิ่งที่มีชีวิตนั้น ก็ได้แก่ เสียงต่าง ๆ คือ เสียงกรน
เสียงท้อง ลั่น ท้องร้อง เสียงตบมือ ดีดนิ้ว ฯลฯ ซึ่งเสียงต่าง ๆ เหล่านี้ จะปรากฏชัด
มีความ แจ่มใสชัดเจน
ในร่างกายของสัตว์ทั้ง ๓ ส่วนนั้น อุตุชกลาปย่อมเกิดได้ สำหรับสุทธัฏฐก
กลาป และ ลหุตาทิเอกาทสกกลาปนั้น เกิดประจำอยู่แล้ว ส่วนสัททนวกกลาป และสัททลหุตาทิทวาทสกกลาปนั้น
เกิดเป็นบางเวลา ไม่ใช่ประจำ
อุตุชกลาป กับ อุตุชรูป
อุตุชรูป เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ
มีจำนวน ๑๓ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑ วิการรูป ๓ สัททรูป ๑
ส่วนอุตุชรูปกลาป หรืออุตุชกลาปนี้ เป็นกลุ่มรูปที่เกิดจากอุตุมีจำนวนรูป
เพียง ๑๒ รูปเท่านั้นคือ อุตุชรูป ๑๓
หักด้วยปริจเฉทรูป ๑ ซึ่งไม่เป็นองค์ของ กลาปออกเสีย คงเหลือ ๑๒ รูป รูปที่เหลือ
๑๒ รูปนี้ คือ อุตุชกลาป
หน้า ๙๖
ฐานของอุตุชกลาปในร่างกายมนุษย์
ในร่างกายมนุษย์ทั้ง ๓ ส่วน คือ
อุปริมกาย มัชฌิมกาย และ เหฏฐิมกายนั้น อุตุชกลาปเกิดได้ทั้ง ๔ อย่าง หมาย
ความว่า อุตุชกลาปทุกชนิดเกิดได้ทั่วตัวมนุษย์
สำหรับ สุทธัฏฐกกลาป และ ลหุตาทิเอกาทสกกลาปนั้น เกิดเป็นประจำ อยู่ตามปกติ
ส่วน สัททนวกกลาป และสัททลหุตาทิทวาทสกกลาปนั้น ไม่ใช่เกิดประจำ แต่จะมา
คือ เกิดเป็นบางคราว บางเวลา
อาหารชกลาป ๒
อาหารชกลาป คือ กลุ่มรูปที่เกิดจากอาหาร
มีอาหารเป็นสมุฏฐาน และ อาหารชกลาปนี้เกิดเฉพาะในสิ่งที่มีชีวิตเท่า
นั้น ทั้งนี้เพราะอาหารชกลาปจะเกิดได้ นั้น ต้องอาศัยกัมมชโอชาที่อยู่ภายในกายสัตว์ช่วยอุดหนุนส่งเสริม
เมื่อสัตว์นั้น กลืนกิน
อาหารเข้าไป จึงเกิดอาหารชกลาปขึ้นอีกที่หนึ่ง และ อาหารชกลาปนี้มี ๒ ชนิด คือ
๑. สุทธัฏฐกกลาป มี อวินิพโภครูป ๘ รวม ๘
รูป
๒. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป มี อวินิพโภครูป ๘ วิการรูป ๓ รวม ๑๑
รูป
ความหมายของอาหารชกลาป
๑. สุทธัฏฐกกลาป เกิดเมื่ออาหารต่าง
ๆ ที่กลืนกินเข้าไปแล้วไม่ทำให้ ร่างกาย รู้สึกสดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า แต่กลับ
ทำให้ไม่สบาย วิงเวียน คลื่นเหียน แน่น เป็นลม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือยาก็ตาม เมื่อกลืนลงไปแล้วไม่ทำให้ร่างกาย
รู้สึก
กระปรี้กระเปร่าเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะอาหารชกลาปที่เกิดจากอาหารนั้น ๆ ยังไม่ ประกอบด้วยวิการรูปทั้ง
๓ นั่นเอง
หน้า ๙๗
๒. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป เกิดเมื่ออาหารต่าง
ๆ หรือยาต่าง ๆ เมื่อกิน ลงไปแล้วทำให้ร่างกายรู้สึกมีอาการสด
ชื่น สบาย มีเรี่ยวแรง กระปรี้กระเปร่า ทั้งนี้ เพราะอาหารหรือยาเหล่านี้ ประกอบด้วย
วิการรูปทั้ง ๓ นั่นเอง
ข้อควรทราบ อาหารชกลาปทั้ง ๒ นี้เกิดภายนอกกายสัตว์ไม่ได้เพราะ อาหารชกลาป
จะเกิดได้นั้น ต้องอาศัยกัมมช
โอชาที่อยู่ในร่างกายสัตว์เป็นผู้อุปการะ แก่โอชาที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ นั้นอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้นรูปกลาปที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ ที่ ยังไม่ได้กลืนกินเข้าไปนั้นไม่ใช่อาหารชกลาป
แต่เป็น อุตุชกลาป
ต้นไม้ที่เจริญเติบโตออกดอกออกผลได้นั้น ก็อาศัยดิน น้ำ และปุ๋ย
และดิน น้ำ ปุ๋ย เหล่านี้ ไม่ใช่อาหารชกลาป แต่
เป็นอุตุชกลาป
การที่เราเข้าใจกันว่า ต้นไม้กินอาหารนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกต้องด้วยสภาว
ธรรม แต่ถ้าจะเรียกตามโวหารของชาว
โลกก็ได้อยู่ ทั้งนี้เพราะ ดิน น้ำ หรือปุ๋ย ที่รดให้ต้นไม้นั้นย่อมซึมเข้าไปในลำต้นโดยผ่านทางรากแก้ว
และรากฝอยของต้นไม้ ที่เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น ถ้าจะเรียกต้นไม้กินอาหาร ก็เรียกได้ตามโวหารของ
ชาวโลกเท่านั้น ไม่ใช่เป็นไปตามสภาวะ
ของปรมัตถ
อนึ่งปริจเฉทรูป หรือ อากาศธาตุ ไม่นับเป็นรูปกลาป ก็เพราะว่า ปริจเฉทรูป
เป็นเพียงแสดงขอบเขตของรูปกลาป
แต่ละกลาปให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่องค์ธรรม ของปรมัตถแท้ ส่วนลักขณรูป ๔ ที่ไม่นับเป็นรูปกลาปก็เพราะ
ลักขณรูป ๔ เป็น เพียงแสดงการเกิด การแก่ และการดับของรูปกลาป แต่ละกลาปให้ปรากฏเท่านั้น
ไม่มีสภาวะของตนเองโดยเฉพาะ จึงไม่นับ
เข้าเป็นองค์ของกลาป
อาหารชกลาป กับ อาหารชรูป
อาหารชรูป เป็นรูปที่เกิดจากอาหาร
มีจำนวน ๑๒ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปริจเฉทรูป ๑ วิการรูป ๓
ส่วนอาหารชกลาป นี้เป็น กลุ่มรูปที่เกิดจากอาหาร มีจำนวนรูปเพียง ๑๑ รูป
เท่านั้น คือ อาหารชรูป ๑๒ หักด้วย
ปริจเฉทรูป ๑ ซึ่งไม่เป็นองค์ของกลาป ออกเสีย คงเหลือ ๑๑ รูป รูปที่เหลือ ๑๑ รูปนี้
คือ อาหารชกลาป
หน้า ๙๘
ฐานของอาหารชกลาปในร่างกายมนุษย์
ในร่างกายมนุษย์ทั้ง ๓ ส่วน คือ อุปริมกาย มัชฌิมกาย และ เหฏฐิมกาย นั้น อาหารชกลาปทั้ง ๒ ชนิดนี้ เกิดได้ทั่วทุกส่วน
รูปกลาปในอาการ ๔๒
อาการ ๔๒ ของมนุษย์นั้น อาการใดมีรูปกลาปเท่าใด มีแสดงไว้ดังนี้
๑. สสัมภารปฐวี ๒๐ อาการนั้น
ก. ในอาการ ๑๘ คือ เกสา=ผม, โลมา=ขน, นขา=เล็บ,
ทนฺตา=ฟัน, ตโจ= หนัง, มํสํ=เนื้อ, นหารู=เอ็น, อฏฺฐิ=กระดูก,
อฏฺฐิมิญฺชํ=เยื่อในกระดูก, วกฺกํ=ม้าม, หทยํ=หัวใจ, ยกนํ=ตับ,
กิโลมกํ=พังผืด, ปิหกํ=ไต, ปปฺผาสํ=ปอด, อนฺตํ=ไส้ใหญ่,
อนฺตคุนํ=ไส้น้อย, มตฺถลุงคํ=มันสมอง (เว้น อุทฺริยํ=อาหารใหม่,
กรีสํ=อาหารเก่า) มีรูปกลาป ๕ กลาป เป็นจำนวน ๔๔ รูป
คือ
กายทสกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๑๐ รูป ภาวทสกกลาป ๑ กลาป มีรูป ๑๐ รูป |
รวมกัมมชกลาป ๒ กลาป มี ๒๐ รูป |
จิตตสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
อุตุสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
อาหารสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
รวม
๔๔ รูป
ข. ในอาการ ๒ คือ อุทฺริยํ อาหารใหม่ และ
กรีสํ อาหารเก่า มีรูปกลาป ๑ กลาป เป็นรูปเพียง ๘ รูป คือ อุตุสุทธัฏฐกกลาป
เท่านั้น
หน้า ๙๙
๒. สสัมภารอาโป ๑๒ อาการ นั้น
ก. ในอาการ ๖ คือ ปิตฺตํ=น้ำดี,
เสมฺหํ=เสมหะ, โลหิตํ=เลือด, เมโท=มันข้น วสา=มันเหลว,
และลสิกา=ไขข้อ นั้นก็มีรูปกลาป ๕ กลาปเป็นจำนวนรูป ๔๔ รูป เท่านั้น และเหมือนกันกับข้อ
๑ ก.
ข. ในอาการ ๔ คือ เสโท=เหงื่อ, อสฺสุ=น้ำตา, เขโฬ=น้ำลาย,
และ สิงฺฆาณิกา=น้ำมูก นั้น มีรูปกลาป ๒ กลาป เป็นจำนวนรูป ๑๖ รูป คือ จิตตสุทธัฏฐกกลาป
๑ กลาป มีรูป ๘ รูป และ อุตุสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มี ๘ รูป
ค. ในอาการที่เหลืออีก ๒ คือ ปุพฺโพ=หนอง, มุตฺตํ=น้ำมูตร
นั้นมีรูปกลาป ๑ กลาป เป็นรูปเพียง ๘ รูป คือ อุตุสุทธัฏฐกกลาป เท่านั้น
๓. สสัมภารเตโช ๔ อาการ นั้น
ก. ในอาการ ๓ คือ อุสมาเตโช
ไฟที่ทำให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ๑, ชิรณเตโช ไฟที่บ่มให้ร่างกายทรุดโทรม
เหี่ยวแห้ง ๑ และ สนฺตาปนเตโช ไฟที่ ทำให้ร้อนเป็นไข้ได้ป่วย ๑ เหล่านี้
มีรูปกลาป ๔ กลาป เป็นจำนวน ๓๓ รูป คือ
ชีวิตนวกกลาป ๑ กลาป
มีรูป ๙ รูป
จิตตสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
อุตุสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
อาหารสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
รวม
๓๓ รูป
หน้า ๑00
ข. ในอาการที่เหลืออีก ๑ คือ ปาจกเตโช
ไฟที่ย่อยอาหารนี้ มีรูปกลาป ๑ กลาป เป็นรูปเพียง ๙ รูป คือ
ชีวิตนวกกลาป เท่านั้น
๔. สสัมภารวาโย ๖ อาการ นั้น
ก. ในอาการ ๕ คือ อุทฺธงฺคมวาโย
ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน ๑, อโธคมวาโย ลมที่พัดลงสู่เบื้องต่ำ ๑, กุจฺฉิสยวาโย
ลมที่อยู่ในช่องท้อง ๑, โกฏฐาสยวาโย ลมที่ อยู่ในลำใส้ ๑ และองฺคมงฺคานุสาริวาโย
ลมที่พัดอยู่ทั่วร่างกาย ๑ เหล่านี้ มีรูป กลาป ๔ กลาป เป็นรูป ๓๓ รูป เท่ากันและเหมือนกันกับข้อ
๓ ก.
ข. ในอาการที่เหลืออีก ๑ คือ อสฺสาสปสฺสาสวาโย ลมหายใจเข้าหายใจออก
นี้ มีรูปกลาป ๑ กลาป กับอีก ๑ รูป รวมเป็นรูป ๙ รูป คือ จิตตสุทธัฏฐกกลาป ๑
กลาป มีรูป ๘ รูป และ สัททรูป อีก ๑ รูป
รูปกลาปในปสาทรูป
ในปสาทรูป ๕ นั้น ปสาทรูปใดมีรูปกลาปเกิดได้กี่กลาป เป็นจำนวนรูป เท่าใดนั้น มีแสดงไว้ดังนี้
๑. จักขุปสาทรูป มีรูปกลาป ๖ กลาป เป็นจำนวนรูปรวม ๕๔ รูป คือ
จักขุทสกกลาป
๑ กลาป มีรูป ๑๐ รูป ภาวทสกกลาป ๑ กลาป มีรูป ๑๐ รูป กายทสกกลาป ๑ กลาป มีรูป ๑๐ รูป |
รวมกัมมชกลาป ๓ กลาป เป็นรูป ๓๐ รูป |
จิตตสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป
มีรูป ๘ รูป
อุตุสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
อาหารสุทธัฏฐกกลาป ๑ กลาป มีรูป
๘ รูป
รวม
๕๔ รูป