หน้า ๒๑

         กล่าวโดย นัยแห่งคติ ก็มี ๕ คือ
         ๑. เทวคติวิญญาณ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในเทวภูมิ ๖, ในรูปภูมิ ๑๕ และในอรูปภูมิ ๔ นั้น มีจำนวน
๑๘ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑, มหาวิบาก ๘ และ มหัคคตวิบาก ๙
         ๒. มนุสสคติวิญญาณ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในมนุสสภูมิ มีจำนวน ๙ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสล
วิบาก ๑ และ มหาวิบาก ๘

         กล่าวโดย นัย แห่งวิญญาณฐีติ คือภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณนั้น ก็มี ๗ ได้แก่
         ๑. นานัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง ต่างกันและปฏิสนธิจิตก็ต่างกัน
อันได้แก่ ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ ๗ นั้น มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๙ ดวง คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และมหาวิบาก ๘
         คำว่า นานัตตะ นี้บางทีก็ใช้อย่าง ทีฆะ ว่า นานาตตะ
         ๒. นานัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง ต่างกัน แต่มีปฏิสนธิวิญญาณอย่าง
เดียวกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ และ ในปฐมฌานภูมิ ๓ รวม ๗ ภูมิด้วยกัน
         ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อุเบกขาสันตีรณ อกุสลวิบาก ๑
         ปฏิสนธิในปฐมฌานภูมิ ๓ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปฐม ฌานวิบาก ๑
         ๓. เอกัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง เหมือนกันแต่มีปฏิสนธิวิญญาณ
ต่างกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในทุติยฌานภูมิ ๓ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ รูปาวจรทุติยฌานวิบาก ๑ และ
รูปาวจรตติยฌานวิบาก ๑
         ๔. เอกัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง เหมือนกัน และมีปฏิสนธิวิญญาณก็
อย่างเดียวกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕ รวม ๙ ภูมิ มีปฏิสนธิวิญญาณ
๒ ดวง คือ
         ปฏิสนธิใน ตติยฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรจตุตถ ฌานวิบาก ๑
         ปฏิสนธิในเวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปัญจมฌานวิบาก ๑


หน้า ๒๒

         ๕. อากาสานัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากาสานัญจายตนภูมิ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อากาสานัญจายตนวิบาก ๑
         ๖. วิญญาณัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในวิญญาณัญจายตนภูมิ มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๑ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนวิบาก ๑
         ๗. อากิญจัญญายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากิญจัญญายตนภูมิ มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๑ ดวง คือ อากิญจัญญายตนวิบาก ๑
         ตามนัยแห่งวิญญาณฐีตินี้ ไม่ได้กล่าวถึง อสัญญสัตตภูมิ และเนวสัญญานา สัญญายตนภูมิ เพราะว่า
อสัญญสัตตภูมิเป็นภูมิของสัตว์ที่ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ แม้จะเป็นภูมิของสัตว์ที่มี
ปฏิสนธิวิญญาณก็จริง แต่ว่าวิญญาณนั้นไม่ปรากฏชัด จะว่ามีก็ไม่ใช่จะว่าไม่มีก็ไม่เชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จัด เข้าใน
วิญญาณฐีติ ๗ นี้ด้วย
         กล่าวโดย นัยแห่ง สัตตาวาสภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๙ ภูมิด้วยกัน
ในจำนวน ๙ ภูมินี้มีอยู่ภูมิ ๑ ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของ อสัญญสัตตผู้ไม่มีวิญญาณ ซึ่งไม่ต้องกล่าวในที่นี้ด้วย คงจะกล่าว
แต่เพียง ๘ ภูมิซึ่ง เป็นภูมิที่อาศัยอยู่ของสัตว์ที่มีวิญญาณ ดังต่อไปนี้
         ๑. นานัตตกายภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน มี ๑๔ ภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑ และ
ปฐมฌานภูมิ ๓
         ๒. เอกัตตกายภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือน ๆ กัน มี ๑๒ ภูมิ คือ ทุติยฌานภูมิ
๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาส ภูมิ ๕
         ๓. นานัตตสัญญีภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตต่างกัน มี ๑๐ ภูมิ คือ กามสุคติภูมิ ๗ และ ทุติยฌานภูมิ ๓
         ๔. เอกัตตสัญญีภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตอย่าง เดียวกันมี ๑๖ ภูมิคือ อบายภูมิ ๔, ปฐมฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลา ภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕
         ๕. อากาสานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากาสานัญจายตน ภูมิ ๑ ภูมิ


หน้า ๒๓

         ๖. วิญญาณัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในวิญญาณัญจายตนภูมิ ๑ ภูมิ
         ๗. อากิญจัญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากิญจัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ
         ๘. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเนวสัญญานา สัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ
         กล่าวโดย นัยแห่งภพ ก็มี ๙ ภพ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

องค์ที่ ๓ วิญญาณ

         วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป คือนามรูปจะปรากฏขึ้นได้ ก็เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย ลักขณาทิจตุกะ
ของวิญญาณ คือ

         วิชานน ลกฺขณํ                     มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
         ปุพฺพงฺคม รสํ                      เป็นประธานแก่เจตสิกและกัมมชรูป เป็นกิจ
         ปฏิสนฺธิ ปจฺจุปฏฺฐานํ               มีการสืบต่อระหว่างภพเก่ากับภพใหม่ เป็นผล
         สงฺขาร ปทฏฺฐานํ                   มีสังขาร (๓) เป็นเหตุใกล้
         (วา)วตฺถารมฺมณ ปทฏฺฐานํ         (หรือ)มีวัตถุ(๖) กับอารมณ์(๖) เป็นเหตุใกล้

         ในบทก่อนกล่าวว่า วิญญาณอันเป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขารนั้น จำแนก ได้เป็น ๒ ประเภท คือ
         ก. ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑๙
         ข. ปวัตติวิญญาณ ได้แก่ โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒
         ในบทนี้ก็กล่าวได้ว่า วิญญาณอันเป็นปัจจัยธรรม คือเป็นสิ่งอุปการะช่วยเหลือ ให้เกิดนามรูปนั้น ก็จำแนกได้เป็น ๒ ประเภทเหมือนกัน คือ
         ก. วิปากวิญญาณ ได้แก่ โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ ดวง วิปากวิญญาณนี้ เป็นเหตุใกล้ (อาสนฺนการณํ)
         ข. กัมมวิญญาณ ได้แก่ อกุสลจิต ๑๒ และโลกียกุสลจิต ๑๗ ที่สหรคตกับ อกุสลเจตนากรรมและโลกียกุสล
เจตนากรรมในอดีตภพ กล่าวสั้น ๆ ก็ว่า กัมม วิญญาณก็คือกรรม ๒๙ นั่นเอง กัมมวิญญาณนี้เป็นเหตุไกล (ทูรการณํ)


หน้า ๒๔

         ส่วนนามรูป อันเป็นปัจจยุบบันนธรรมของวิญญาณ นั้นมีความหมายดังนี้
         นาม ในบทนี้หมายถึง เจตสิก เท่านั้น
         ก. ตามนัยแห่งพระอภิธรรม ซึ่งได้กล่าวแล้วในบทก่อนว่า วิญญาณได้แก่ จิต ทั้งหมด ดังนั้นในบทนี้ นามคือ
เจตสิก ก็ได้แก่ เจตสิกทั้ง ๕๒ ดวง ซึ่งประกอบ กับจิตทั้งหมดนั้นตามควรแก่ที่จะประกอบได้
         ข. ตามนัยแห่งพระสูตร ซึ่งในบทก่อนว่า วิญญาณ ได้แก่โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ ดังนั้นในบทนี้ นามคือเจตสิก
ก็ได้แก่ เจตสิกเพียง ๓๕ ดวง ที่ประกอบกับ โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ เท่านั้น
         นาม คือ เจตสิก ที่ประกอบกับปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ก็เรียกว่า ปฏิสนธินาม (ปฏิสนธิเจตสิก) เจตสิกที่เกิดใน
ปฏิสนธิกาลนี้ อาศัยกัมมวิญญาณในอดีตภพ และ ปฏิสนธิวิญญาณในปัจจุบันภพ เป็นปัจจัย
         นาม คือ เจตสิก ที่ประกอบกับปวัตติวิญญาณ ๓๒ ก็เรียกว่า ปวัตตินาม (ปวัตติเจตสิก) เจตสิกที่เกิดใน
ปวัตติกาลนี้ อาศัยปวัตติวิปากวิญญาณแต่อย่างเดียว เป็นปัจจัย
         ส่วน รูป ในบทนี้ หมายถึงรูปภายในสัตว์ทั้ง ๒๘ รูป กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า หมายเฉพาะกัมมชรูปโดยตรง และจิตตชรูปโดยอ้อมเท่านั้น
         กัมมชรูปที่เกิดพร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณ ๑๕ (เว้นอรูปปฏิสนธิวิญญาณ ๔) นั้นเรียกว่า ปฏิสนธิรูป กัมมชรูปที่
เกิดในปฏิสนธิกาลนี้ อาศัยกัมมวิญญาณใน อดีตภพ และปฏิสนธิวิญญาณในปัจจุบันภพ เป็นปัจจัย
         ปวัตติกัมมชรูป ที่เกิดจากกัมมวิญญาณ ๒๕ (เว้นอรูปกัมมวิญญาณ ๔) นั้น อย่างหนึ่ง กับจิตตชรูปที่เกิด
จากปวัตติวิญญาณ ๑๘ (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ และอรูปวิปากวิญญาณ ๔) อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๒ อย่างนี้เรียกว่า
ปวัตติรูป กัมมชรูป ที่เกิดในปวัตติกาลนี้อาศัยกัมมวิญญาณในอดีตภพแต่อย่างเดียวเป็นปัจจัย ส่วน จิตตชรูปที่เกิด
ขึ้นในปฏิสนธิกาลนั้นไม่มี มีแต่เกิดขึ้นในปวัตติกาล โดยอาศัยปวัตติ วิปากวิญญาณเป็นปัจจัย
         รวมความว่า รูปในปฏิสนธิกาล มีแต่กัมมชรูปอย่างเดียว รูปในปวัตติกาล มีได้ทั้งกัมมชรูป และจิตตชรูป
         วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูปนี้ จำแนกความเป็นปัจจัยได้เป็น ๓ ประการ คือ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูป และวิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป


หน้า ๒๕

วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม

         วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม หมายเฉพาะว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่เจตสิก แต่ อย่างเดียว ไม่เกี่ยวแก่รูปด้วย
         ๑. กัมมวิญญาณ ได้แก่ อรูปาวจรกุสลจิต ๔ ดวงที่สหรคตด้วยรูปวิราค เจตนาในอดีตภพ เป็นปัจจัยแก่
ปฏิสนธินาม คือ เจตสิก ๓๐ ดวงที่ประกอบกับ ปฏิสนธิวิญญาณในจตุโวการภูมิ ๔ ในปฏิสนธิกาล
         ๒. วิปากวิญญาณ ได้แก่ อรูปาวจรปฏิสนธิวิญญาณ ๔ ดวง ในปัจจุบันภพ เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธินาม คือ
เจตสิก ๓๐ ดวง ที่ประกอบกับปฏิสนธิจิตใน จตุโวการภูมิ ๔ ในปฏิสนธิกาล
         ๓. วิปากวิญญาณ ได้แก่ อรูปาวจรวิปากวิญญาณ ๔ ดวง คือ ภวังคจิตเป็น ปัจจัยแก่ปวัตตินาม คือ
เจตสิก ๓๐ ดวงที่ประกอบกับภวังคจิตในจตุโวการภูมิ ๔ ในปวัตติกาล

วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูป

         วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูป หมายเฉพาะว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูปแต่อย่าง เดียว ไม่เกี่ยวแก่นามด้วย
         วิญญาณในที่นี้หมายถึง กัมมวิญญาณ อันได้แก่ รูปาวจรปัญจมฌานกุสลจิต ที่สหรคตด้วยเจตนาในสัญญาวิราค
ภาวนาในอดีตภพ เป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปในเอกโวการภูมิ คือ อสัญญสัตตภูมิ ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล

วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป

          วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป หมายความว่า วิญญาณนั้นอุปการะช่วยเหลือ ให้เกิดทั้งนาม คือ เจตสิก
ทั้งรูปคือกัมมชรูปและจิตตชรูปด้วย
          ๑. กัมมวิญญาณ ได้แก่ อกุสลจิต ๑๑ มหากุสลจิต ๘ และ รูปาวจรกุสล จิต ๕ รวมเป็น ๒๔ ดวง ที่สหรคต
ด้วยเจตนาในอดีตภพ เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธินาม และปฏิสนธิรูปในปัญจโวการภูมิ ๒๖ ในปฏิสนธิกาล
          ปฏิสนธินาม คือ เจตสิก ๓๕ ดวง ที่ประกอบกับปฏิสนธิจิต ๑๕ ดวง
          ปฏิสนธิรูป คือ กัมมชรูปที่เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต ๑๕ ดวงนั้น


หน้า ๒๖

         ๒. วิปากวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๕ ดวง ในปัจจุบันภพ เป็น ปัจจัยแก่ปฏิสนธินาม คือเจตสิก ๓๕ และกัมมชรูปที่เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้น ในปัญจโวการภูมิ ๒๖ ในปฏิสนธิกาล
         ๓. วิปากวิญญาณ ได้แก่ ภวังคจิต ๑๕ ดวง เป็นปัจจัยแก่ปวัตตินาม คือ เจตสิก ๓๕ และปวัตติรูป คือ จิตตชรูป ในปัญจโวการภูมิ ๒๖ ในปวัตติกาล
         ๔. วิปากวิญญาณ ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ และโสมนัสสันตีรณจิต ๑ เป็นปัจจัยแก่ ปวัตตินาม คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ และปวัตติรูป คือจิตตชรูป ในปัญจโวการภูมิ ๒๖ ในปวัตติกาล
         ๕. วิปากวิญญาณ ได้แก่ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ เป็นปัจจัยแก่ ปวัตตินาม คือสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ในปัญจโวการภูมิ ๒๖ ในปวัตติกาล

ปัจจัย ๒๔ เกี่ยวแก่วิญญาณ

         ในบทวิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูปนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้ว ก็เป็นไป ด้วยอำนาจแห่งปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ
         ก. วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม คือ เจตสิกแต่อย่างเดียว (ในจตุโวการภูมิ) นั้น ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๙ ปัจจัย
คือ
         ๑.สหชาตปัจจัย          ๒.อัญญมัญญปัจจัย              ๓.นิสสยปัจจัย
         ๔.วิปากปัจจัย            ๕.อาหารปัจจัย                  ๖.อินทรียปัจจัย
         ๗.สัมปยุตตปัจจัย        ๘.อัตถิปัจจัย                     ๙.อวิคตปัจจัย
         ข. วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูป คือ กัมมชรูปแต่อย่างเดียว(ในเอกโวการภูมิ) นั้น ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๔ ปัจจัย
คือ
         ๑. วิปากปัจจัย            ๒. วิปปยุตตปัจจัย
         ๓. นัตถิปัจจัย             ๔. วิคติปัจจัย
         ค. วิญญาณเป็นปัจจัยทั้งนามทั้งรูป (ในปัญจโวการภูมิ) ก็ด้วยอำนาจแห่ง ปัจจัย ๙ ปัจจัย ซึ่งเหมือนกับข้อ ก. เว้นแต่หมายเลข ๗ สัมปยุตตปัจจัย เปลี่ยน เป็นวิปปยุตตปัจจัย ปัจจัยเดียวเท่านั้น ส่วนอีก ๘ ปัจจัยนั้นเหมือนกัน
ทุกปัจจัย


หน้า ๒๗

         ความหมายแห่งปัจจัยเหล่านี้ ปัจจัยใดที่ซ้ำในบทก่อนที่ได้แสดงความหมายมา แล้วก็จะไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก จะกล่าวถึงความหมายเฉพาะปัจจัยที่ไม่ซ้ำกับบทก่อน คือ
         ๑. วิปากปัจจัย กล่าวถึงวิบากนามขันธ์ ๔ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่กัน และกัน ทั้งช่วยอุปการะแก่รูปที่เกิด
พร้อมกับตนนั้นด้วย ในที่นี้ก็ได้แก่ วิญญาณ (คือจิต) เป็นวิปากปัจจัย นาม(คือเจตสิก) และรูปที่เกิดพร้อมกับวิญญาณนั้น เป็นวิปากปัจจยุบบัน
         ๒. อาหารปัจจัย กล่าวถึง อาหารทั้ง ๔ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามรูป ที่เกิดพร้อมกันนั้น ในที่นี้ได้แก่
วิญญาณ(คือจิต) เป็นอาหารปัจจัย นาม(คือเจตสิก) และรูปที่เกิดพร้อมกับจิตนั้นเป็นอาหารปัจจยุบบัน
         ๓. อินทรียปัจจัย กล่าวถึง ปสาทรูป ๕ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่ปัญจ วิญญาณอย่างหนึ่ง รูปชีวิตินทรียเป็น
ปัจจัยช่วยอุปการะแก่อุปาทินนกรูปอย่างหนึ่ง และนามอินทรียเป็นปัจจัย ช่วยอุปการะแก่นามรูปที่เกิดพร้อมกับตนนั้นอีก
อย่าง หนึ่ง ดังนั้นในที่นี้ วิญญาณ(คือจิต) จึงเป็นอินทรียปัจจัย นามรูปเป็นอินทรีย ปัจจยุบบัน
         ๔. วิปปยุตตปัจจัย หมายถึงธรรมที่ไม่ได้ประกอบกันด้วยลักษณะ ๔ อย่าง คือ เอกุปปาทะ เอกนิโรธะ
เอกาลัมพนะ และเอกวัตถุกะ ดังนั้นในที่นี้ วิญญาณ (คือจิต) เป็นวิปปยุตตปัจจัย รูปที่เกิดพร้อมกับจิตนั้น (หรือแม้แต่
เกิดก่อน) ก็เป็น วิปปยุตตปัจจยุบบัน

องค์ที่ ๔ นามรูป

         นามรูป เป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะ คือ อายตนะภายใน ๖ จะปรากฏขึ้นได้ก็ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย
         นามในบทนี้ คือ เจตสิก มีลักขณาทิจตุกะดังนี้

         นมนลกฺขณํ              มีการน้อมไปสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
         สมฺปโยครสํ              มีการประกอบกับวิญญาณ และประกอบกันเอง โดยอาการที่เกิดพร้อมกันเป็นต้น เป็นกิจ          อวินิพฺโภคปจฺจุปฏฺฐานํ มีการไม่แยกกันกับจิต เป็นผล
         วิญฺญาณปทฏฺฐานํ       มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้


หน้า ๒๘

         รูปในที่นี้ คือ กัมมชรูป(โดยตรง) จิตตชรูป(โดยอ้อม) ลักขณาทิจตุกะ ของ รูปมีดังนี้

         รุปฺปนลกฺขณํ             มีการสลาย แตกดับ เป็นลักษณะ แตกดับไปด้วย อำนาจปัจจัย
         วิกิรณรสํ                 มีการแยกออกจากกัน(กับจิต)ได้ เป็นกิจ
         อพฺยากตาปจฺจุปฏฺฐานํ   มีความเป็นอพยากตธรรม (ในที่นี้หมายถึงความ ไม่รู้อารมณ์) เป็นผล
         วิญฺญาณปทฏฺฐานํ        มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้

         นาม คือ เจตสิก ที่เป็นปัจจัยแก่อายตนะนั้น ได้แก่ เจตสิก ๓๕ ที่ประกอบ กับโลกียวิปากจิต ๓๒ เท่านั้น
         รูป ที่เป็นปัจจัยแก่อายตนะนั้น ก็ได้แก่ กัมมชรูป เท่านั้น
         อายตนะที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของนามรูปนั้นได้แก่ สฬายตนะ คือ อายตนะภายใน ๖ ที่มีชื่อว่า
อัชฌัตติกายตนะ มีจักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ และ มนายตนะ
         อายตนะ มีความหมายว่า เป็นเครื่องต่อ เป็นบ่อเกิดแห่งจิตและเจตสิก เป็นเครื่องต่อเป็นบ่อเกิดแห่งวิถีจิต
         นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ ดังนี้
         ๑. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ จักขุปสาท จึงปรากฏ จักขวายตนะ
         ๒. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ โสตปสาท จึงปรากฏ โสตายตนะ
         ๓. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ ฆานปสาท จึงปรากฏ ฆานายตนะ
         ๔. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ ชิวหาปสาท จึงปรากฏ ชิวหายตนะ
         ๕. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป คือ กายปสาท จึงปรากฏ กายายตนะ
         ๖. เพราะเหตุว่ามี กัมมชรูป เจตสิก ๓๕ (ที่ประกอบกับโลกียวิปากวิญญาณ ๓๒) จึงปรากฏ มนายตนะ
         โดยเฉพาะ มนายตนะนี้ มีวาทะ เป็น ๒ นัย คือ
         ก. อรรถกถาจารย์ และฎีกาจารย์บางท่าน กล่าวว่า มนายตนะนี้ได้แก่ โลกีย วิปากจิต ๓๒
         ข. ภาสาฎีกาจารย์บางท่านกล่าวว่า มนายตนะนี้ได้แก่ ภวังคจิต ๑๙ เท่านั้น โดยอ้างว่า ภวังคจิต เป็นตัว
มโนทวาร ช่วยอุปการะให้ ผัสสะ และเวทนาเกิดขึ้น ซึ่งตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า มนญฺจ ปฏิจฺจ ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺญาณํ ติณฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา ฯลฯ ซึ่งแปลความว่า มโนวิญญาณ ย่อมปรากฏขึ้นได้
เพราะอาศัย มโนทวาร กับ ธัมมารมณ์ เมื่อธรรมทั้ง ๓ นี้ ประชุมร่วมกันแล้วเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยแก่
เวทนา ฯลฯ


หน้า ๒๙

         อนึ่ง มีข้อสังเกตอยู่ว่า ในบทก่อนกล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป คือ โลกียวิปากวิญญาณทำให้เกิดเจตสิก และกัมมชรูป
         ในบทนี้กล่าวว่า นามรูปเป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะ คือ นามอันได้แก่เจตสิก ทำให้เกิดมนายตนะ อันได้แก่ โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ และ กัมมชรูปทำให้เกิด ปัญจายตนะ (อายตนะ ๕) นี่ก็คือ ปสาทรูป ๕ นั่นเอง
         รวมกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็ได้ความว่า บทก่อนกล่าวว่า จิตทำให้เกิดเจตสิก แต่ บทนี้กลับกล่าวว่า เจตสิกทำ
ให้เกิดจิต
จึงทำให้เป็นที่น่าสงสัยอยู่
         ข้อนี้มีอธิบายว่า การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเช่นนี้ ก็ด้วยอำนาจแห่ง สหชาตปัจจัย คือ ความเกิดพร้อมกัน เกิดร่วมกันของธรรมเหล่านั้นประการหนึ่ง และด้วยอาศัยอำนาจแห่ง อัญญมัญญปัจจัย คือ ความอาศัยซึ่งกันและกัน
ของ ธรรมเหล่านั้นอีกประการหนึ่ง
         กล่าวคือ นาม คือเจตสิกกับมนายตนะ คือโลกียวิปากวิญญาณนั้นเกิดพร้อม กันเกิดร่วมกัน ดังนั้นจะว่าเจตสิก
เกิดพร้อมกับจิตเกิดร่วมกับจิต หรือจะว่าจิตเกิด พร้อมกับเจตสิกเกิดร่วมกับเจตสิก ก็ได้ทั้ง ๒ อย่าง นี่กล่าวโดยอำนาจ
แห่ง สหชาตปัจจัย
         กล่าวโดยอำนาจแห่งอัญญมัญญปัจจัย จิตกับเจตสิกที่เกิดพร้อมกันเกิดร่วมกัน นั้นต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน อุปการะหรืออุดหนุนซึ่งกันและกัน ดังนั้นจะว่าเจตสิก อุดหนุนอุปการะจิต หรือว่าจิตอุปการะอุดหนุนเจตสิกก็ได้ทั้ง ๒ อย่างอีกเหมือนกัน
         ส่วนรูปนั้น ปสาทรูป ๕ และปัญจายตนะ คือ อายตนะทั้ง ๕ ก็เป็นรูปอัน เดียวกันนั่นเอง แต่เมื่อกล่าวโดยสมุฏฐาน ก็เรียกว่า กัมมชรูป และเมื่อกล่าวโดย ความเป็นเครื่องต่ออันเป็นบ่อเกิดแห่งวิถีจิต ก็เรียกว่า อายตนะ เมื่อมีปสาทรูปจึง จะเป็นเครื่องต่อก่อให้เกิดจิต เจตสิก และวิถีจิตได้


หน้า ๓0

ปัจจัย ๒๔ เกี่ยวแก่นามรูป

         ในบท นามรูป เป็นปัจจัยแก่ สฬายตนะนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้ว ก็มี รายละเอียดที่จะกล่าวได้เป็น
หลายรายการด้วยกัน จึงขอกล่าวรวบยอดเป็นส่วนรวม ทั้งหมดว่า นามรูปที่อุปการะช่วยเหลือแก่ สฬายตนะนั้นด้วย
อำนาจแห่งปัจจัย ๑๖ ปัจจัย คือ
         ๑.เหตุปัจจัย               ๒.สหชาตปัจจัย            ๓.อัญญมัญญปัจจัย
         ๔.นิสสยปัจจัย             ๕.ปุเรชาตปัจจัย            ๖.ปัจฉาชาตปัจจัย
         ๗.กัมมปัจจัย              ๘.วิปากปัจจัย              ๙.อาหารปัจจัย
         ๑๐.อินทรียปัจจัย          ๑๑.ฌานปัจจัย              ๑๒.มัคคปัจจัย
         ๑๓.สัมปยุตตปัจจัย        ๑๔.วิปปยุตตปัจจัย          ๑๕.อัตถิปัจจัย
         ๑๖.อวิคตปัจจัย
         ในจำนวน ๑๖ ปัจจัยนี้ ปัจจัยใดที่ได้เคยแสดงความหมายแล้วในบทก่อน ก็จะไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก จะกล่าวถึง
ความหมายเฉพาะปัจจัยที่ไม่ซ้ำกับบทก่อน คือ
         ๑. ปุเรชาตปัจจัย กล่าวถึงรูปธรรมที่เกิดก่อน อุปการะช่วยเหลือให้เกิดนาม ธรรมอันมีความหมายว่า วัตถุ ๖ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่วิญญาณธาตุ ๗ ใน ปวัตติกาล(วัตถุปุเรชาตปัจจัย) นั้นอย่างหนึ่ง
         อารมณ์ ๕ เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่ ปัญจวิญญาณวิถี (อารัมมณปุเรชาต ปัจจัย) อีกหนึ่ง
         ทั้ง ๒ อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่ง ปุเรชาตปัจจัย
         ๒. ปัจฉาชาตปัจจัย กล่าวถึง นามธรรม คือ จิตเจตสิกที่เกิดภายหลังเป็น ปัจจัยช่วยอุปการะแก่รูปธรรมที่
เกิดก่อน
         ตัวอย่างในบทนี้เช่น จักขุวิญญาณ และเจตสิก ๗ ดวง อันเป็นนามที่เกิด ภายหลังนี่แหละ เป็นปัจจัยช่วย
อุปการะแก่ จักขุปสาทรูป(จักขวายตนะ) ที่เกิดก่อน ให้ตั้งอยู่ได้ด้วยดีตลอดไป
         ๓. กัมมปัจจัย กล่าวถึง
         ก. เจตนาที่เกิดร่วมพร้อมกัน เป็นปัจจัยช่วย อุปการะแก่นามรูปที่เกิดพร้อมกับเจตนานั้น ซึ่งเรียกว่า สหชาตกัมมปัจจัยอย่างหนึ่ง กล่าว โดยหน้าที่การงานเรียกสังวิธานกิจ
         ข. เจตนาที่เกิดต่างขณะกัน (คือดับไปแล้วนั้น) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่ นามรูป ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกรรม
(คือเจตนาที่ดับไปแล้ว)นั้น ซึ่งเรียกว่า นานักขณิกกัมมปัจจัย อีกอย่างหนึ่ง กล่าวโดยหน้าที่การงานเรียกพีชนิธานกิจ
         ทั้ง ๒ อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งกัมมปัจจัย