พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 35อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต
หน้า 85-87 ข้อ 28 อริยวังสสูตร
๘. อริยวังสสูตร
ว่าด้วยอริยวงส์ ๔ ประการ [ ๒๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔ ประการนี้ ปรากฏว่าเป็นธรรมอันเลิศ ยั่งยืนเป็นแบบแผนมาแต่เก่า
ก่อน ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ( ในอดีตกาล ) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ ( ในปัจจุบันกาล ) จักไม่ถูกทอดทิ้ง
( ในอนาคตกาล ) สมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว อริยวงศ์ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง คือภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้
ไม่ทำ อเนสนาการแสวงหาไม่สมควร เพราะจีวรเป็นเหตุ ไม่ได้จีวรก็ไม่ทุรนทุราย ได้จีวรแล้วก็ไม่ติดใจ
สยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ ฉลาดในอุบายที่จะถอนตัวออก บริโภค ( จีวรนั้น ) อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
เพราะความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใด เป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความ
สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อนอีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยบิณฑบาตตาม
มีตามได้ ไม่ทำอเนสนาการแสวงหาไม่สมควรเพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ไม่ได้บิณฑบาตก็ไม่ทุรนทุราย
ได้บิณฑบาตแล้วก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ ฉลาดในอุบายที่จะถอนตัวออกบริโภค ( บิณฑบาตนั้น )
อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน
มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์
อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อนอีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วย
เสนาสนะตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนาการแสวงหาไม่สมควรเพราะเสนาสนะเป็นเหตุ
ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่ทุรนทุราย ได้เสนาสนะแล้วก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ ฉลาดใน
อุบายที่จะถอนตัวออกบริโภค ( เสนาสนะนั้น ) อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตาม
ได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น
ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อนอีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีภาวนา ( การบำเพ็ญกุศล ) เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในภาวนา เป็นผู้มีปหานะ ( การละ
อกุศล ) เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในปหานะ อนึ่ง ไม่ยกตนข่มผู้อื่นเพราะความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่ยินดี เพราะความ
ยินดีในภาวนา เพราะ ความเป็นผู้มีปหานะเป็นที่ยินดี เพราะความยินดีในปหานะนั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดไม่เกียจ
คร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น ในความยินดีในภาวนาและปหานะนั้นภิกษุนี้เราเรียกว่าผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์อัน
ปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาเก่าก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลอริยวงศ์ ๔ ประการ ที่ปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศยั่งยืน เป็นแบบแผนมาแต่เก่าก่อน ไม่ถูก
ทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย ( ในอดีตกาล ) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ ( ในปัจจุบันกาล ) จักไม่ถูกทอดทิ้ง ( ในอนาคต
กาล ) สมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้วภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุผู้ประกอบพร้อมด้วยอริยวงศ์ ๔ ประการนี้ แม้หากอยู่ในทิศตะวันออก...ทิศตะวันตก...
ทิศเหนือ...ทิศใต้ เธอย่อมย่ำยีความไม่ยินดีเสียได้ ความไม่ยินดีหาย่ำยีเธอได้ไม่ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่าภิกษุผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้ข่มได้ทั้งความไม่ยินดีทั้งความยินดีความไม่ยินดีหาย่ำยีภิกษุผู้มีปัญญาได้ไม่ ความไม่ยินดีหาครอบงำภิกษุผู้มีปัญญาได้ไม่ แต่
ภิกษุผู้มีปัญญาย่ำยีความไม่ยินดีได้ เพราะภิกษุผู้มีปัญญาเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีได้ใครจะมาขัดขวางภิกษุผู้ละกรรมทั้งปวง ผู้ถ่ายถอน ( กิเลสที่มิให้บรรลุวิมุตติ ) แล้วไว้ได้
ใครจะควร ติภิกษุ ( ผู้บริสุทธิ์ ) ดุจแท่งทองชมพูนุทนั้นเล่า แม้เทวดาก็ย่อมชมถึงพรหมก็สรรเสริญ
จบ อริยวังสสูตร