พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 10 ทีฆนิกาย มหาวรรค
ข้อที่ 163-186 มหาสุทัสสนสูตร


มหาสุทัสสนสูตร
เรื่องพระอานนท์เถระ

[๑๖๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

ในสมัยใกล้เสด็จปรินิพพานคราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับในระหว่าง ไม้สาละ ในสาลวัน อันเป็นที่แวะ
พักของเหล่ามัลละกษัตริย์ เขตกรุงกุสินารา ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้า แล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระ
ผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคอย่าเสด็จ ปรินิพพาน ในเมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองนี้เลย
นครใหญ่เหล่าอื่น มีอยู่คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพีเมืองพาราณสี
ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดี
มหาศาล ที่เลื่อมใสพระตถาคตอย่างยิ่ง มีอยู่มากใน เมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจักกระทำการบูชาพระสรีระของ
พระตถาคต ดังนี้ ฯ

เรื่องพระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัสสนะ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า เมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมือง ดังนี้เลย
ดูกรอานนท์ แต่ปางก่อน มีพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า มหาสุทัสสนะ เป็นกษัตริย์ผู้ได้มูรธาภิเษก เป็นใหญ่ใน
แผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง ดูกรอานนท์ เมืองกุสินารานี้ มีนามว่า
กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดย ยาวด้านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทิศอุดร
และทิศทักษิณ ๗ โยชน์ ดูกรอานนท์ กุสาวดี ราชธานีเป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่นและมีภิกษา
หาได้ง่าย ดูกรอานนท์ เมืองอาลกมันทาราชธานี แห่ง เทพเจ้าทั้งหลาย เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก ยักษ์
หนาแน่น และมีภิกษา หาได้ง่าย แม้ฉันใด เมืองกุสาวดีราชธานีก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเมืองที่มั่งคั่ง รุ่งเรือง มี
ชนมาก มนุษย์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย ดูกรอานนท์ กุสาวดี ราชธานี มิได้เงียบจากเสียง ๑๐ ประการ
ทั้งกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล
เสียงประโคม และเสียงเป็นที่ ๑๐ ว่า ท่านทั้งหลาย จงบริโภค จงดื่ม จงเคี้ยวกิน ดูกรอานนท์ กุสาวดีราชธานี
แวดล้อมด้วยกำแพง ๗ ชั้น คือ กำแพงแล้วด้วย ทองชั้น ๑ แล้วด้วยเงินชั้น ๑ แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ชั้น ๑ แล้วด้วยแก้ว
ผลึกชั้น ๑ แล้วด้วยแก้วโกเมนชั้น ๑ แล้วด้วยบุษราคัมชั้น ๑ แล้วด้วยรัตนะทุกอย่างชั้น ๑ ดูกรอานนท์ เมืองกุสาวดี
ราชธานี มีประตูสำหรับวรรณะทั้ง ๔ คือ ประตู ๑ แล้วด้วยทอง ประตู ๑ แล้วด้วยเงิน ประตู ๑ แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์
ประตู ๑ แล้วด้วยแก้วผลึก ในประตู ๑ มีเสาระเนียดปักไว้ประตูละ ๗ เสา ปักลึก ๓ ชั่วบุรุษ โดยส่วนสูง ๑๒ ชั่วบุรุษ
เสาระเนียดต้นหนึ่งแล้วด้วยทอง ต้นหนึ่ง แล้วด้วยเงิน ต้นหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ต้นหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ต้นหนึ่ง แล้วด้วยแก้วโกเมน ต้นหนึ่งแล้วด้วยบุษราคัม ต้นหนึ่งแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ดูกรอานนท์ กุสาวดีราชธานีแวดล้อมด้วย
ต้นตาล ๗ แถว ต้นตาลแถวหนึ่งแล้ว ด้วยทอง แถวหนึ่งแล้วด้วยเงิน แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แถวหนึ่งแล้ว ด้วย
แก้วผลึก แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วโกเมน แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วบุษราคัม แถวหนึ่งแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ต้นตาลที่แล้ว
ด้วยทอง ลำต้นแล้วด้วยทอง ใบ และผลแล้วด้วยเงิน ต้นตาลที่แล้วด้วยเงิน ลำต้นแล้วด้วยเงิน ใบและผลแล้ว ด้วยทอง
ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ลำต้นแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ใบและผล แล้วด้วยแก้วผลึก ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วผลึก
ลำต้นแล้วด้วยแก้วผลึก ใบและ ผลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วโกเมน ลำต้นแล้วด้วยแก้วโกเมน
ใบและผลแล้วด้วยแก้วบุษราคัม ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลำต้นแล้วด้วย แก้วบุษราคัม ใบและผลแล้วด้วยแก้ว
โกเมน ต้นตาลที่แล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ลำต้นแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ใบและผลแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ดูกรอานนท์
แถวต้นตาลเหล่านั้น เมื่อต้องลมพัดแล้ว มีเสียงไพเราะยวนใจ ชวนให้ฟังและ ให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ เปรียบ
เหมือนดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕ ที่บุคคลปรับ ดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ เสียงย่อมไพเราะยวนใจ
ชวนให้ ฟังและให้เคลิบเคลิ้มฉันใด เสียงแห่งแถวต้นตาลเหล่านั้น ที่ต้องลมพัดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไพเราะ ยวนใจ
ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ ก็สมัยนั้น ในกุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่น และนักดื่ม พวกเขาบำเรอกัน
ด้วยเสียงแห่งแถวต้นตาลที่ต้องลมเหล่านั้น ฯ

กถาว่าด้วยการปรากฏแห่งจักรรัตนะ

[๑๖๔] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ และด้วยฤทธิ์ ๔ ประการ แก้ว ๗ ประการ
เป็นไฉน ฯ

ดูกรอานนท์ เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสนานพระเศียรในวัน ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันอุโบสถ ทรงรักษาอุโบสถ
เสด็จขึ้นบนปราสาทอันประเสริฐ จักรแก้ว อันเป็นทิพย์ มีซี่พันหนึ่ง มีกง มีดุม พร้อมบริบูรณ์ โดยอาการทั้งปวง ได้
ปรากฏขึ้น ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็น จึงทรงพระดำริว่า ก็เราได้สดับเรื่องนี้มา แล้วว่า ผู้ใดเป็นขัตติยราชผู้ได้มูรธา
ภิเษกแล้ว สนานพระเศียรในวัน ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันอุโบสถ ทรงรักษาอุโบสถ เสด็จขึ้นสู่ปราสาทอันประเสริฐ จักรแก้วอัน
เป็นทิพย์ มีซี่พันหนึ่ง มีกง มีดุม พร้อมบริบูรณ์ โดยอาการทั้งปวงย่อมปรากฏ ขึ้น พระราชาผู้นั้น ย่อมเป็นพระเจ้า
จักรพรรดิดังนี้ เราพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือหนอ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จลุกจากอาสนะ
ทรง กระทำพระภูษาเฉวียงบ่า พระหัตถ์ซ้ายทรงจับพระเต้าทอง พระหัตถ์ขวาทรงชูจักร แก้วขึ้น ตรัสว่า จักรแก้ว
อันเจริญ จงเป็นไป จักรแก้วอันเจริญ จงชำนะวิเศษยิ่ง ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล จักรแก้วนั้นก็เป็นไปทางปุรัตถิมทิศ
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ พร้อมด้วยจตุรงคเสนา ก็เสด็จตามไป ดูกรอานนท์ จักรแก้วหยุดอยู่ในประเทศ ใด พระเจ้ามหา
สุทัสสนะ ก็เสด็จเข้าพักแรมพร้อมด้วยจตุรงคเสนา ในประเทศ นั้น ดูกรอานนท์ ก็ในปุรัตถิมทิศ พระราชาเหล่าใดเป็น
ปฏิปักษ์ พระราชา เหล่านั้นเข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่มหาราช ขอ พระองค์จงเสด็จ
มาเถิด พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ราชสมบัติของหม่อมฉัน ย่อม เป็นของพระองค์ ขอพระองค์จงประทานพระบรม
ราโชวาท ฯ พระเจ้ามหาสุทัสสนะจึงตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึง ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้
ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดื่ม น้ำเมา จงบริโภคตามเคยเถิด ดูกรอานนท์ ก็ในปุรัตถิมทิศ
พระราชาเหล่าใด เป็นปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั้นกลับอ่อนน้อม ต่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ดูกร อานนท์ ลำดับนั้น
จักรแก้วก็ย่างเข้าสู่สมุทรด้านปุรัตถิมทิศ แล้วกลับเวียนไปทาง ทิศทักษิณ ย่างเข้าสู่สมุทรด้านทักษิณทิศแล้วกลับ
เวียนไปทางทิศปัจจิม ย่างเข้า สู่สมุทรด้านทิศปัจจิมแล้วกลับเวียนไปทางทิศอุดร พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงติด ตามไป
พร้อมด้วย จตุรงคเสนา ดูกรอานนท์ ก็จักรแก้วหยุดอยู่ในประเทศใด พระเจ้ามหาสุทัสสนะก็เสด็จเข้าพักแรม
พร้อมด้วยจตุรงคเสนาในประเทศนั้น ดูกรอานนท์ ก็ในอุตตรทิศ พระราชาเหล่าใดเป็นปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั้น
เข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จง เสด็จมาเถิด พระองค์เสด็จมา
ดีแล้ว ราชสมบัติของหม่อมฉันย่อมเป็นของ พระองค์ ขอพระองค์จงประทานพระบรมราโชวาท ฯ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
จึงตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือ เอาของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงกล่าวเท็จ
ไม่พึงดื่ม น้ำเมา จงบริโภคตามเคยเถิด ดูกรอานนท์ ก็ในอุตตรทิศ พระราชาเหล่าใดเป็น ปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั้น
กลับอ่อนน้อมต่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ลำดับนั้น จักรแก้วนั้นก็ปราบปรามปฐพีมีสมุทรเป็นขอบเขตให้ราบคาบ เสร็จ
แล้วก็กลับมา กุสาวดีราชธานี ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ที่พระทวารภายในพระราชวัง ณ มุขสำหรับทำเรื่อง
ราวยังภายในราชวังของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ให้สว่างไสว อยู่ ดูกรอานนท์ จักรแก้วเห็นปานนี้ได้ปรากฏแก่พระเจ้า
มหาสุทัสสนะ ฯ

กถาว่าด้วยการปรากฏของหัตถิรัตนะเป็นต้น

[๑๖๕] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ช้างแก้วได้ปรากฏแก่พระเจ้า มหาสุทัสสนะ เป็นช้างเผือกล้วน เป็นที่พึ่ง
ของเหล่าสัตว์มีฤทธิ์ ไปในอากาศได้ เป็นพระยาช้างสกุลอุโบสถ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรแล้วทรงพอ พระทัย
ดำรัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือช้างอันเจริญ ถ้าได้ฝึกหัด ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น ช้างแก้วก็เข้าถึงการฝึกหัดเหมือนอย่าง
ช้างอาชานัยที่เจริญ อันเขาฝึกหัด เรียบร้อยดีแล้วตลอดเวลานานฉะนั้น ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า
มหาสุทัสสนะ เมื่อจะทรงทดลองช้างแก้วตัวนั้นแหละ พอเวลาเช้าก็เสด็จขึ้นทรง แล้วเสด็จเลียบไปตลอดปฐพีอัน
มีสมุทรเป็นขอบเขต เสด็จกลับกุสาวดีราชธานี แล้วเสวยพระกระยาหารเช้า ดูกรอานนท์ ช้างแก้วเห็นปานนี้ได้
ปรากฏแก่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ฯ

[๑๖๖] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ม้าแก้วได้ปรากฏแก่พระเจ้า มหาสุทัสสนะ เป็นม้าขาวล้วน ศีรษะดำ
มีผมเป็นพวงประดุจหญ้าปล้อง มี ฤทธิ์ ไปในอากาศได้ ชื่อวลาหกอัศวราช ท้าวเธอทอดพระเนตรแล้วทรงพอ
พระหฤทัย ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือม้าอันเจริญ ถ้าได้ฝึกหัด ลำดับนั้น ม้าแก้วนั้นก็เข้าถึงการฝึกหัดเหมือนอย่าง
ม้าอาชานัยตัวเจริญ ที่ได้รับการฝึกหัด เรียบร้อยดีแล้วตลอดเวลานาน ฉะนั้น ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า
มหาสุทัสสนะ เมื่อจะทรงทดลองม้าแก้วตัวนั้นแหละ ได้เสด็จขึ้นทรงในเวลาเช้า เสด็จเลียบไปตลอดปฐพีอันมีสมุทรเป็น
ขอบเขต แล้วเสด็จกลับมากุสาวดีราชธานี แล้วเสวยพระกระยาหารเช้า ดูกรอานนท์ ม้าแก้วเห็นปานนี้ได้ปรากฏแก่
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ฯ

[๑๖๗] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง แก้วมณีได้ปรากฏแก่พระเจ้า มหาสุทัสสนะ เป็นแก้วไพฑูรย์อันงามเกิดเอง
อย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นาย ช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง ดูกรอานนท์ แสงสว่าง ของแก้วมณีนั้น
แผ่ไปโดยรอบประมาณโยชน์หนึ่ง ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมี มาแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะเมื่อจะทรงทดลองแก้วมณีดวงนั้น
ทรงยังจตุรงคเสนาให้ผูกสอดเครื่องรบ ทรงยกแก้วมณีไว้ปลายธง แล้วเสด็จไปยืนในที่มืด ในราตรีกาล ดูกรอานนท์
ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ ต่างพากันสำคัญว่ากลางวัน ประกอบการงานด้วยแสงสว่างนั้น ดูกรอานนท์ แก้วมณีเห็นปานนี้
ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ฯ

[๑๖๘] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง นางแก้วได้ปรากฏแก่พระเจ้า มหาสุทัสสนะ เป็นสตรีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส
กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่อง ยิ่งนัก ไม่สูงเกิน ไม่ต่ำเกิน ไม่ผอมเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ดำเกิน ไม่ขาวเกิน เย้ยวรรณของหญิง
มนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณทิพย์ ดูกรอานนท์ สัมผัสแห่งกายของ นางแก้วนั้น เห็นปานนี้ คือ เหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย
นางแก้วนั้น ฤดูหนาว ตัวอุ่น ฤดูร้อนตัวเย็น กลิ่นจันทร์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก ของนางแก้วนั้น
นางแก้วนั้นมีปรกติตื่นก่อน มีปรกตินอนภายหลัง คอยฟังว่าจะ โปรดให้ทำอะไร ประพฤติต้องพระทัย เพ็ดทูลด้วยถ้อยคำ
ที่น่ารัก นางแก้วนั้น แม้ใจก็ไม่คิดนอกพระทัยพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ไหนเลยกายนางจะเป็นได้เล่า ดูกรอานนท์ นางแก้ว
เห็นปานนี้ ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ฯ

[๑๖๙] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง คฤหบดีแก้วได้ปรากฏแก่พระเจ้า มหาสุทัสสนะ คฤหบดีแก้วนั้นปรากฏ
ว่ามีจักษุเป็นทิพย์ซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรม อาจเห็นขุมทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ คฤหบดีแก้วนั้นเข้าเฝ้า
พระเจ้า มหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พระองค์จงมีความขวนขวายน้อย ข้าพระพุทธเจ้าจักกระทำ
หน้าที่เรื่องทรัพย์ด้วยทรัพย์ของพระองค์ ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะเมื่อจะทรงทดลอง
คฤหบดีแก้วนั้นแหละ ได้เสด็จลงเรือตัดข้ามกระแสน้ำไปกลางแม่น้ำคงคา แล้วตรัสกะคฤหบดีแก้วว่า คฤหบดี
เราต้องการเงินและทอง

คฤหบดีแก้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถ้า เช่นนั้น จงเทียบเรือเข้าไปริมตลิ่งข้างหนึ่ง

ดูกรคฤหบดี เราต้องการเงินและทอง ที่นี่

ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น คฤหบดีแก้วนั้น เอามือทั้งสองจุ่มน้ำลงไปยกหม้อ อันเต็มด้วยเงินและทองขึ้นมา แล้วกราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า ขอเดชะ เท่านี้พอละ เท่านี้เป็นอันทำแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ตรัสอย่าง
นี้ว่า คฤหบดี เท่านี้พอละ เท่านี้เป็นอันทำแล้ว เท่านี้เป็นอันบูชาแล้ว ดังนี้ ดูกรอานนท์ คฤหบดีแก้ว เห็นปานนี้ได้
ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ฯ

[๑๗๐] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ปริณายกแก้วได้ปรากฏแก่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ปริณายกแก้วนั้นเป็น
บัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญาสามารถ เพื่อยังพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ให้ดำเนินเข้าไปยังที่ที่ควรเข้าไป ให้หลีกไปยังที่ที่
ควรหลีกไป หรือให้ทรงยับยั้ง ในที่ที่ควรยับยั้ง ปริณายกแก้วนั้นเข้าเฝ้าพระเจ้า มหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า
ขอเดชะ ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวาย น้อย ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองเอง ดูกรอานนท์ ปริณายกแก้วเห็นปานนี้
ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงประกอบ ด้วยแก้ว ๗ ประการ ฯ

กถาว่าด้วยฤทธิ ๔

[๑๗๑] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงประกอบได้ด้วยฤทธิ์ ๔ ประการ ฤทธิ์ ๔ ประการ เป็นไฉน ฯ

ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีพระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก เกินกว่า
มนุษย์อื่นๆ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหา สุทัสสนะทรงประกอบด้วยฤทธิ์นี้ เป็นที่หนึ่ง ฯ

[๑๗๒] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นผู้มี พระชนม์ยืน ดำรงอยู่สิ้นกาลนานกว่า
มนุษย์เหล่าอื่นยิ่งนัก ดูกรอานนท์ พระเจ้า มหาสุทัสสนะทรงประกอบด้วยฤทธิ์นี้เป็นที่สอง ฯ

[๑๗๓] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงมี พระโรคาพาธน้อย มีทุกข์น้อย ประกอบ
ด้วยไฟธาตุ อันเกิดแต่วิบากสม่ำ เสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เกินกว่ามนุษย์เหล่าอื่น ดูกรอานนท์ พระเจ้า
มหาสุทัสสนะทรงประกอบด้วยฤทธิ์นี้ เป็นที่สาม ฯ

[๑๗๔] ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นที่ รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของพวกพราหมณ์
และคฤหบดีทั้งหลาย เหมือนอย่างบิดา ย่อมเป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของบุตรทั้งหลายฉันใด พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
ก็เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ฉันนั้น ดูกร อานนท์ พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย
เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของ พระเจ้ามหาสุทัสสนะเหมือนอย่างบุตร ย่อมเป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของบิดา ฉันใด
พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของพระเจ้า มหาสุทัสสนะ ฉันนั้น ดูกรอานนท์ เรื่องเคยมี
มาแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จออกประพาสพระราชอุทยานด้วยจาตุรงคเสนา ลำดับนั้น พวกพราหมณ์และ
คฤหบดีเข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอ พระองค์อย่าด่วนเสด็จไป พวกข้า
พระพุทธเจ้าจักได้เห็นพระองค์นานๆ ดูกร อานนท์ ฝ่ายพระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสเตือนสารถีว่า จงขับรถช้าๆ เรา
จะพึง ได้ดูพวกพราหมณ์และคฤหบดีนานๆ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงประกอบด้วยฤทธิ์นี้เป็นที่สี่
พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงประกอบด้วยฤทธิ์ ๔ ประการนี้ ฯ

การสร้างสระโบกขรณี

[๑๗๕] ครั้งนั้นแล อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราจะพึงขุดสระโบกขรณี
ระยะห่างกันสระละร้อยชั่วธนู ในระหว่าง ต้นตาลเหล่านี้ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ให้สร้างสระโบกขรณี
ระยะห่าง กันสระละร้อยชั่วธนู ในระหว่างต้นตาลเหล่านั้น สระโบกขรณีเหล่านั้น ก่อด้วยอิฐ ๔ ชนิด อิฐชนิดหนึ่งแล้ว
ด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วย แก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ในบรรดาสระโบกขรณี
เหล่านั้น สระ หนึ่งมีบันได ๔ ด้าน ๔ ชนิด บันไดด้านหนึ่งแล้วด้วยทอง ด้านหนึ่งแล้วด้วยเงิน ด้านหนึ่งแล้วด้วยแก้ว
ไพฑูรย์ ด้านหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดแล้วด้วยทอง แม่บันไดแล้วด้วยทอง ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยเงิน บันได
แล้วด้วยเงิน แม่บันได แล้วด้วยเงิน ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยทอง บันไดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แม่บันได แล้วด้วย
แก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก แม่บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก ลูกบันไดและ
พนักแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ดูกรอานนท์ สระโบกขรณีเหล่านั้นแวดล้อมด้วยเวทีสองชั้น เวทีชั้นหนึ่งแล้วด้วยทอง เวที
ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน เวทีแล้วด้วยทอง เสาแล้วด้วยทอง คั่นและกรอบแล้ว ด้วยเงิน เวทีแล้วด้วยเงิน เสาแล้วด้วยเงิน
คั่นและกรอบแล้วด้วยทอง ฯ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงให้ปลูก
ไม้ดอกเห็นปานนี้ ในสระโบกขรณีเหล่านี้ คืออุบล ปทุม โกมุท บุณฑริก อันเผล็ดดอกได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องให้ปวงชน
ผู้มาต้องกลับไปมือเปล่า ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะรับสั่งให้คนปลูกไม้ดอกเห็นปานนั้น ในสระ โบกขรณีเหล่านั้น
คือ อุบล ปทุม โกมุท บุณฑริก อันเผล็ดดอกได้ทุก ฤดูกาล ไม่ต้องให้ชนผู้มาต้องกลับไปมือเปล่า ครั้งนั้นแล อานนท์
พระเจ้า มหาสุทัสสนะ ได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงวางบุรุษผู้เชิญคนให้อาบน้ำ ไว้ที่ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านี้
จักได้เชิญคนผู้มาแล้วๆ ให้อาบ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงวางบุรุษผู้เชิญคนให้อาบน้ำไว้ที่ขอบสระโบก
ขรณีเหล่านั้น สำหรับเชิญคนผู้มาแล้วๆ ให้อาบ ฯ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้า
กระไร เราพึงตั้งทานเห็นปานนี้ไว้ที่ขอบสระโบกขรณีเหล่านี้ คือ ข้าวสำหรับ ผู้ต้องการข้าว น้ำสำหรับผู้ต้องการน้ำ
ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า ยานสำหรับผู้ต้อง การยาน ที่นอนสำหรับผู้ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงิน
สำหรับผู้ต้องการเงิน และทองสำหรับผู้ต้องการทอง ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงตั้งทานเห็นปาน
นี้ไว้ที่ขอบสระโบกขรณีเหล่านั้น คือข้าวสำหรับผู้ต้องการข้าว น้ำสำหรับผู้ต้องการน้ำ ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า
ยานสำหรับผู้ต้องการยาน ที่นอน สำหรับผู้ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงินสำหรับผู้ต้องการเงิน
และทองสำหรับผู้ต้องการทอง ฯ

[๑๗๖] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พวกพราหมณ์และคฤหบดี ถือเอาทรัพย์ สมบัติเป็นอันมาก เข้าไปเฝ้าพระเจ้า
มหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอ เดชะ ทรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมากนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้านำมาเฉพาะ
พระองค์เท่านั้น ขอพระองค์จงทรงรับทรัพย์สมบัตินั้น มีพระราชดำรัสว่า ช่างเถอะ พ่อผู้เจริญ ทรัพย์สมบัติอัน
มากมายนี้ พวกท่านนำมาเพื่อเราโดยพลีอันชอบธรรม จงเป็นของ พวกท่านเถิด และจงนำเอาไปยิ่งกว่านี้
พวกเขาถูกพระราชาตรัสห้าม ได้หลีก ไปข้างหนึ่ง แล้วปรึกษากันอย่างนี้ว่า การที่พวกเราจะนำทรัพย์สมบัติเหล่านี้
กลับคืนไปยังเรือนของตนอีกนั้น ไม่สมควรเลย ถ้ากระไร พวกเราจงช่วยกัน สร้างนิเวศน์ถวายพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจะช่วยกันสร้างนิเวศน์ถวายแด่
พระองค์ ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงรับด้วยดุษณีภาพ ฯ

เรื่องท้าวสักกะให้สร้างปราสาทประทับ

[๑๗๗] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงทราบ พระดำริของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ จึงมีเทวโอง
การตรัสเรียกวิศวกรรมเทพบุตรมา สั่งว่า เพื่อนวิศวกรรม เธอจงมานี่เถิด เธอจงไปสร้างนิเวศน์ชื่อว่าธรรมปราสาท
เพื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ดูกรอานนท์ วิศวกรรมเทวบุตรรับสนองเทวบัญชาแล้ว อันตรธานไปจากดาวดึงสเทวโลก ได้ปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ออกหรือคู้แขนที่
เหยียดเข้า ฉะนั้น ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น วิศวกรรมเทวบุตร ได้กราบทูลพระเจ้ามหา สุทัสสนะว่า ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าจักนิรมิตนิเวศน์ชื่อธรรมปราสาทถวาย พระองค์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงรับด้วยดุษณีภาพ ฯ
ดูกรอานนท์ วิศวกรรมเทวบุตรได้นิรมิตนิเวศน์ชื่อธรรมปราสาท แด่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ธรรมปราสาทได้มีปริมาณ
โดยยาวหนึ่งโยชน์ ด้านปุรัตถิม ทิศและปัจจิมทิศ โดยกว้างกึ่งโยชน์ ด้านอุตตรทิศและทักษิณทิศ ดูกรอานนท์
ธรรมปราสาทมีวัตถุที่ก่อด้วยอิฐ ๔ ชนิด โดยส่วนสูงกว่าสามชั่วบุรุษ คือ อิฐ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้ว
ด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ธรรมปราสาทมีเสาแปดหมื่นสี่พันต้น แบ่งเป็นสี่ชนิด
เสาชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ธรรม
ปราสาทปูลาดด้วยแผ่นกระดาน ๔ ชนิด กระดาน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้ว
ไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ธรรมปราสาทมีบันได ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด บันไดชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง
ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วยทอง แม่บันไดแล้วด้วย
ทอง ลูก บันไดและพนักแล้วด้วยเงิน บันไดที่แล้วด้วยเงิน แม่บันไดแล้วด้วยเงิน ลูก บันไดและพนักแล้วด้วยทอง
บันไดที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แม่บันไดแล้วด้วย แก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วย
แก้วผลึก แม่บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ในธรรมปราสาทมีเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน
แบ่งเป็น ๔ ชนิด เรือนยอดชนิดหนึ่งแล้ว ด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้ว
ด้วยแก้วผลึก ในเรือนยอดแล้วด้วยทอง แต่งตั้งบัลลังก์เงินไว้ ในเรือนยอด แล้วด้วยเงิน แต่งตั้งบัลลังก์ทองไว้ ในเรือน
ยอดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แต่งตั้ง บัลลังก์งาไว้ ในเรือนยอดแล้วด้วยแก้วผลึก แต่งตั้งบัลลังก์แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ไว้
ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยทอง มีต้นตาลแล้วด้วยเงินตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาล นั้นแล้วด้วยเงิน ใบและผลแล้วด้วยทอง
ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยเงิน มี ต้นตาลแล้วด้วยทองตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยทอง ใบและผลแล้ว ด้วยเงิน
ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ มีต้นตาลแล้วด้วยแก้วผลึกตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยแก้วผลึก
ใบและผลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ที่ประตู เรือนยอดแล้วด้วยแก้วผลึก มีต้นตาลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ตั้งอยู่ ลำต้นของ
ต้นตาลนั้นแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ใบและผลแล้วด้วยแก้วผลึก ฯ

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมปราสาท

[๑๗๘] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงให้สร้างสวนตาลแล้วด้วยทอง
ล้วนไว้ที่ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ สำหรับเรา จักได้นั่งพักกลางวัน ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะรับสั่งให้สร้าง
สวนตาล แล้วด้วยทองล้วนไว้ที่ประตูยอดเรือนหลังใหญ่ สำหรับทรงนั่งพักกลางวัน ดูกร อานนท์ ธรรมปราสาทแวด
ล้อมด้วยเวที ๒ ชั้น เวทีชั้นหนึ่งแล้วด้วยทอง ชั้น หนึ่งแล้วด้วยเงิน เวทีแล้วด้วยทอง มีเสาแล้วด้วยทอง ขั้นและ
กรอบแล้วด้วย เงิน เวทีแล้วด้วยเงิน มีเสาแล้วด้วยเงิน ขั้นและกรอบแล้วด้วยทอง ดูกร อานนท์ ธรรมปราสาท
แวดล้อมด้วยข่ายแห่งกระดึงสองชั้น ข่ายชั้นหนึ่งแล้วด้วย ทอง ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน ข่ายที่แล้วด้วยทอง มีกระดึงแล้ว
ด้วยเงิน ข่ายที่ แล้วด้วยเงิน มีกระดึงแล้วด้วยทอง ดูกรอานนท์ ข่ายแห่งกระดึงเหล่านั้นต้อง ลมพัดแล้ว มีเสียงไพเราะ
ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕ ที่บุคคลปรับดีแล้ว ประโคม
ดีแล้ว บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ เสียงย่อมไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบ เคลิ้ม แม้ฉันใด ดูกรอานนท์
ข่ายแห่งกระดึงเหล่านั้นต้องลมพัดแล้ว ก็ฉันนั้น เหมือนกัน มีเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกร
อานนท์ ในสมัยนั้น กุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่น และนักดื่ม พวกเขาบำเรอกัน ด้วยเสียงแห่งกระดึงที่ต้องลม
เหล่านั้น ดูกรอานนท์ ธรรมปราสาทที่สำเร็จแล้ว ยากที่จะดู ทำนัยน์ตาให้พร่าพราย ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนใน
สรทกาล คือ ท้ายเดือนแห่งฤดูฝน เมื่ออากาศแจ่มใสปราศจากเมฆหมอก พระอาทิตย์ส่อง นภากาศสว่างจ้า ยากที่จะดู
ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพรายฉันใด ธรรมปราสาท ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยากที่จะดู ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพราย ฯ

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมาโบกขรณี

ดูกรอานนท์ ลำดับนั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงสร้างสระชื่อธรรมโบกขรณีไว้
เบื้องหน้าธรรมปราสาท ดูกรอานนท์ พระเจ้า- *มหาสุทัสสนะได้ทรงสร้างสระชื่อธรรมโบกขรณีไว้เบื้องหน้าธรรม
ปราสาท ดูกร อานนท์ ธรรมโบกขรณีโดยยาว ด้านทิศบูรพาและทิศปัจจิม ๑ โยชน์ โดยกว้าง ด้านทิศอุดรและทิศทักษิณ
กึ่งโยชน์ ธรรมโบกขรณีก่อด้วยอิฐ ๔ ชนิด อิฐชนิด หนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้ว
ไพฑูรย์ ชนิดหนึ่ง แล้วด้วยแก้วผลึก ฯ ดูกรอานนท์ ธรรมโบกขรณีมีบันได ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด บันได
ชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้ว
ด้วยทอง แม่บันไดแล้วด้วยทอง ลูก- *บันไดและพนักแล้วด้วยเงิน บันไดที่แล้วด้วยเงิน แม่บันไดแล้วด้วยเงิน ลูกบันได
และพนักแล้วด้วยทอง บันไดที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แม่บันไดแล้วด้วย- *แก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักแล้วด้วย
แก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วยแก้วผลึก แม่บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ฯ ดูกรอานนท์
ธรรมโบกขรณีแวดล้อมด้วยเวทีสองชั้น เวทีชั้นหนึ่งแล้ว ด้วยทอง ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน เวทีที่แล้วด้วยทอง
มีเสาหนึ่งแล้วด้วยทอง ขั้น และกรอบแล้วด้วยเงิน เวทีที่แล้วด้วยเงิน มีเสาแล้วด้วยเงิน ขั้นและกรอบแล้ว ด้วยทอง ฯ
ดูกรอานนท์ ธรรมโบกขรณีแวดล้อมด้วยต้นตาล ๗ แถว ต้นตาลแถว หนึ่งแล้วด้วยทอง แถวหนึ่งแล้วด้วยเงิน
แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แถวหนึ่ง แล้วด้วยแก้วผลึก แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วโกเมน แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วบุษราคัม
แถวหนึ่งแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ต้นตาลที่แล้วด้วยทอง ลำต้นแล้วด้วยทอง ใบ และผลแล้วด้วยเงิน ต้นตาลที่แล้วด้วยเงิน
ลำต้นแล้วด้วยเงิน ใบและผลแล้ว ด้วยทอง ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ลำต้นแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ใบและผล
แล้วด้วยแก้วผลึก ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วผลึก ลำต้นแล้วด้วยแก้วผลึก ใบและผล แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ต้นตาลที่แล้ว
ด้วยแก้วโกเมน ลำต้นแล้วด้วยแก้วโกเมน ใบและผลแล้วด้วยแก้วบุษราคัม ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลำต้นแล้ว
ด้วยแก้วบุษราคัม ใบและผลแล้วด้วยแก้วโกเมน ต้นตาลที่แล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ลำต้นแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง
ใบและผลแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ฯ ดูกรอานนท์ แถวต้นตาลเหล่านั้นเมื่อต้องลมพัดแล้ว มีเสียงอันไพเราะ ยวนใจ
ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนดนตรีมีองค์ ๕ ที่บุคคลปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว
บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ เสียงย่อมไพเราะ ยวนใจ ชวนฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม แม้ฉันใด ดูกรอานนท์ เสียงแห่งแถว
ต้นตาลเหล่านั้น ที่ต้องลมพัดแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์
ก็สมัยนั้น ในกุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่น นักดื่ม พวกเขาบำเรอกันกันด้วยเสียงแห่งแถวต้นตาลที่ต้องลมเหล่านั้น
ดูกรอานนท์ เมื่อธรรมปราสาทสำเร็จแล้ว และธรรมโบกขรณีสำเร็จแล้ว พระเจ้า มหาสุทัสสนะได้ทรงยังสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ให้เอิบอิ่มด้วยสมณบริขารและ พราหมณบริขาร ที่ตนปรารถนาทุกอย่าง แล้วเสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาท
ฉะนี้แล ฯ

จบภาณวารที่หนึ่ง

การเข้าปฐมฌานเป็นต้น

[๑๗๙] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไรของเราหนอ
เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร ที่เป็นเหตุให้เรา มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ในบัดนี้ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น
พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า นี้เป็นผลแห่งกรรม ๓ ประการของเรา เป็นวิบากแห่งกรรม ๓ ประการ
ที่เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมาก อย่างนี้ ในบัดนี้ กรรม ๓ ประการ คือ ทาน ทมะ สัญญมะ ดูกรอานนท์
ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จเข้าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ ครั้นเสด็จเข้าไป แล้วประทับยืนที่ประตูกุฏาคารหลังใหญ่
ทรงเปล่งพระอุทานว่า กามวิตก จงหยุด พยาบาทวิตก จงหยุด วิหึสาวิตก จงหยุด กามวิตก จงกลับเพียงแค่นี้เถิด
พยาบาทวิตกจงกลับเพียงแค่นี้เถิด วิหึสาวิตก จงกลับเพียงแค่นี้เถิด ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
เสด็จเข้าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ ประทับนั่งบน บัลลังก์แล้วด้วยทอง ทรงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ทรงบรรลุ
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทรงบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิตในภายใน เป็นธรรม
เอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจาร สงบไปมีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
และ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ทรงบรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ทรงบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ละสุข และดับโทมนัสโสมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ฯ

การเจริญพรหมวิหาร

[๑๘๐] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จออกจาก กุฏาคารหลังใหญ่ เสด็จเข้าไปยังกุฏาคาร
แล้วด้วยทอง ประทับบนบัลลังก์แล้วด้วย เงิน ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สองที่
สามที่สี่ ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่ว สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน
ด้วยพระทัยอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึง ความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
มีพระทัย ประกอบด้วยกรุณา ... มีพระทัยประกอบด้วยมุทิตา ... มีพระทัยประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่
ทิศที่สองที่สามที่สี่ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน
ด้วยพระทัย อันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ฯ

[๑๘๑] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีพระนครขึ้นแปดหมื่น สี่พัน มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข มีปราสาทแปดหมื่นสี่พัน มีธรรมปราสาท เป็นประมุข มีเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข
มีบัลลังก์ แปดหมื่นสี่พันแล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสัก
หลาด ลาดด้วยผ้าปักลวดลาย ลาดด้วยหนังกวาง อย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมทั้งสองข้างแดง มีช้างแปดหมื่นสี่พันเชือก
มีเครื่อง อลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง คลุมด้วยตาข่ายแล้วด้วยทอง มีพระยา- *ช้างสกุลอุโบสถเป็นประมุข มีม้าแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง คลุมด้วยตาข่ายแล้วด้วยทอง มีวลาหกอัศวราชเป็น
ประมุข มี รถแปดหมื่นสี่พันหุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือเหลือง หุ้ม ด้วยผ้ากัมพลเหลือง
มีอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายปกคลุม แล้วด้วยทอง มีรถเวชยันต์เป็นประมุข มีแก้วแปดหมื่น
สี่พันดวง มีแก้วมณี เป็นประมุข มีสตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มีสุภัททาเทวีเป็นประมุข มีคฤหบดี แปดหมื่นสี่พันคน
มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข มีกษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุข มีโคนมแปดหมื่นสี่พัน
กำลังกำดัด หลั่งน้ำนม กำลังเอาภาชนะรองได้ มีผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี และผ้าไหมอย่างเนื้อดี
ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี ประมาณแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ มีพระกระยาหารเต็มภาชนะแปดหมื่นสี่พันสำรับ มีคนนำมา
ถวายทั้งเวลาเช้าและ เวลาเย็น ฯ

กถาว่าด้วยพระนางสุภัททาเทวี

[๑๘๒] ดูกรอานนท์ ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือก มาสู่ที่เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทั้งเวลาเช้าและ
เวลาเย็น ครั้งนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริว่า ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือกของเราเหล่านี้ ย่อมมายังที่เฝ้า
ทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้ากระไร ช้างจำนวนสี่หมื่นสองพัน พึงมาสู่ที่เฝ้าโดยล่วงร้อยปี ต่อครั้ง ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสเรียกปริณายกแก้วมา ตรัสว่า เพื่อนปริณายก ช้างแปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ มาสู่ที่เฝ้าทั้งเช้า
ทั้งเย็น อย่ากระนั้นเลย โดยล่วงไปร้อยปี พวกมันจงมาสู่ที่เฝ้าคราวละสี่หมื่นสองพันเชือก ดูกรอานนท์ ปริณายกแก้ว
รับสนองพระบรมราชโองการของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้ว ฯ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น โดยสมัยต่อมา ช้างมาสู่ที่เฝ้า
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ คราวละสี่หมื่นสองพันเชือก โดยล่วงร้อยปีต่อครั้ง ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล โดยล่วงไปหลายปี
หลายร้อยปี หลายพันปี พระนางสุภัททาเทวีทรงพระดำริว่า เราได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะนานมาแล้ว ถ้ากระไร
เราพึงเข้าไปเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ครั้งนั้น พระนางสุภัททาเทวีตรัสเรียกนางสนมมาตรัสว่า พวกท่านจงมา จงอาบน้ำ
ชำระเกล้าเสีย จงห่มผ้าสีเหลือง พวกเราได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราจักเข้าไปเฝ้าเยี่ยมพระองค์
ดูกรอานนท์ พวกนางสนมรับสนองพระราช- *เสาวนีย์ของพระราชเทวีสุภัททา แล้วอาบน้ำชำระเกล้า ห่มผ้าสีเหลือง
เข้าไปหา พระนางสุภัททาเทวี ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีตรัสเรียก ปริณายกแก้วมาตรัสว่า
พ่อปริณายกแก้ว ท่านจงจัดจตุรงคเสนา เราได้เฝ้าพระเจ้า มหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราจักไปเฝ้าพระองค์
ปริณายกแก้วรับสนอง พระราชเสาวนีย์แล้ว จัดเตรียมจตุรงคเสนาไว้เรียบร้อยแล้วไปทูลว่า จตุรงคเสนา จัดพร้อมแล้ว
ขอพระองค์จงทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีพร้อมด้วยจตุรงคเสนาและนางสนม
เสด็จไปยังธรรมปราสาท ครั้นเสด็จเข้าไปขึ้นสู่ธรรมปราสาทแล้ว เสด็จเข้าไปสู่เรือนยอดหลังใหญ่ แล้วประทับยืน
เหนี่ยวบานประตูเรือนยอดหลังใหญ่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้สดับเสียงทรงพระดำริว่า อะไรหนอ เหมือนเสียงคน
หมู่มาก จึงเสด็จ ออกจากเรือนยอดหลังใหญ่ ทอดพระเนตรพระนางสุภัททาเทวียืนเหนี่ยวบานประตู ครั้นแล้วได้ตรัส
กะพระนางว่า เทวี เธอจงหยุดอยู่ที่นี่แหละ อย่าเข้ามาเลย ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสเรียกราชบุรุษคนหนึ่ง
มาตรัสว่า พ่อผู้เจริญ มานี่แน่ะ พ่อจงนำบัลลังก์แล้วด้วยทองจากเรือนยอดหลังใหญ่ไปตั้งในสวนตาลอัน แล้วด้วยทอง
ล้วนราชบุรุษนั้นรับสนองพระราชโองการแล้ว ยกบัลลังก์แล้วด้วยทอง จากเรือนยอดหลังใหญ่ ไปตั้งไว้ในสวนตาลอัน
แล้วด้วยทองล้วน ฯ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสำเร็จสีหไสยาด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อม
พระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ฯ

[๑๘๓] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีได้ทรงพระดำริว่า พระอินทรีย์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
ผ่องใสยิ่งนัก บริสุทธิ์ พระฉวีวรรณผุดผ่อง พระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่าได้ทรงทำกาลกิริยาเลย พระนางจึงกราบทูล
พระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า เทวะ พระนครแปดหมื่นสี่พันอันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขเหล่านี้ ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในพระนครเหล่านี้เถิด จง ทำความใยดีในชีวิต เทวะ ปราสาทแปดหมื่นสี่พัน
อันมีธรรมปราสาทเป็นประมุข เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในปราสาทเหล่านี้
ขอจงทรงทำความใยดีในชีวิต เทวะ เรือนยอดแปดหมื่นสี่พันหลัง มีเรือนยอด หลังใหญ่เป็นประมุขเหล่านี้ของทูล
กระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิด ในเรือนยอดเหล่านี้ จงกระทำความใยดีในชีวิต เทวะ บัลลังก์แปดหมื่น
สี่พัน แล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด
ลาดด้วยผ้าปักเป็นลวดลาย ลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนัก อันสูง มีนวมสีแดงทั้งสองข้างเหล่านี้ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยัง ฉันทะให้เกิดในบัลลังก์เหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ ช้างแปดหมื่น สี่พันเชือก
มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุม แล้วด้วยทอง มีพระยาช้างตระกูลอุโบสถ
เป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในช้างเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ
ม้าแปดหมื่นสี่พันตัว มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่าย เครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีวลาหก
อัศวราชเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในม้าเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต
เทวะ รถแปดหมื่นสี่พันคัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่อง
อลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่าย เครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีรถเวชยันต์เป็นประมุขเหล่านี้ของทูล
กระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในรถเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ แก้วแปดหมื่นสี่พันดวง
มีแก้วมณีเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในแก้วมณีเหล่านี้ จงกระทำความ
ไยดีในชีวิต เทวะ สตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มีนางแก้วเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยัง
ฉันทะให้เกิดในสตรีเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ คฤหบดีแปดหมื่นสี่พันคน มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข
เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในคฤหบดีเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ
กษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุขเหล่านี้ ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจะยัง
ฉันทะให้เกิดในกษัตริย์เหล่านี้ จงทำความ ไยดีในชีวิต เทวะ โคนมแปดหมื่นสี่พันตัว กำลังกำดัดหลั่งน้ำนม กำลังเอา
ภาชนะรองได้เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดใน โคนมเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต
เทวะ ผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้าย อย่างเนื้อดี และผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี แปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ
เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในผ้าเหล่านี้ จง กระทำความไยดีในชีวิต พระกระยาหาร
เต็มภาชนะแปดหมื่นสี่พันสำรับ มีคนนำมา ถวายทั้งเวลาเย็นและเวลาเช้าเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อม
จงยังฉันทะ ให้เกิดในพระกระยาหารเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต ดังนี้ ฯ

ว่าด้วยความสลดพระทัยของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

ดูกรอานนท์ เมื่อพระนางกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ ตรัสตอบพระเทวีว่า เทวี เธอได้ทักทาย
เราด้วยของที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สิ้นกาลนานแล แต่ในกาลภายหลัง เธอจะทักเราด้วยของที่ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ พระนางกราบทูลว่า หม่อมฉันจะกราบทูลพระองค์อย่างไร เทวี เธอจงทักทายเราอย่างนี้ว่า ความเป็นต่างๆ
ความพลัดพราก ความเป็นโดย ประการอื่น จากสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจทั้งหลาย ทั้งปวงทีเดียว ย่อมมี ทูลกระหม่อม
อย่าได้มีความอาลัยทำกาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้มีความอาลัยเป็นทุกข์ และ กาลกิริยาของผู้มีความอาลัย
บัณฑิตติเตียน
ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัย ในพระนครแปดหมื่นสี่พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข
เหล่านี้ของทูลกระหม่อม เสียเถิด อย่าได้กระทำความอาลัยในชีวิตเลย ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระ ทัยในปราสาท
แปดหมื่นสี่พัน... ในเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน... ในบัลลังก์ แปดหมื่นสี่พัน... ในช้างแปดหมื่นสี่พัน... ในม้าแปดหมื่น
สี่พัน... ในรถ แปดหมื่นสี่พัน... ในแก้วมณีแปดหมื่นสี่พัน... ในสตรีแปดหมื่นสี่พัน ... ใน คฤหบดีแปดหมื่นสี่พัน ... ในกษัตริย์แปดหมื่นสี่พัน ... ในโคนมแปดหมื่นสี่พัน ... ในผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหม
อย่างเนื้อดี ผ้ากัมพล อย่างเนื้อดีแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ... ในสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่ ขอทูล กระหม่อมจงละ
ความพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ๆ เสียเถิด อย่างได้ทรงทำความอาลัย ในชีวิตเลย ดังนี้ ดูกรอานนท์ เมื่อพระเจ้ามหา
สุทัสสนะตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางสุภัททาเทวีทรงพระกรรแสงหลั่งพระอัสสุชล ฯ

ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีทรงเช็ดพระอัสสุชลแล้ว กราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า เทวะ
ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นโดยประการอื่น จากสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจทั้งปวงทีเดียว ย่อมมี
ทูลกระหม่อม อย่าได้มีความอาลัยทำกาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้มีความอาลัยเป็นทุกข์ กาลกิริยาของผู้มี
อาลัย บัณฑิตติเตียน
ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยใน พระนครแปดหมื่นสี่พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็น
ประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม เสียเถิด อย่าได้ทรงทำความอาลัยในชีวิตเลย ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอ
พระทัยในปราสาทแปดหมื่นสี่พัน... ในเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน... ในบัลลังก์ แปดหมื่นสี่พัน ... ในช้างแปดหมื่นสี่พัน ...
ในม้าแปดหมื่นสี่พัน ... ในรถ แปดหมื่นสี่พัน... ในแก้วมณีแปดหมื่นสี่พัน... ในสตรีแปดหมื่นสี่พัน... ใน คฤหบดีแปด
หมื่นสี่พัน ... ในกษัตริย์แปดหมื่นสี่พัน ... ในโคนมแปดหมื่นสี่พัน ... ในผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี
ผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่าง เนื้อดีแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ... ในสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่ ขอทูล
กระหม่อมจงละความพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ๆ เสียเถิด อย่าทรงกระทำความอาลัย ในชีวิตเลย ดังนี้ ฯ

พระเจ้ามหาสุทัสสนะสวรรคต

[๑๘๔] ดูกรอานนท์ ต่อมาไม่นาน พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรง กระทำกาลกิริยา ดูกรอานนท์ คฤหบดีหรือบุตร
แห่งคฤหบดี เมื่อบริโภคโภชนะ อันเป็นที่ชอบใจ ย่อมมึนเมาในอาหาร ฉันใด ความเสวยอารมณ์ในเวลาใกล้มรณะ
ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะได้เป็นฉันนั้นเหมือนกัน และพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ครั้นเสด็จสวรรคตแล้ว ทรงเข้าถึงสุคติ
พรหมโลก ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงเล่นอย่างเด็กอยู่ประมาณแปดหมื่นสี่พันปี ทรงดำรงตำแหน่งอุปราช
อยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงดำรง เพศคฤหัสถ์ประพฤติพรหมจรรย์ใน
ธรรมปราสาทแปดหมื่นสี่พัน ท้าวเธอทรง เจริญพรหมวิหารสี่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จึงเสด็จเข้าถึง
พรหมโลก ฯ

กถาว่าด้วยความสังเวช

[๑๘๕] ดูกรอานนท์ เธอคงจะคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะคงจะเป็นคนอื่นแน่ ดูกรอานนท์
ข้อนั้นเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ พระนครแปดหมื่นสี่พันอันมีกุสาวดี ราชธานีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา ปราสาทแปดหมื่นสี่พันอันมีธรรมปราสาทเป็น ประมุขเหล่านั้น เรือนยอดของ
เราแปดหมื่นสี่พันอันมีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข เหล่านั้นของเรา บัลลังก์แปดหมื่นสี่พันอันแล้วด้วยทอง แล้ว
ด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักเป็น ลวดลายลาด
ด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมแดงทั้งสองข้าง เหล่านั้น ของเรา ช้างแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้ว
ด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีพระยาช้างตระกูลอุโบสถเป็นประมุขเหล่านั้น
ของเราม้าแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มี ตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง
มีวลาหกอัศวราชเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา รถ แปดหมื่นสี่พัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง
หุ้มด้วย ผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่อง ปกคลุมแล้วด้วยทอง
มีรถเวชยันต์เป็นประมุขเหล่านั้นของเรา แก้วมณีแปดหมื่น สี่พันดวง มีแก้วมณีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา สตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มี สุภัททาเทวีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา คฤหบดีแปดหมื่นสี่พันคนมีคฤหบดีแก้ว
เป็นประมุขเหล่านั้นของเรา กษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้ว เป็นประมุขเหล่านั้นของเรา โคนมแปดหมื่นสี่พันตัว กำลังกำดัดหลั่งน้ำนม กำลัง เอาภาชนะรองได้เหล่านั้นของเรา ผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี แปดหมื่นสี่พันโกฏิพับเหล่านั้นของเรา สำรับคาวหวาน
แปดหมื่นสี่พันที่ มีคนใส่ภัตตาหารนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเวลา เย็น เหล่านั้นของเรา

ดูกรอานนท์ บรรดาพระนครแปดหมื่นสี่พัน พระนครที่ เราอยู่ครอบครองสมัยนั้น คือกุสาวดีราชธานี
เมืองเดียว

บรรดาปราสาทแปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น ปราสาทที่เราอยู่ครอบครองสมัยนั้น คือธรรมปราสาทหลัง
เดียวเท่านั้น

บรรดาเรือนยอดแปดหมื่นสี่พันหลังเรือนยอดที่เราอยู่ครอบครองสมัยนั้น คือเรือนยอดหลังใหญ่หลัง
เดียวเท่านั้น

บรรดาบัลลังก์แปดหมื่นสี่พันเหล่านั้นบัลลังก์ที่เราใช้สอยสมัยนั้น คือบัลลังก์แล้วด้วยทอง หรือแล้ว
ด้วยเงิน หรือแล้ว ด้วยงา หรือแล้วด้วยแก้วบุษราคัมบัลลังก์เดียวเท่านั้น

บรรดาช้างแปดหมื่น สี่พันเชือกเหล่านั้น ช้างที่เราขึ้นขี่สมัยนั้น คือพระยาช้างตระกูลอุโบสถเชือก
เดียวเท่านั้น

บรรดาม้าแปดหมื่นสี่พันตัวเหล่านั้น ม้าที่เราขึ้นขี่สมัยนั้น คือวลาหก อัศวราชตัวเดียวเท่านั้น

บรรดารถแปดหมื่นสี่พันคันเหล่านั้น รถที่เราขึ้นขี่สมัยนั้น คือรถเวชยันต์คันเดียวเท่านั้น

บรรดาสตรีแปดหมื่นสี่พันคนเหล่านั้น สตรีซึ่ง บำรุงบำเรอเราสมัยนั้น เป็นนางกษัตริย์หรือแพศย์คน
เดียวเท่านั้น

บรรดาผ้าแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับเหล่านั้น ผ้าที่เรานุ่งห่มสมัยนั้น เป็นผ้าโขมพัสตร์อย่าง เนื้อดี
หรือผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี หรือผ้าไหมอย่างเนื้อดี หรือผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี สำรับเดียวเท่านั้น

บรรดาสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่เหล่านั้น สำรับที่เรา บริโภคข้าวสุกทะนานหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง
และกับพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้นสำรับเดียว เท่านั้น

ดูกรอานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว
แปรไปแล้ว ดูกรอานนท์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้แล สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืนอย่าง
นี้แล สังขารทั้งหลายไม่น่ายินดีอย่างนี้แล ดูกรอานนท์ข้อนี้ควรจะเบื่อหน่ายในสังขาร
ทั้งหลายทั้งปวงทีเดียว ควรที่จะคลายกำหนัด ควร เพื่อจะหลุดพ้นไป
ดูกรอานนท์ เราย่อมรู้
ที่ทอดทิ้งร่างกาย เราทอดทิ้งร่างกายไว้ในประเทศนี้ การที่เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ชนะแล้ว มีอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
การทอดทิ้งร่างกายไว้นี้ นับเป็นครั้งที่เจ็ด ดูกร อานนท์ เราไม่เล็งเห็นประเทศนั้นๆ ในโลก ทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่ตถาคตจะทอดทิ้งสรีระไว้เป็น
ครั้งที่แปด ดังนี้ ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๘๖] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขาร เหล่านั้นเสียได้เป็นความสุข ดังนี้ ฯ

จบมหาสุทัสสนสูตร