พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่
12 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ข้อที่ 369-382 มหาโคสิงคสาลสูตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาโคสิงคสาลสูตร[๓๖๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าโคสิงคสาลวัน พร้อมด้วยพระสาวกผู้เถระซึ่ง มีชื่อเสียงมากรูป คือ
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์
และพระสาวกผู้เถระ ซึ่งมีชื่อเสียงอื่นๆครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระมหากัสสป ครั้นแล้วได้
กล่าวกะท่านพระมหากัสสปว่า มาไปกันเถิด ท่านกัสสป เราจักเข้าไป หาท่านพระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม
ท่านพระมหากัสสปรับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ลำดับ นั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป
และท่านพระอนุรุทธ เข้าไปหาท่านพระสารี บุตร เพื่อฟังธรรม ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ท่านพระมหากัสสป และ ท่านพระอนุรุทธเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม ครั้นแล้ว จึงเข้าไปหาท่าน
พระเรวตะแล้วกล่าวกะท่านพระเรวตะว่า ท่านเรวตะ ท่านสัปบุรุษพวกโน้น กำลังเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร เพื่อ
ฟังธรรม มาไปกันเถิด ท่านเรวตะ เราจักเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม ท่านพระเรวตะรับคำท่าน
พระอานนท์แล้ว ลำดับนั้น ท่านพระเรวตะและท่านพระอานนท์ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม.[๓๗๐] ท่านพระสารีบุตร ได้เห็นท่านพระเรวตะและท่านพระอานนท์กำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะ
ท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์จงมาเถิด ท่านอานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐากของ พระผู้มีพระภาค ผู้อยู่ใกล้พระผู้มีพระภาค
มาดีแล้ว ท่านอานนท์ ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถาน น่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น
กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านอานนท์ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร?ท่านพระอานนท์ตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ ธรรม
เหล่านั้นใด งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์
บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้น อันภิกษุนั้น สดับมากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ
แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น ภิกษุ นั้นแสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ ไม่ขาดสาย
เพื่อถอนเสียซึ่งอนุสัย ท่านพระสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.[๓๗๑] เมื่อท่านพระอานนท์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านพระเรวตะว่า ท่านเรวตะ
ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านอานนท์พยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราขอ ถามท่านเรวตะในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน
เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละ บานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านเรวตะ
ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานไร?ท่านพระเรวตะตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่ มายินดี ยินดีแล้วใน
ความหลีกเร้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่ ห่างเหินแล้ว ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน
สุญญาคาร ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
สรรเสริญทิพยจักษุ [๓๗๒] เมื่อท่านพระเรวตะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระอนุรุทธว่า ท่านอนุรุทธ
ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านเรวตะพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราขอถามท่าน อนุรุทธในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน
เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่ง ทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านอนุรุทธ
ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไร?ท่านอนุรุทธตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ขึ้นปราสาทอันงดงามชั้นบน พึงแลดูมณฑลแห่งกงตั้งพันได้ ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ท่านสารีบุตร
ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานนี้แล.[๓๗๓] เมื่อท่านพระอนุรุทธกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านพระ มหากัสสปดังนี้ว่า
ท่านกัสสป ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านอนุรุทธพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราขอ ขอถามท่านกัสสปในข้อนั้นว่า
ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละ บานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป
ท่านกัสสป ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานไร?ท่านพระมหากัสสปตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ ตนเองอยู่ในป่าเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณ
แห่งความเป็นผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรด้วย ตนเองเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้เที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรด้วย ตนเองถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และ กล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรด้วย
ตนเองถือไตรจีวรเป็นวัตร และกล่าว สรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตรด้วย ตนเองเป็นผู้มีความ
ปรารถนาน้อย และกล่าว สรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยด้วย ตนเองเป็นผู้สันโดษ และกล่าว
สรรเสริญ คุณแห่งความสันโดษด้วย ตนเองเป็นผู้สงัด และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสงัดด้วย ตนเอง เป็นผู้ไม่
คลุกคลี และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วย ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร และกล่าวสรรเสริญคุณ
แห่งการปรารภความเพียรด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล และกล่าว สรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยศีลด้วย
ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และกล่าวสรรเสริญ คุณแห่งความถึงพร้อมด้วยสมาธิด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย
ปัญญา และกล่าวสรรเสริญคุณ แห่งความถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ และกล่าวสรรเสริญ
คุณแห่ง ความถึงพร้อมวิมุติด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณ แห่งความถึง
พร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานนี้แล.[๓๗๔] เมื่อท่านพระมหากัสสปกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระ มหาโมคคัลลานะดังนี้ว่า
ท่านโมคคัลลานะ ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านมหากัสสปพยากรณ์ แล้ว บัดนี้ เราจะขอถามท่านมหาโมคคัลลานะ
ในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์
ย่อมฟุ้งไป ท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร?ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าว อภิธรรมกถา เธอทั้ง
๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพัก ด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อม
เป็นไปด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
สรรเสริญสมาบัติ [๓๗๕] ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า ท่านสารีบุตร ปฏิภาณตามที่
เป็นของเรา อันเราทั้งหมดพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราจะขอถามท่าน สารีบุตร ในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถาน
น่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน
จะพึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานไร?ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านโมคคัลลานะ ภิกษุในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตาม
อำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า ก็อยู่ด้วยวิหาร สมาบัตินั้นได้ในเวลาเช้าหวังจอยู่ด้วย
วิหารสมาบัติใดในเวลาเที่ยง ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ ในเวลาเที่ยง หวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเย็น เปรียบเหมือนผอบผ้าของพระราชา หรือราชมหาอำมาตย์ ซึ่งเต็มด้วยผ้า
ที่ย้อมแล้วเป็นสีต่างๆ พระราชา หรือราชมหาอำมาตย์นั้น หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดในเวลาเช้า ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ใน
เวลา เช้า หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดในเวลาเที่ยง ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ในเวลาเที่ยง หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใด ในเวลาเย็น
ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ในเวลาเย็น ฉันใด ภิกษุยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่ เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะ
อยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ ในเวลาเช้า หวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลา
เที่ยง ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเที่ยง หวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้น
ได้ในเวลาเย็น ฉันนั้นเหมือน กัน ท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.
สรรเสริญความเป็นพหูสูต [๓๗๖] ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ปฏิภาณตามที่
เป็นของตนๆ พวกเราทุกรูปพยากรณ์แล้ว มาไปกันเถิด พวกเราจักเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้ว
จักกราบทูลเนื้อความนี้แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์แก่พวกเราอย่างใด พวกเราจักทรง
จำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น.ท่านผู้มี อายุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว. เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ลำดับนั้น ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย บังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วท่าน
พระสารีบุตร ได้กราบทูลดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ท่านพระเรวตะ ท่านพระอานนท์ เข้าไป
หาข้าพระองค์ ถึงที่อยู่เพื่อฟังธรรม ข้าพระองค์ได้เห็นท่านพระเรวตะ และท่านพระอานนท์กำลังเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า ท่านอานนท์ จงมาเถิด ท่านอานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาค
ผู้อยู่ใกล้พระผู้มีพระภาค มาดีแล้ว ท่านอานนท์ ป่าโคสิงคสาลวัน เป็น สถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง
ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านอานนท์ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้ตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้
เป็นพหูสูต เป็น ผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ ธรรมเหล่าใด งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถ
พร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้น อันภิกษุนั้น สดับมากแล้ว
ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น ภิกษุ นั้นแสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบท
และพยัญชนะอันราบเรียบ ไม่ขาดสาย เพื่อถอนเสียซึ่งอนุสัย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็น
ปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร อานนท์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึง พยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่า
อานนท์ เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ ธรรมเหล่าใด งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อม
ทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศ พรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมเห็นปานนั้น อันอานนท์นั้นสดับ
มากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น อานนท์นั้น แสดงธรรมแก่
บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ ไม่ขาดสาย เพื่อถอนเสียซึ่งอนุสัย.[๓๗๗] พระพุทธเจ้าข้า เมื่อท่านพระอานนท์กล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะท่าน พระเรวตะดังนี้ว่า
ท่านเรวตะ ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านอานนท์พยากรณ์แล้ว เราขอถาม ท่านเรวตะในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน
เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านเรวตะ ป่า
โคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระเรวตะ ได้ตอบข้าพระองค์
ดังนี้ว่าท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบ
เนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร ท่านสารีบุตร
ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร เรวตะเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ ตามนั้น ด้วยว่า
เรวตะ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบ เนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน
มีฌานอันไม่เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน สุญญาคาร.[๓๗๘] พระพุทธเจ้าข้า เมื่อท่านพระเรวตะกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะ พระอนุรุทธดังนี้ว่า ท่าน
อนุรุทธ ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านเรวตะพยากรณ์แล้ว เราขอ ถามท่านอนุรุทธในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน
เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละ บานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านอนุรุทธ ป่าโค
สิงคสาลวัน จะพึงงามด้วย ภิกษุเห็นปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอนุรุทธได้ตอบข้าพระองค์
ดังนี้ว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ขึ้นปราสาทอันงดงามชั้นบน พึงแลดูมณฑลแห่งกงตั้งพันได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของ มนุษย์ ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วย
ภิกษุเห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร อนุรุทธ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่า
อนุรุทธ ย่อมตรวจดูโลกตั้งพันด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์.
สรรเสริญภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร [๓๗๙] พระพุทธเจ้าข้า เมื่อท่านพระอนุรุทธกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะ ท่านพระมหากัสสปดังนี้ว่า
ท่านกัสสป ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านพระอนุรุทธพยากรณ์แล้ว เราขอถามท่านมหากัสสปในข้อนั้นว่า
ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป
ท่านกัสสป ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านมหากัสสป
ได้ตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุในพระศาสนานี้ ตนเองอยู่ในป่าเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่ง
ความ เป็นผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรด้วย ตนเองเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้เที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตรด้วย ตนเองถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรด้วย
ตนเองเป็นผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ เป็นผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตรด้วย ตนเองเป็นผู้มี
ความปรารถนาน้อย และกล่าวสรรเสริญคุณแห่ง ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยด้วย ตนเองเป็นผู้สันโดษ
และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสันโดษ ด้วย ตนเองเป็นผู้สงัด และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสงัดด้วย ตนเองเป็น
ผู้ไม่คลุกคลี และ กล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วย ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร และกล่าวสรรเสริญ
คุณแห่งการปรารภความเพียรด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ ถึงพร้อมด้วย
ศีลด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อม ด้วยสมาธิด้วย ตนเองเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วย ปัญญาด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ
และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยวิมุติ ด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสะ และกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วย วิมุตติญาณทัสสนะด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุ
เห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร กัสสป เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ ตามนั้น ด้วยว่า
กัสสป ตนเองเป็นผู้อยู่ในป่าเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้ อยู่ในป่าเป็นวัตรด้วย ตนเองเที่ยวบิณฑบาต
เป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็น ผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรด้วย ตนเองถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และกล่าว
สรรเสริญคุณแห่งความเป็น ผู้ถือบังสุกุลเป็นวัตรด้วย ตนเองถือไตรจีวรเป็นวัตร และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ
เป็นผู้ถือ ไตรจีวรเป็นวัตรด้วย ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้
มีความปรารถนาน้อยด้วย ตนเองเป็นผู้สันโดษ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้สันโดษด้วย ตนเองเป็นผู้สงัด
และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความเป็นผู้สงัดด้วย ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลี และ กล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วย
ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร และกล่าวสรรเสริญ คุณแห่งการปรารภความเพียรด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความ ถึงพร้อมด้วยศีลด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และกล่าวสรรเสริญคุณ
แห่งความถึงพร้อม ด้วยสมาธิด้วย ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วย
ปัญญาด้วย ตนเองเป็นถึงพร้อมด้วยวิมุติ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อมด้วยวิมุติ ด้วย ตนเองเป็นผู้ถึง
พร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความถึงพร้อม ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะด้วย.[๓๘๐] พระพุทธเจ้าข้า เมื่อท่านพระมหากัสสปกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะ ท่านมหาโมคคัลลานะ
ดังนี้ว่า ดูกรท่านโมคคัลลานะ ปฏิภาณตามที่เป็นของตน ท่านพระมหากัสสป พยากรณ์แล้ว เราจะขอถามท่าน
โมคคัลลานะในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบานสะพรั่งทั่วต้น กลิ่น
คล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ดูกรท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าว
อย่างนี้แล้ว ท่านพระมหา โมคคัลลานะได้ตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า ดูกรท่านสารีบุตร ภิกษุ ๒ รูปในพระศาสนานี้ กล่าว
อภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถา
ของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ดูกรท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ สารีบุตร โมคคัลลานะ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ
พึงพยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่า โมคคัลลานะ เป็นธรรมกถึก.
สรรเสริญสมาบติอีก [๓๘๑] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ในลำดับต่อไป ข้าพระองค์ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตร ดังนี้ว่า ดูกรท่านสารีบุตร ปฏิภาณตามที่
เป็นของตน เราทั้งหมดพยากรณ์แล้ว บัดนี้ เราจะขอถาม ท่านสารีบุตรในข้อนั้นว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่า
รื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ดูกรท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน
จะพึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานไร? เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า ดูกร
ท่านโมคคัลลานะ ภิกษุในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของ จิต เธอหวังจะอยู่ด้วย
วิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเช้า เธอ หวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเที่ยง
ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเที่ยง เธอหวังจะ อยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ใน
เวลาเย็น เปรียบเหมือนผอบผ้า ของพระราชา หรือราชมหาอำมาตย์ ซึ่งเต็มด้วยผ้าที่ย้อมเป็นสีต่างๆ พระราชา
หรือราชมหาอำมาตย์ นั้น หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดในเวลาเช้า ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ในเวลาเช้า หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดใน
เวลาเที่ยง ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้นได้ในเวลาเที่ยง หวังจะห่มคู่ผ้าชนิดใดในเวลาเย็น ก็ห่มคู่ผ้าชนิดนั้น ได้ในเวลาเย็น ฉันใด
ภิกษุยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวัง จะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า ก็อยู่ด้วย
วิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเช้า เธอหวังจะอยู่ด้วย วิหารสมาบัติใดในเวลาเที่ยง ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลา
เที่ยงเธอหวังจะอยู่ด้วยวิหาร สมาบัติใดในเวลาเย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเย็น ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรท่าน
โมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ ดีละ โมคคัลลานะ สารีบุตร เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ตามนั้น ด้วยว่า
สารีบุตรยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า
ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเช้า เธอหวังจะ อยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเที่ยง ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ใน
เวลาเที่ยง เธอหวังจะอยู่ด้วย วิหารสมาบัติใดในเวลาเย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้นได้ในเวลาเย็น.
สรรเสริญความสิ้นอาสวะ [๓๘๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกเธอจงฟังคำ
ของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานไรนั้น เรา ตอบว่า ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้
กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกาย ให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมด
ความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ ทั้งหลายเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร
ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิต ของ
พระผู้มีพระภาคแล้วแล.
จบ มหาโคสิงคสาลสูตร
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 19 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
หน้า 49-50 อรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตร
อรรถกถามหาโคสิงคสาลสูตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ถึงที่สุดแห่งสมาธิบารมี ส่วนลำดับจิตอันสุขุม ลำดับขันธ์ ลำดับธาตุ ลำดับอายตนะ
การเข้าฌาน ก้าวลงสู่อารมณ์ การกำหนดองค์ การกำหนดอารมณ์ การตัดองค์ การตัดอารมณ์ เจริญโดยส่วนเดียว
เจริญโดยส่วน ๒ ดังนั้น จึงปรากฏแก่ผู้เรียนอภิธรรมเท่านั้น ก็ผู้ไม่ได้เรียนอภิธรรม เมื่อจะกล่าวธรรม ย่อมกล่าว
ลำดับธรรมให้ผิด ส่วนผู้เรียนอภิธรรม ย่อมไม่กล่าวลำดับธรรมให้ผิด เพราะฉะนั้น พระเถระมีความคิดอย่างนี้ว่า
โอหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ เป็นนักอภิธรรม ยังฌานให้หยั่งลงในที่อันสุขุม เจริญวิปัสสนา พึงทำให้แจ้งซึ่ง
โลกุตตรธรรม เพราะฉะนั้น จึงพยากรณ์แล้วอย่างนี้
อธิบาย : ธรรมกถึก = ผู้กล่าวสอนธรรม, ผู้แสดงธรรม
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 2 พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์
ปาจิตตีย์ สหธรรมมิกวรรคที่ ๘
ข้อที่ 685-688 สหธรรมมิกวรรค สิกขาบทที่ ๒
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๒
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [๖๘๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสวินัยกถา ทรงพรรณนา คุณแห่งพระวินัย ตรัสอานิสงส์แห่งการเรียน
พระวินัย ทรงยกย่องโดยเฉพาะท่านอุบาลีเนืองๆ แก่ภิกษุทั้งหลาย โดยอเนกปริยาย ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสวินัยกถา ทรงพรรณนาคุณแห่งพระวินัย ตรัสอานิสงส์แห่งการเรียนพระวินัย ทรงยกย่องโดย
เฉพาะท่าน พระอุบาลีเนืองๆ โดยอเนกปริยาย อาวุโสทั้งหลาย ดั่งนั้น พวกเราพากันเล่าเรียนพระวินัย ในสำนักท่าน
พระอุบาลีเถิด ก็ภิกษุเหล่านั้นมากเหล่า เป็นเถระก็มี เป็นมัชฌิมะก็มี เป็นนวกะ ก็มีต่างพากันเล่าเรียนพระวินัยใน
สำนักท่านพระอุบาลี.ส่วนพระฉัพพัคคีย์ได้หารือกันว่า อาวุโสทั้งหลาย บัดนี้ ภิกษุเป็นอันมาก ทั้งเถระ มัชฌิมะและนวกะ พากันเล่า
เรียนพระวินัยในสำนักท่านพระอุบาลี ถ้าภิกษุเหล่านี้จักเป็นผู้รู้พระบัญญัติในพระวินัย ท่านจักฉุดกระชากผลักไส
พวกเราได้ตามใจชอบ อย่ากระนั้นเลย พวกเรา จงช่วยกันก่นพระวินัยเถิด เมื่อตกลงดั่งนั้น พระฉัพพัคคีย์จึงเข้าไปหา
ภิกษุทั้งหลาย กล่าว อย่างนี้ว่า จะประโยชน์อะไรด้วยสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ยกขึ้นแสดงแล้ว ช่างเป็นไป
เพื่อความรำคาญ เพื่อความลำบาก เพื่อความยุ่งเหยิงนี่กระไร. บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์ จึงได้พากันก่นพระวินัยเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอช่วยกันก่น วินัย จริงหรือ?
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้พากัน ก่นวินัยเล่า การกระทำ
ของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส
แล้ว ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๑๒๑. ๒. อนึ่ง ภิกษุใด เมื่อมีใครสวดปาติโมกข์อยู่ กล่าวอย่างนี้ว่า ประโยชน์อะไรด้วยสิกขาบท
เล็กน้อยเหล่านี้ที่สวดขึ้นแล้ว ช่างเป็นไปเพื่อความรำคาญ เพื่อความลำบาก เพื่อความยุ่งเหยิงนี่กระไร
เป็นปาจิตตีย์ เพราะก่นสิกขาบท.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์ [๖๘๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
คำว่า เมื่อมีใครสวดปาติโมกข์อยู่ ความว่า เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง อยู่ก็ดี ให้ผู้อื่นยกขึ้น
แสดงอยู่ก็ดี ท่องบ่นอยู่ก็ดี.คำว่า กล่าวอย่างนี้ ความว่า ก่นพระวินัยแก่อุปสัมบันว่า ก็จะประโยชน์อะไรด้วย สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ
เหล่านี้ที่ยกขึ้นแสดงแล้ว ช่างเป็นไปเพื่อความรำคาญ เพื่อความ ลำบาก เพื่อความยุ่งเหยิงนี่กระไร ความรำคาญ
ความลำบาก ความยุ่งเหยิง ย่อมมีแก่พวก ภิกษุจำพวกที่เล่าเรียนพระวินัยนี้ แต่จำพวกที่ไม่เล่าเรียนหามีไม่
สิกขาบทนี้พวกท่านอย่ายกขึ้น แสดงดีกว่า สิกขาบทนี้พวกท่านไม่สำเหนียกดีกว่า สิกขาบทนี้พวกท่านไม่เรียนดีกว่า
สิกขาบท นี้พวกท่านไม่ทรงจำดีกว่า พระวินัยจะได้สาบสูญ หรือภิกษุพวกนี้จะได้ไม่รู้พระบัญญัติ ดังนี้ เป็นต้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์[๖๘๗] อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ก่นพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุมีความสงสัย ก่นพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ก่นพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ปัญจกะทุกกฏ ภิกษุก่นธรรมอย่างอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุก่นพระวินัยหรือพระธรรมอย่างอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ก่นพระวินัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ก่นพระวินัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ก่นพระวินัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๖๘๘] ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะก่น พูดตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร พระคาถา หรือพระอภิธรรมไป
ก่อนเถิด ภายหลังจึงค่อยเรียนพระวินัย ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 11 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
หน้า 70-90 อรรถกถาพรหมชาลสูตร
อรรถกถาพรหมชาลสูตร
เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก ชื่อว่าปฐมสังคายนานี้ แม้ได้จัดขึ้นพระบาลีไว้ในวินัยปิฎกแล้ว ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ควรทราบปฐมสังคายนา
แม้ในอรรถกถานี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเหตุที่เป็นมา ดังต่อไปนี้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นแต่ทรงแสดงพระธรรมจักรจนถึง
โปรดสุภัททปริพาชก แล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เวลาใกล้รุ่งวันวิสาขปูรณมี ระหว่างต้นสาละ
คู่ในสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ตรงที่เป็นทางโค้งใกล้กรุงกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะเป็นสังฆเถระของภิกษุ
ประมาณเจ็ดแสนรูปที่ประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาระลึกถึงคำที่หลวง
ตาสุภัททะกล่าวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วันว่า พอกันทีอาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่า
เศร้าโศกไปเลย อย่าร่ำไรไปเลย เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะนั้น ด้วยว่าพวกเราถูกท่านจู้จี้บังคับว่า
สิ่งนี้ควรแก่เธอทั้งหลาย สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้ แต่บัดนี้พวกเราปรารถนาสิ่งใด จักกระทำสิ่งนั้น ไม่
ปรารถนาสิ่งใด จักไม่กระทำสิ่งนั้น ดังนี้ท่านพิจารณาเห็นว่าการประชุมสงฆ์จำนวนมากเช่นนี้ ต่อไปจะหาได้ยาก จึงดำริต่อไปว่า พวกภิกษุชั่วจะเข้า
ใจว่า ปาพจน์มีศาสดาล่วงแล้วได้พวกฝ่ายอลัชชี จะพากันย่ำยีพระสัทธรรมให้อันตรธานต่อกาลไม่นานเลย
นั้นเป็นฐานะที่จะมีได้แน่นอน จริงอยู่ พระธรรมวินัยยังดำรงอยู่ตราบใด ปาพจน์ก็หาชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วไม่
อยู่ตราบนั้น สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติ
แล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ดังนี้ อย่ากระนั้นเลย
เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัย โดยวิธีที่พระศาสนานี้จะมั่นคงดำรงอยู่ชั่วกาลนานต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะกล่าวว่า เอาเถิดท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาพระธรรมและ
พระวินัย ต่อไปเบื้องหน้า อธรรมรุ่งเรือง ธรรมจะร่วงโรย ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยรุ่งเรือง วินัยจะร่วงโรย ต่อไป
เบื้องหน้า อธรรมวาทีมีกำลัง ธรรมวาทีจะอ่อนกำลัง ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยวาทีมีกำลัง วินัยวาทีจะอ่อนกำลัง
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอพระเถระโปรดเลือกภิกษุทั้งหลายเถิด ฝ่ายพระเถระเว้น
ภิกษุปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันตสุกขวิปัสสก ผู้ทรงพระปริยัติ คือ นวังคสัตถุ
ศาสน์ทั้งสิ้น เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันรูป เลือกเอาเฉพาะภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ประเภทเตวิชชา ( ได้วิชชา ๓
๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ วิชชาที่ให้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ วิชชาที่รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
๓. อาสวักขยญาณ วิชชาที่ทำอาสวะให้สิ้น ) เป็นต้น ซึ่งทรงพระปริยัติ คือ พระไตรปิฎกทั้งหมด บรรลุปฏิสัมภิทา มีอานุภาพยิ่งใหญ่ โดยมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะที่พระสังคีติกาจารย์หมายกล่าวคำนี้ไว้ว่า
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะเลือกพระอรหันต์ไว้ ๕00 หย่อนหนึ่งองค์ ดังนี้ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระมหากัสสปะเถระจึงทำให้หย่อนไว้องค์หนึ่ง ตอบว่า เพื่อไว้โอกาสแก่ท่าน
พระอานนทเถระ เพราะทั้งร่วมกับท่านพระอานนท์ ทั้งเว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้
ด้วยว่าท่านพระอานนท์นั้นเป็นพระเสขะยังมีกิจที่ต้องทำอยู่ ฉะนั้น จึงไม่อาจร่วมได้ แต่เพราะนวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะ
และเคยยะเป็นต้นข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งพระทศพลทรงแสดงแล้ว ที่ชื่อว่าไม่ประจักษ์ชัดแก่พระอานนท์นั้น ไม่มี
ดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปแก่ข้าพเจ้า ธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้ารับมาจากพระพุทธเจ้า
แปดหมื่นสองพัน รับมาจากภิกษุสองพัน รวมเป็นแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเว้นท่านพระอานนท์
เสีย ก็ไม่อาจทำได้ถามว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น แม้ท่านพระอานนท์จะยังเป็นพระเสขะอยู่ พระเถระก็ควรเลือก เพราะเป็นผู้มี
อุปการะในการสังคายนาธรรมมากแต่เหตุไฉนจึงไม่เลือกตอบว่า เพราะจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนของผู้อื่น ความจริงพระเถระเป็นผู้คุ้นเคยกับท่านพระอานนท์อย่างยิ่ง จริง
อย่างนั้น ถึงพระอานนท์จะศีรษะหงอกแล้ว พระมหากัสสปะยังเรียกด้วยคำว่า เด็ก ในประโยคว่าเด็กคนนี้ไม่รู้
จักประมาณเลย ดังนี้ อนึ่ง ท่านพระอานนท์เกิดในตระกูลศากยะ เป็นพระอนุชาของพระตถาคต เป็นพระโอรสของ
พระเจ้าอา ในการคัดเลือกพระอานนท์นั้น ภิกษุบางพวกจะเข้าใจว่า ดูเหมือนจะลำเอียงเพราะรักใคร่กัน จะพากัน
ติเตียนว่า พระมหากัสสปะเถระมองข้ามภิกษุผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นอเสขะไปเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกพระอานนท์
ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นเสขะ เมื่อจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนนั้น พระมหากัสสปะจึงไม่เลือกพระอานนท์ ด้วยพิจารณา
เห็นว่า เว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้ เราจักรับท่านพระอานนท์นั้นโดยอนุมัติของภิกษุ
ทั้งหลายเหล่านั้น ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันขอร้องพระมหากัสสปะเถระเพื่อเลือกพระอานนท์เสียเอง สมดัง
คำที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระมหากัสสปดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่าน
พระอานนท์นี้แม้จะเป็นพระเสขะอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงอคติเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ด้วยว่าท่าน
พระอานนท์นี้ได้เล่าเรียนพระธรรมและพระวินัยในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขอพระเถระได้โปรดเลือกท่านพระอานนท์ด้วยเถิด ครั้นแล้วท่านพระมหากัสสปจึงได้เลือกท่านพระอานนท์ด้วย
โดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้ จึงเป็นพระเถระ ๕00 องค์ รวมทั้งท่านพระอานนท์ ที่พระมหากัสสปะเลือกโดยอนุมัติ
ของภิกษุทั้งหลาย
ปฐมสังคายนาเริ่มวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙ ก็โดยสมัยนั้นแล มีวัดใหญ่ ๑๘ วัด ล้อมรอบกรุงราชคฤห์ วัดเหล่านั้นมีหยากเยื่อถูกทิ้งเรี่ยราดไปทั้งนั้น
เพราะในเวลาเสด็จปรินิพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุทั้งหมดต่างก็ถือบาตรจีวรของตนๆ ทิ้งวัดและบริเวณไป
ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลาย เมื่อจะทำข้อตกลงเกี่ยวกับการปฏิสังขรณ์วัดเหล่านั้น ได้คิดกันว่า พวกเราต้องทำการ
ปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมตลอดเดือนต้นของพรรษา เพื่อบูชาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพื่อเปลื้อง
คำติเตียนของเดียรถีย์ เพราะพวกเดียรถีย์จะพึงกล่าวติอย่างนี้ว่า สาวกของพระสมณโคดมบำรุงวัดวาอารามแต่
เมื่อพระศาสดายังมีพระชนม์อยู่เท่านั้น เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ก็พากันทอดทิ้งเสีย การบริจาคทรัพย์เป็น
จำนวนมากของตระกูลทั้งหลายย่อมเสียหายไปโดยทำนองนี้ มีคำอธิบายว่า ที่พระเถระทั้งหลายคิดกันก็เพื่อจะเปลื้อง
คำติเตียนของเดียรถีย์เหล่านั้น ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้ทำข้อตกลงกัน ซึ่งท่านหมายเอาข้อตกลงนั้น กล่าวว่า
ครั้งนั้นแล ภิกษุชั้นพระเถระทั้งหลายได้ปรึกษากันว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญ
การปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมบัดนี้ เราทั้งหลายจงทำการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมตลอดเดือนต้น
พรรษาจักประชุมสังคายนาพระะรรมและพระวินัย ในเดือนกลางพรรษาในวันที่ ๒ พระเถระเหล่านั้นได้ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จมานมัสการแล้ว มีพระราช
ดำรัสถามถึงกิจที่พระองค์ทำว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย มาธุระอะไร เจ้าข้า ? พระเถระทั้งหลายถวายพระพร
ให้ทรงทราบถึงงานฝีมือ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ ๑๘ วัด พระเจ้าอชาตศัตรูได้พระราชทานคนทำงาน
มีฝีมือ พระเถระให้ปฏิสังขรณ์วัดทั้งหมดตลอดเดือนต้นฤดูฝนเสร็จแล้ว ถวายพระพรแด่พระเจ้าอชาตศัตรูว่า
ขอถวายพระพร มหาบพิตร งานปฏิสังขรณ์วัดเสร็จแล้ว บัดนี้อาตมาภาพทั้งหลาย จะทำการสังคายนาพระธรรม
และพระวินัย พระเจ้าอชาตศตรูมีพระราชดำรัสว่า ดีแล้ว เจ้าข้า พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่ต้องหนักใจ นิมนต์ทำเถิด
การฝ่ายอาณาจักรขอให้เป็นหน้าที่ของโยม ส่วนฝ่ายการธรรมจักร ขอให้เป็นหน้าที่ของพระคุณเจ้าทั้งหลาย โยมจะ
ต้องทำอะไรบ้าง โปรดสั่งมาเถิด เจ้าข้า พระเถระทั้งหลายถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขอพระองค์
ได้โปรดทำที่นั่งประชุมสำหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทำสังคายนา จะทำที่ไหน เจ้าข้า ? ขอถวายพระพรมหาบพิตร
ควรทำใกล้ประตูถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภาระ พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชกระแสว่า เหมาะดี เจ้าข้า
แล้วโปรดให้สร้างมณฑปมีเครื่องประดับวิเศษน่าชม มีทรวดทรงสัณฐานเช่นอาคารอันวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้
มีฝาเสาและบันไดจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี มีความงามวิจิตรไปด้วยมาลากรรมและลดากรรมนานาชนิดพิศแล้ว
ประหนึ่งว่า จะครอบงำความงามแห่งพระตำหนักของพระราชา งามสง่าเหมือนจะเย้ยหยันความงามของเทพวิมาน
ปานประหนึ่งว่า สถานเป็นที่รวมอยู่ของบุญวาสนา ราวกะว่าท่าที่รวมลงของฝูงวิหค ที่นัยนาแห่งเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เพียงดังภาพที่งามตาน่ารื่นรมย์ในโลก ซึ่งประมวลไว้ในที่เดียวกัน มีเพดานงามยวนตาเหมือนจะคาย
ออกซึ่งพวงดอกไม้ชนิดต่างๆ และไข่มุกที่ห้อยอยู่ ดูประหนึ่งพื้นระดับ ซึ่งปรับด้วยทับทิม วิจิตรไปด้วยรัตนะต่างๆ
มีแท่นที่สำเร็จเรียบร้อยดี ด้วยดอกไม้บูชานานาชนิด ประดับให้วิจิตรละม้ายคล้ายพิมานพรหม โปรดให้ปูลาดอาสนะ
อันเป็นกัปปิยะ ๕00 ที่ มีค่านับมิได้ ในมหามณฑปนั้นสำหรับภิกษุ ๕00 รูป ให้ปูลาดที่นั่งพระเถระ หันหน้าทาง
ทิศเหนือหันหลังทางทิศใต้ ให้ปูลาดที่นั่งแสดงธรรมอันควรแก่การประทับนั่งของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญ หันหน้าทาง
ทิศตะวันออก ในท่ามกลางมณฑป วางพัดทำด้วยงาช้างไว้บนธรรมาสน์นั้น แล้วมีรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ว่า
กิจของโยมเสร็จแล้ว เจ้าข้าก็และในวันนั้น ภิกษุบางพวกได้พูดพาดพิงถึงท่านพระอานนท์อย่างนี้ว่า ในหมู่ภิกษุนี้ มีภิกษุรูปหนึ่งเที่ยว
โชยกลิ่นคาวอยู่ พระอานนท์เถระได้ยินคำนั้นแล้ว ถึงความสังเวชว่า ภิกษุรูปอื่นที่ชื่อว่าเที่ยวโชยกลิ่นคาว ไม่มีใน
ภิกษุหมู่นี้ ภิกษุเหล่านี้คงพูดหมายถึงเราเป็นแน่ ภิกษุบางพวกกล่าวกะพระอานนท์นั้นว่า ดูก่อนอานนท์
การประชุมทำสังคายนาจักมีในวันพรุ่งนี้ แต่ท่านยังเป็นพระเสขะ ยังมีกิจที่จะต้องทำด้วยเหตุนั้นท่านไม่ควรเข้า
ประชุม ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด
พระอานนท์บรรลุพระอรหัต ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุมทำสังคายนา การที่เรายังเป็นพระเสขะอยู่ จะเข้าประชุม
ด้วยนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย แล้วให้เวลาล่วงไปด้วยกายคตาสติกรรมฐาน ตลอดราตรีเป็นส่วนมากทีเดียว
ในเวลาใกล้รุ่งของราตรีก็ลงจากที่จงกรมเข้าวิหาร เอนกายลงหมายจะนอน เท้าทั้งสองพ้นจากพื้นแล้ว แต่ศีรษะ
ยังไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้จิตพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน พระอานนท์เถระนี้ให้เวลาล่วงไปใน
ภายนอก ด้วยการจงกรม เมื่อไม่อาจะให้คุณวิเศษเกิดขึ้นได้ ก็คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะเราไว้มิใช่หรือว่า
ดูก่อนอานนท์ เธอได้สร้างบุญไว้แล้ว จงหมั่นบำเพ็ญเพียรเถิด ไม่ช้าก็จะเป็นพระอรหันต์ดังนี้ ธรรมดาพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายย่อมไม่ตรัสผิดพลาด แต่เราปรารภความเพียรมากเกินไป ฉะนั้น จิตของเราฟุ้งซ่าน ทีนี้เราประกอบความ
เพียรพอดีๆ คิดดังนี้แล้ว ลงจากที่จงกรม ยืนในที่ล้างเท้า ล้างเท้า เข้าวิหาร นั่งบนเตียงคิดว่า จักพักผ่อนสัก
หน่อย แล้วเอนกายบนเตียง เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้จิตพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ความเป็นพระอรหันต์ของพระอานนท์เถระ เว้นอิริยาบถ ๔ ฉะนั้น เมื่อมีการกล่าวถามกันขึ้นว่า
ในศาสนานี้ ภิกษุที่ไม่นอน ไม่นั่ง ไม่ยืน ไม่เดินจงกรม แต่ได้บรรลุพระอรหัต คือภิกษุรูปไหนหนอ ควรตอบว่า
คือ พระอานนท์เถระครั้งนั้น ในวันที่ ๒ จากวันที่พระอานนท์บรรลุพระอรหัต คือ วันเแรม ๕ ค่ำ พวกภิกษุชั้นพระเถระฉันเสร็จแล้ว
เก็บบาตรและจีวร แล้วประชุมกันในธรรมสภา สมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เป็นพระอรหันต์ได้ไปสู่ที่ประชุม
ท่านไปอย่างไร ท่านพระอานนท์มีความยินดีว่า บัดนี้เราเป็นผู้สมควรเข้าท่ามกลางที่ประชุมแล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่า
ข้างหนึ่ง มีลักษณะเหมือนลูกตาลสุกที่หล่นจากขั้ว มีลักษณะเหมือนทับทิมที่วางไว้บนผ้ากัมพลสีเหลือง มีลักษณะ
เหมือนดวงจันทร์เพ็ญที่ลอยเด่นในท้องนภากาศอันปราศจากเมฆ และมีลักษณะเหมือนดอกปทุมมีเกสรและกลีบแดง
เรื่อกำลังแย้มด้วยต้องแสงอาทิตย์อ่อนๆ คล้ายจะบอกเรื่องที่ท่านบรรลุพระอรหัตด้วยปากอันประเสริฐบริสุทธิ์ผุดผ่อง
มีรัศมีและมีสิริ ได้ไปสู่ที่ประชุมสงฆ์ ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะพอเห็นพระอานนท์ดังนั้น ได้มีความรู้สึกว่า ท่าน
ผู้เจริญ พระอานนท์บรรลุพระอรหัตแล้ว งามจริงๆ ถ้าพระศาสดายังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ก็จะพึงประทาน
สาธุการแก่พระอานนท์ในวันนี้แน่แท้ บัดนี้เเราจะให้สาธุการซึ่งพระศาสดาควรประทานแก่พระอานนท์นั้น
ดังนี้แล้ว ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้งพระอานนท์เถระ ประสงค์จะให้สงฆ์ทราบเรื่องที่ท่านบรรลุพระอรหัต จึงมิได้ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายเมื่อนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตนๆ ตามลำดับอาวุโส ก็นั่งเว้นอาสนะของพระอานนท์เถระไว้ บรรดาภิกษุ
เหล่านั้น ภิกษุบางพวกถามว่า นั่นอาสนะของใคร? ได้รับตอบว่า ของพระอานนท์ ภิกษุเหล่านั้นถามอีกว่า
พระอานนท์ไปไหนเสียเล่า? สมัยนั้น พระอานนท์เถระคิดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรจะไป ต่อจากนั้น เมื่อจะแสดง
อานุภาพของตน ท่านจึงดำดินแล้วแสดงตนบนอาสนะของตนทีเดียว การที่ท่านพระมหากัสสปะเห็นพระอานนท์แล้ว
ให้สาธุการ เป็นการเหมาะสมโดยประการทั้งปวงทีเดียวเมื่อท่านพระอานนท์มาอย่างนี้แล้ว พระมหากัสสปเถระจึงปรึกษาหารือภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่พระมหากัสสปะ
ผู้เจริญ พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยตั้งอยู่ พระศาสนาก็ชื่อว่ายังดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เรา
ทั้งหลายจงสังคายนาพระวินัยก่อน พระมหากัสสปะถามว่าเราจะจัดให้ใครรับเป็นธุระ ? ที่ประชุมตอบว่าให้ท่านพระ
อุบาลีรับเป็นธุระ ? ท่านถามแย้งว่าพระอานนท์ไม่สามารถหรือ ? ที่ประชุมชี้แจงว่า ไม่ใช่พระอานนท์ ไม่สามารถ ก็
แต่ว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งดำรงพระชนม์อยู่ ได้สถาปานาท่านพระอุบาลีไว้ในเอตทัคคะ เพราะอาศัยการเล่า
เรียนวินัยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาลีเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกของเราผู้ทรงวินัย ดังนี้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงต้อง
ถามพระอุบาลีเถระ สังคายนาพระวินัย ลำดับนั้น พระมหากัสสปะเถระได้สมมติตนเองเพื่อถามพระวินัย แม้พระ
อุบาลีเถระ ก็สมมติตนเองเพื่อตอบพระวินัย ในการสมมตินั้นมีบาลีดังต่อไปนี้ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อม
พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอถามพระวินัยกะพระอุบาลี แม้ท่านพระอุบาลีก็ได้เผดียงว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะถามวินัยแล้ว
จะตอบ ครั้นท่านพระอุบาลีสมมติตนอย่างนี้แล้วลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการภิกษุชั้นพระเถระ
แล้วนั่งบนธรรมาส์จับพัดงา ลำดับนั้นพระมหากัสสปเถรนั่งบนเถรอาสน์ ถามวินัยกะท่านพระอุบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโสอุบาลี ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติที่ไหน? พระอุบาลีตอบว่า ทรงบัญญัติที่เมือง
เวสาลี เจ้าข้า พระมหากัสสปะถามว่า ทรงปรารภใคร? พระอุบาลีตอบว่า ทรงปรารภพระสุทิน บุตรกลันทเศรษฐี
พระมหากัสสปะถามว่า เรื่องอะไร ? พระอุบาลีตอบว่า เรื่องเสพเมถุนธรรม ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถาม
ท่านพระอุบาลีทั้งวัตถุ ถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคล ถามทั้งมูลบัญญัติ ถามทั้งอนุบัญญัติ ถามทั้งอาบัติ ถามทั้ง
อนาบัติแห่งปฐมปาราชิก ท่านพระอุบาลี อันพระมหากัสสปะถามแล้วๆ ได้ตอบแล้วพระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ยกปาราชิกที่เหลืออยู่ ๓ สิกขาบท ขึ้นสู่สังคายนาโดยนัยนี้เหมือนกัน
แล้วตั้งกันไว้ว่า อิทํ ปาราชิกกณฺฑํ กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ ตั้งสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ว่า เตรสกณฺฑํ ตั้งสิกขา
บท ๒ ไว้ว่า อนิยต ตั้งสิกขาบท ๓0 ไว้ว่า นิสสัคคียปาจิตตีย์ ตั้งสิกขาบท ๙๒ ไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้งสิกขาบท ๔
ไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ ตั้งสิกขาบท ๗๕ ไว้ว่า เสขิยะ ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ ระบุสิกขาบท ๒๒๗
ว่า คัมภีร์มหาวิภังค์ ตั้งไว้ด้วยประการฉะนี้ แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาคัมภีร์มหาวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหว
เป็นเหมือนให้สาธุการไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดินต่อจากนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ได้ตั้งสิกขาบท ๘ ในภิกขุนีวิภังค์ไว้ว่า กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์
ตั้งสังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบทไว้ว่า นี้ สัตตรสกัณฑ์ ตั้งนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓0 สิกขาบทนี้ไว้ว่า นี้ นิสสัคคีย
ปาจิตตีย์ ตั้งปาจิตตีย์ ๑๑๖ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาจิตตีย์ ตั้งปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาฏิเทสนียะ
ตั้งเสขิยะ ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า เสขิยะ ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า นี้ อธิกรณสมถะ ระบุสิกขาบท ๓0๔ ว่า
ภิกขุนีวิภังค์ อย่างนี้แล้ว ตั้งไว้ว่า วิภังค์นี้ชื่อ อุภโตวิภังค์ มี ๖๔ ภาณวาร แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนา
คัมภีร์ อุภโตวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหวโดยนัยก่อนแล้วเหมือนกันโดยอุบายวิธีนี้แหละ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ยกคัมภีร์ขันธกะ ( มหาวรรคและจุลวรรค ) ซึ่งมีประมาณ
๘0 ภาณวาร และคัมภีร์บริวารซึ่งมีประมาณ ๒๕ ภาณวาร ขึ้นสู่สังคายนาแล้วตั้งไว้ว่าปิฎกนี้ชื่อว่าวินัยปิฎก
แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาวินัยปิฎก แผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้
มอบท่านพระอุบาลี ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ในเวลาเสร็จการสังคายนา วินัยปิฎก พระอุบาลีเถระ วางพัดงาลงจาก
ธรรมาสน์ นมัสการภิกษุชั้นเถระทั้งหลาย แล้วนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตนครั้นสังคายนาพระวินัยเสร็จแล้ว ท่านพระมหากัสสปะประสงค์จะสังคายนาพระธรรมต่อไป จึงถามภิกษุทั้งหลายว่า
เราทั้งหลายผู้จะสังคายนาพระธรรม ( สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก ) จะจัดให้ใครรับธุระสังคายนาพระธรรม
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ให้ท่านพระอานนทเถระรับเป็นธุระ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อนท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอถามพระธรรมกะพระอานนท์
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เผดียงว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะถามพระธรรมแล้ว จะตอบ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะห่มจีวร
เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการภิกษุชั้นพระเถระทั้งหลายแล้วนั่งบนธรรมาสน์จับพัดงา ครั้งนั้นแล ท่านพระมหา
กัสสปะถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาปิฎกไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน พระมหากัสสปะถามว่า ในสุตตันตปิฎกมีสังคีติ ๔ ประการ ( ทีฆสังคีติ การสังคายนา
ทีฆนิกาย มัชฌิมสังคีติ การสังคายนามัชฌิมนิกาย สังยุตตสังคีติ การสังคายนาสังยุตตนิกาย อังคุตตรสังคีติ
การสังคายนาอังคุตตรนิกาย ส่วยขุททกนิกาย มีวินัยปิฎกรวมอยู่ด้วย จึงไม่นับในที่นี้ ) ในสังคีติเหล่านั้น เราทั้งหลาย
จะสังคายนาสีงคีติไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาทีฆสังคีติก่อน พระมหากัสสปะถามว่า ในทีฆสังคีติ
มีสูตร ๓๔ สูตร มีวรรค ๓ วรรค ในวรรคเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาวรรคไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
สังคายนาสีลขันธวรรคก่อน พระมหากัสสปะถามว่า ในสีลขันธวรรค มีสูตร ๑๓ สูตร ในสูตรเหล่านั้น เราทั้งหลาย
จะสังคายนาสูตรไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าพรหมชาลสูตรประดับด้วยศีล
๓ ประเภท เป็นสูตรกำจัดโทษ มีการหลอกลวง และการพูดประจบประแจงซึ่งเป็นมิจฉาชีพหลายอย่างเป็นต้น
เป็นสูตรปลดเปลื้องข่ายคือ ทิฏฐิ ๖๒ ทำหมื่นโลกธาตุให้ไหว เราทั้งหลายจงสังคายนาพรหมชาลสูตรนั้นก่อนครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวถามคำนี้กะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสพรหมชาลสูตรที่ไหน ? พระอานนท์ตอบว่า ตรัส ณ พระตำหนักในพระราชอุทยาน อัมพลิฏฐิกา ระหว่าง
กรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา พระมหากัสสปะถามว่า ทรงปรารภใคร ? พระอานนท์ตอบว่า ทรงปรารภสุปปิย
ปริพาชกกับพรหมทัตมาณพ พระมหากัสสปะถามว่า เรื่องอะไร ? พระอานนท์ตอบว่า เรื่องชมและติ ครั้งนั้นแล
ท่านพระมหากัสสปะ ถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคล แห่งพรหมชาลสูตรกะท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์ได้ตอบแล้ว
เมื่อตอบเสร็จแล้ว พระอรหันต์ ๕00 องค์ได้ทำคณสาธยาย และแผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแลครั้นสังคายนาพรหมชาลสูตรอย่างนี้แล้ว ต่อจากนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาสูตร ๑๓ สูตร
ทั้งหมดรวมทั้งพรหมชาลสูตร ตามลำดับแห่งปุจฉาและวิสัชนา โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ วรรคนี้
ชื่อสีลขันธวรรค พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย สังคายนาบาลีประมาณ ๖๔ ภาณวาร ประดับด้วยสูตร ๖๔ สูตร
จัดเป็น ๓ วรรค อย่างนี้ คือ มหาวรรคต่อจากสีลขันธวรรคนั้น ปาฏิกวรรคต่อจากมหาวรรคนั้น แล้วกล่าวว่า
นิกายนี้ชื่อว่าทีฆนิกาย แล้วมอบท่านพระอานนท์ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกาย ประมาณ ๘0 ภาณวาร แล้วมอบกะนิสิตของพระธรรม
เสนาบดีสารีบุตรเถระว่า ท่านทั้งหลาย จงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้ ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้ สังคายนาสังยุตตนิกายประมาณ ๑00 ภาณวาร แล้วมอบกะพระมหากัสสปะเถระ
ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ต่อจากสังคายนาคัมภีร์สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนา
อังคุตตรนิกายประมาณ ๑๒0 ภาณวาร แล้วมอบกะพระอนุรุทธเถระ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่านว่าคัมภีร์ธรรมสังคณี คัมภีร์วิภังค์ คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ คัมภีร์ธาตุกถา คัมภีร์ยมก
คัมภีร์ปัฏฐาน ท่านเรียกว่า พระอภิธรรมต่อจากการสังคายนาคัมภีร์อังคุตตรนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ได้สังคายนาบาลี
พระอภิธรรม ซึ่งเป็นอารมณ์ของญาณอันสุขุม อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้วอย่างนี้ แล้วกล่าวว่า ปิฎกนี้
ชื่อ อภิธรรมปิฎก พระอรหันต์ ๕00 องค์ได้ทำคณสาธยาย แผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล
ต่อจากการสังคายนาอภิธรรมปิฎกนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาพระบาลี คือ ชาดก นิทเทส
ปฏิสัมภิทามรรค อปทาน สุตตนิบาต ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา
เถรีคาถา ประชุมคัมภีร์นี้ชื่อว่า ขุททกคันถะ ขุททกคันถะทั้งหมดนี้กับจริยาปิฎกและพุทธวงศ์ นับเนื่องใน
สุตตันตปิฎก
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 75 อภิธรรมปิฎก
หน้า 7-9 อรรถกถาธรรมสังคณี
อรรถกถาธรรมสังคณี
ชื่ออัฏฐสาลินี
อารัมภกถา
กรุณา วิย สตฺเตสุ ปญฺญายสฺส มเหสิโน
เญยฺยธมฺเมสุ สพฺเพสุ ปวตฺติตฺถ ยถารุจึ ...
พระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นไปทั่วใน
ไญยธรรมทั้งปวงตามความพอพระทัย ดุจพระกรุณาที่ทรงแผ่ไปในสัตว์ทั้งหลาย พระสัมพุทธะ
พระองค์ใด มีพระทัยอันความกรุณานั้นให้อุตสาหะขึ้นด้วยดีในสัตว์ทั้งหลาย เมื่อประทับจำพรรษา
ในดาวดึงส์เทวโลก ในคราวที่แสดงยมกปาฏิหาริย์เสด็จแล้ว ได้ประทับนั่งบนศิลาอาสน์ ชื่อว่า
บัณฑุกัมพล ณ ควงไม้ปาริชาตทรงพระสิริโสภาคย์ ดุจพระอาทิตย์อุทัยเหนือขุนเขายุคันธร ผู้อัน
หมู่แห่งเทพเจ้าทั้งหมื่นจักรวาลได้แวดล้อมนั่งประชุมกัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงทำ
สันตุสสิตเทพบุตรซึ่งเคยเป็นพุทธมารดา ให้เป็นประธานแก่หมู่เทพยเจ้าทั้งหลาย แล้ว
ตรัสกถามรรค ( ประพันธ์ ) พระอภิธรรมติดต่อกันไปตลอดพรรษากาล ด้วยเดชแห่ง
พระสัพพัญญุตญาณนั้นข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระยุคลบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสิริโสภาคย์
พระองค์นั้น ขอบูชาพระสัทธรรมและทำอัญชลีต่อพระสงฆ์ ด้วยอานุภาพแห่งการทำความนอบน้อม
ในพระรัตนตรัยที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วนี้ ขออันตรายทั้งหลายจงเสื่อมสิ้นไปโดยมิได้เหลือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นเทพของเทพ เป็นผู้นำพิเศษ ผู้อันภิกษุชื่อว่าพุทธโฆษะ มีอาจาระ
และศีลบริสุทธิ์ มีปํญญาฉลาดหลักแหลม ปราศจากมลทินทูลอาราธนาสักการะโดยเคารพพระองค์นั้น
ครั้นทรงแสดงอภิธรรมใดแก่เทพทั้งหลายแล้ว ก็ได้ตรัสบอกแก่พระสารีบุตรเถระ
ผู้อุปัฏฐากพระมเหสีเจ้า ณ สระอโนดาตโดยนัยอีก พระเถระได้สดับฟังแล้วก็มายัง
พื้นปฐพีบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย พระอภิธรรมนั้นอันพระภิกษุทั้งหลายทรงจำไว้แล้วด้วย
ประการฉะนี้ในคราวทำสังคายนา พระอานนทเถระผู้เวเทหมุนี ได้ร้อยกรองอีกครั้งหนึ่ง
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 75 อภิธรรมปิฎก
หน้า 60-63 อรรถกถาธรรมสังคณี
อรรถกถาธรรมสังคณี
ว่าโดยเฉพาะพระอภิธรรมก็ในปิฎกนี้ เมื่อพระเถระทั้งหลายสังคายนาพระพุทธพจน์แล้วอย่างนี้ พระอภิธรรมนี้ เมื่อว่าโดยปิฎก เป็น
อภิธรรมปิฎก เมื่อว่าโดยองค์ เป็นไวยากรณ์ เมื่อว่าโดยธรรมขันธ์ เป็นธรรมขันธ์ หลายพันธรรมขันธ์
( ๒๒,000 ธรรมขันธ์ ) บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้ทรงพระอภิธรมนั้น ในกาลก่อนมีภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมบริษัท
เมื่อจะนำพระสูตรจากพระอภิธรรมมากล่าว ได้กล่าวธรรมกถาว่า รูปขันธ์เป็นอัพยากตะ ขันธ์ ๔ เป็นกุศลก็มี
เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อายตนะ ๑0 เป็นอัพยากตะ อายตนะ ๒ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพพยากตะ
ก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอัพยาตกะ ธาตุ ๒ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี สมุทัยสัจจะเป็นอกุศล มรรคสัจจะ
เป็นกุศล นิโรธสัจจะเป็นอัพยากตะ ทุกขสัจจะเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อินทรีย์ ๑0 เป็นอัพยากตะ
โทมนัสสินทรีย์เป็นอกุศล อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นกุศล อินทรีย์ ๔ เป็นกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อินทรีย์ ๖
เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยาตกะก็มี ดังนี้ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้น ได้ถามพระธรรมกถึกว่า ดูก่อนท่านธรรมกถึก ท่านนำสูตรมายาวเหมือนจะล้อม
เขาสิเนรุ สูตรนี้มีชื่อว่าอย่างไรเล่า ?พระธรรมกถึก : ชื่อว่า พระอภิธรรมสูตร ผู้มีอายุ
ภิกษุนั้น : เพราะเหตุไร จึงนำพระอภิธรรมสูตรมา การนำพระสูตรอื่นที่เป็นพุทธภาษิตมา ไม่สมควรหรือ ?
พระธรรมกถึก : พระอภิธรรม ใครภาษิตไว้เล่า ?
ภิกษุนั้น : พระอภิธรรมนี้ ไม่ใช่พุทธภาษิต
พระธรรมกถึก : ดูก่อนผู้มีอายุ ก็คุณเรียนพระวินัยปิฎกหรือไม่
ภิกษุนั้น : กระผมไม่ได้เรียนขอรับ
พระธรรมกถึก : เห็นจะเป็นเพราะคุณไม่ทรงพระวินัย เมื่อไม่รู้จึงกล่าวอย่างนี้
ภิกษุนั้น : กระผมเรียนเพียงวินัยเท่านั้นขอรับ
พระธรรมกถึก : แม้วินัยก็เรียนเอาไม่ดี คงจักนั่งเรียนหลับอยู่ที่ท้ายบริษัท หรือว่า เพราะพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บุคคล
เช่นท่านบรรพชา อุปสมบทเป็นคนด่วนได้ เพราะเหตุไร ? เพราะแม้วินัยเธอก็เรียนไม่ดี จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสพระดำรัสนี้ ในพระวินัยนั้นว่า " ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะติเตียนกล่าวตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร
เรียนคาถาทั้งหลาย หรือเรียนพระอภิธรรมไปก่อน ภายหลังจักเรียนพระวินัย ดังนี้ไม่เป็นอาบัติ "
( วินย. ๒/๖๘๘ ) ก็แม้คำว่าภิกษุขอโอกาสถามปัญหาในพระสูตร แต่ไพล่ถามอภิธรรมหรือวินัย ขอโอกาสถาม
ปัญหาในพระอภิธรรม แต่ไพล่ถามพระสูตรหรือวินัย ขอโอกาสถามปัญหาในพระวินัย แต่ไพล่ถามพระสูตรหรือ
อภิธรรม ดังนี้ มีประมาณเท่านี้ ท่านก็ย่อมไม่รู้ พระธรรมกถึกนั้น จึงเป็นอันข่มปรวาทีได้ ด้วยถ้อยคำแม้ประมาณเท่านี้ก็มหาโคสิงคสาลสูตร เป็นสูตรสำคัญกว่าสูตรแม้นี้ เพราะเหตุที่เป็นพุทธภาษิต จริงอยู่ ในมหาโคสิงคสาลสูตรนั้น
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อกราบทูลปัญหาที่ถามและคำวิสัชนากะกันและกัน
เมื่อจะบอกคำวิสัชนาของพระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกราบทูลว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระกล่าวว่า " ท่านสารีบุตร
ภิกษุสองรูปในพระธรรมวินัยนี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้งสองนั้นย่อมถามปัญหากันแล้ว ย่อมช่วย
กันแก้ ไม่ขัดแย้งกัน และธรรมีกถาของเธอทั้งสองนั้นย่อมเป็นไปได้ดี ท่านสารีบุตรป่าโคสิงคสาลวัน
พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล ( ม.มู ๑๒/๓๗๔ ) ดังนี้พระศาสดาไม่ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่า พระผู้ทรงพระอภิธรรมเป็นผู้อยู่ภายนอกศาสนาของเรา ดังนี้ แต่ทรงยก
พระศอขึ้น ดุจพระสุวรรณภิงคาร ( พระเต้าทอง ) เมื่อจะยังเนื้อความนั้นให้สมบูรณ์ ด้วยพระโอษฐ์อันมีสิริดังพระ
จันทร์เพ็ญ จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงอันก้องกังวานดุจเสียงของพระพรหมประทานสาธุการถึงพระมหาโมคคัลลานเถระว่า
ดีละ ดีละ สารีบุตร ดังนี้ แล้วตรัสว่า ก็โมคคัลลานะเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ ก็พึงพยากรณ์ตามนั้น
ดูก่อนสารีบุตร ด้วยว่าโมคคัลลานะเป็นธรรมกถึก ( ม.มู ๑๒/๓๘0 ) ดังนี้
ภิกษุผู้ทรงอภิธรรมชื่อว่า พระธรรมกถึก จริงอยู่ ได้ยินว่า ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมเท่านั้น ชื่อว่า พระธรรมกถึก นอกจากนี้แม้กล่าวธรรม ก็ไม่ใช่พระ
ธรรมกถึก เพราะเหตุไร เพราะว่า ภิกษุผู้ไม่ทรงพระอภิธรรมเหล่านั้นเมื่อกล่าวธรรม ย่อมกล่าวลำดับกรรม ลำดับ
วิบาก กำหนดรูปอรูป ลำดับธรรมให้สบสน ส่วนภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมย่อมไม่ให้ลำดับธรรมสับสน เพราะฉะนั้น
ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม จะกล่าวธรรมหรือมิได้กล่าวก็ตาม แต่ในเวลาเธอถูกถามปัญหาแล้วก็จักกล่าวแก้ปัญหานั้นได้
พระศาสดาทรงหมายถึงคำนี้ว่า ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมนี้เท่านั้น ชื่อว่าเป็นพระธรรมกถึกอย่างยิ่ง ดังนี้ จึงทรง
ประทานสาธุการแล้ว ตรัสว่า โมคคัลลานะกล่าวดีแล้ว ดังนี้
ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้าน
พระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง
ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นผู้ควรแก่อุกเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอ
ไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้
อธิบาย : อัฏฐารสเภทกรวัตถุ เรื่องทำความแตกกัน ๑๘ อย่าง, เรื่องที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกแก่สงฆ์
๑๘ ประการท่าน จัดเป็น ๙ คู่ (แสดงแต่ฝ่ายคี่) คือภิกษุแสดงสิ่งมิใช่ธรรมว่าเป็นธรรม, แสดงสิ่งมิใช่วินัยว่าเป็นวินัย,
แสดงสิ่งที่พระ ตถาคตมิได้ตรัสว่าได้ตรัส, แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ประพฤติว่าได้ประพฤติ, แสดงสิ่งที่พระตถาคต
มิได้บัญญัติ ว่า ได้บัญญัติ, แสดงอาบัติว่ามิใช่อาบัติ, แสดงอาบัติเบาว่าเป็นอาบัติหนัก, แสดงอาบัติมีส่วนเหลือ
ว่าเป็นอาบัติไม่มีส่วน เหลือ, แสดงอาบัติหยาบคายว่ามิใช่อาบัติหยาบคาย (ฝ่ายคู่ก็ตรงข้ามจากนี้ตามลำดับ เช่น
แสดงธรรมว่ามิใช่ธรรม, แสดงวินัยว่ามิใช่วินัย ฯลฯ แสดงอาบัติไม่หยาบคาย ว่าเป็นอาบัติหยาบคาย)นิคหกรรม การลงโทษตามพระธรรมวินัย, สังฆกรรมประเภทลงโทษผู้ทำความผิด ท่านแสดงไว้ ๖ อย่างคือ
ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม อุกเขปนียกรรม และตัสสปาปิยสิกากรรมอุกเขปนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย หมายถึงวิธีการลงโทษที่สงฆ์กระทำแก่ภิกษุผู้ต้อง
อาบัติ แล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติหรือไม่ยอมทำคืนอาบัติ หรือมีความเห็นชั่วร้าย (ทิฏฐิบาป) ไม่ยอมสละซึ่งเป็น
ทางเสียสีล สามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ์ คือ ไม่ให้ฉันร่วม ไม่ให้อยู่ร่วม
ไม่ให้มีสิทธิ เสมอกับภิกษุทั้งหลาย พูดง่าย ๆ ว่า ถูกตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราวนิยสกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศ ได้แก่การถอดยศ, เป็นชื่อนิคหกรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้มี
อาบัติมาก หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร โดยปรับให้ถือนิสัยใหม่อีก ดู นิคหกรรมตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่, สังฆกรรมประเภทนิคหกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสงฆ์ทำการตำหนิ
โทษภิกษุผู้ก่อความทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์เป็นผู้มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร