พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 37 อังคุตตรนิกาย
สัตตกนิบาต ตั้งแต่หน้า 43 สารันททสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
สารันททสูตร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ สารันททเจดีย์ ใกล้กรุงเวสาลี ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีหลายพระองค์ด้วย กันพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระเจ้าได้ตรัสกะเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า
ดูก่อนลิจฉวีทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการ แก่ท่าน
ทั้งหลายท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ว่า ดูก่อนลิจฉวีทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการเป็น ไฉน คือ ชาววัชชีจักหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
เพียงใด ชาววัชชีพึง
หวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น ชาววัชชีเมื่อประชุมก็จักพร้อมเพรียงกันประชุม
เมื่อเลิก
ประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกประชุมและจักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่ควรทำ เพียงใดชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน
ไม่พึงหวังความเสื่อมเลยเพียงนั้น ชาววัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่บัญญัติ จักไม่ถอนสิ่งที่ท่านบัญญัติไว้แล้ว
ประพฤติมั่นอยู่ใน
ธรรมของชาววัชชีครั้งโบราณ ตามที่ท่านบัญญัติไว้ เพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน
ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น ชาววัชชีจักสักการะเคารพ นับถือ บูชาท่านวัชชีผู้ใหญ่ทั้งหลาย
และจักสำคัญถ้อยคำแห่งท่านเหล่านั้น ว่าเป็นถ้อย
คำอันตนพึงเชื่อฟัง เพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลยเพียงนั้นชาววัชชีจักไม่ข่มขืน
บังคับปกครองหญิงในสกุล เพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย
เพียงนั้น ชาววัชชียังคง
สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจติยสถานของชาววัชชีทั้งภายในและภายนอก และไม่ลบล้างพลีกรรมอันชอบธรรม
ซึ่งเคยให้ เคยทำแก่เจติยสถานเหล่านั้น เพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน
ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น ชาววัชชี ถวายความอารักขา ความคุ้มครอง ป้องกันโดยชอบธรรมในพระอรหันต์ทั้งหลาย
เป็นอย่างดี ด้วยหวังว่า ไฉนพระอรหันต์ ทั้งหลายที่ยังไม่มา พึงมาสู่แว่นแคว้น
และที่มาแล้ว พึงอยู่เป็นสุขเพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวัง
ความเสื่อมเลย เพียงนั้น ดูก่อนลิจฉวีทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ จักตั้งอยู่ในชาววัชชี
และชาววัชชียังปรากฏอยู่ ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ เพียงใด ชาววัชชีพึงหวังความเจริญได้แน่นอน
ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
วรรคที่ ๓ สารันททสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า สารนฺทเท เจติเย ได้แก่ในวิหารมีชื่ออย่างนั้น ได้ยินว่า
เมื่อพระตถาคตยังไม่เสด็จอุบัติ สถานที่อยู่ของยักษ์ ชื่อสารันททะ ได้กลายเป็นเจดีย์
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายได้พากันสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เจดีย์นั่นแล
บทว่า ยาวกีวญฺจ แปลว่า ตลอดกาลเพียงไร บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา ความว่า
ประชุมกันวันละ ๓ ครั้งก็ดี ประชุมเป็นระยะๆ ก็ดี ชื่อว่า ประชุมกันเนืองๆ บทว่า
สนฺนิปาตพหุลา ความว่า ชื่อว่า มากด้วยการประชุม เพราะยุติกันไม่ได้ว่าทั้งวันวาน
ทั้งใน วันก่อนๆ เราก็ประชุมแล้วเพื่อประโยชน์อะไรจึงประชุมกันวันนี้อีก คำว่า
วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิิ ความจริงเจ้าลิจฉวี เมื่อไม่ประชุมกันเนืองๆ
ย่อมไม่ได้สดับข่าวสาสน์อันมาในทิศทั้งหลายเลย แต่นั้นย่อมไม่ทราบว่าเขตแดน หมู่บ้านโน้น
หรือเขตแดนนิคมโน้นวุ่นวายกัน พวกโจรส้องสุมกันอยู่ในที่โน้น ฝ่ายพวกโจร ครั้นรู้ว่าเจ้าทั้งหลายพากัน
ประมาทแล้ว ก็โจมตีหมู่บ้านเป็นต้น ทำชนบทให้เสียหาย ความเสื่อมเสียย่อมมีแก่เจ้าทั้งหลายด้วยอาการอย่างนี้
แต่เมื่อ
ประชุมกันเนืองๆ ย่อมได้ฟังเรื่องนั้นๆ จากนั้น ก็ได้ส่งกองกำลังไปกระทำการปราบศัตรู
แม้พวกโจรก็คิดว่า เจ้าทั้งหลายไม่
ประมาทแล้ว พวกเราไม่อาจเที่ยวไปโดยคุมกันเป็นพวกๆ ดังนี้ แล้วก็พากันแตกหนีไป
เจ้าทั้งหลายจึงมีความเจริญด้วย
อาการอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี
วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิ
ในบทว่า สมคฺคา เป็นต้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ เมื่อสิ้นเสียงกลองเรียกประชุม พวกเจ้าวัชชี กระทำความบ่ายเบี่ยงว่า วันนี้เรามีกิจ เรามีการมงคล ดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีความพร้อมเพรียงกันประชุม อนึ่ง พวกเจ้าวัชชี พอได้สดับเสียงกลอง กำลังบริโภตอาหารก็ดี กำลังประดับก็ดี กำลังนุ่งผ้าอยู่ก็ดี บริโภคอาหารได้ครึ่งหนึ่ง ประดับตัวครึ่งเดียว กำลังนุ่งผ้าก็มาประชุม ชื่อว่าย่อมพร้อมเพรียงกันประชุม อนึ่งพวกเจ้าวัชชี ประชุมคิดปรึกษากันทำกิจที่ควรทำแล้วประชุม ด้วยว่าเมื่อพวกเจ้าวัชชี เลิกประชุมกันอย่างนี้ พวกเจ้าวัชชีที่เลิกไปก่อน ย่อมปริวิตกอย่างนี้ว่า พวกเราได้สดับแต่เรื่องนอกประเด็นทั้งนั้น บัดนี้จักมี เรื่องวินิจฉัยกันดังนี้ อนึ่ง พวกเจ้าวัชชีเมื่อพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม ชื่อว่า ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าวัชชี
สดับว่า คามสีมาหรือนิคมสีมาในที่ชื่อโน้นวุ่นวายหรือ มีพวกโจรส้องสุมดักปล้น กล่าวว่า
ใครจกไปกระทำการปราบศัตรู ดังนี้แล้วก็แย่งกันกล่าววว่า เราก่อน เราก่อน ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม
แต่เมื่อการงานของเจ้าวัชชีพวกหนึ่ง ต้องหยุดชะงักลง พวกเจ้าวัชชีนอกนั้นต่างก็ส่งบุตรและพี่น้องชายไปช่วยเหลือ
เจ้าวัชชี
บ้าง พวกเจ้าวัชชีทั้งหมดอย่าได้พูดกะเจ้าผู้เป็นอาคันตุกะว่า จงไปเรือนของเจ้าวัชชีโน้น
จงไปเรือนของเจ้าวัชชีโน้น ดังนี้
ต่างพร้อมเพรียงกันสงเคราะห์บ้าง เมื่อการมงคลก็ดี โรคก็ดี ก็หรือว่าเมื่อสุขทุกข์เช่นนั้นอย่างอื่นเกิดขึ้นแก่เจ้าวัชชีคนหนึ่ง
พวกเจ้าวัชชีทั้งหมด ก็พากันเป็นสหายในการงานนั้นบ้าง ชื่อว่า ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงช่วยกระทำกิจที่เจ้าวัชชีควรกระทำ
ในบทว่า อปฺปญฺญตฺตํ เป็นต้น
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พวกเจ้าวัชชีเมื่อให้เก็บส่วยภาษีหรือค่าสินไหมที่ไม่ได้กระทำไว้
ในกาลก่อน ชื่อว่า ย่อมบัญญัติข้อที่ยังไม่ได้บัญญัติ อนึ่ง พวกเจ้าวัชชีเมื่อให้เก็บส่วยเป็นต้น
เฉพาะที่มีอยู่ตามประเพณีโบราณ ชื่อว่า ย่อมไม่ถอนข้อบัญญัติไว้แล้ว พวกเจ้าวัชชี
ตัดสินพวกมนุษย์ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับมาแสดงว่าเป็นโจร สั่งลงโทษเสร็จเด็ด
ขาดชื่อว่า ถือวัชชีธรรมของเก่าปฏิบัติ เมื่อพวกเจ้าวัชชีเหล่านั้นบัญญัติข้อที่ไม่เคยบัญญัติไว้
พวกมนุษย์ผู้ถูกภาษีใหม่ เอี่ยมเป็นต้น บีบคั้นปรึกษากันว่า พวกเราถูกพวกเจ้าวัชชีเบียดเบียนเหลือเกิน
ใครเล่าจักทนอยู่ในแคว้นของพวกเจ้าเหล่านี้ ได้ดังนี้แล้ว พากันอพยพไปยังปลายแดนเป็นโจรบ้าง
เป็นพวกโจรพากันปล้นชาวชนบท เมื่อเจ้าวัชชีเหล่านั้น ถอนข้อบัญญัติ ที่บัญญัติไว้แล้วไม่เก็บส่วยเป็นต้น
ที่มีอยู่แล้วตามประเพณี เรือนคลัง ย่อมเสื่อมลง ลำดับนั้น ชนทั้งหลาย มีพลม้า
พลช้าง กองทหาร และนักสนม เป็นต้น เมื่อไม่ได้รับค่าจ้าง ที่เคยมีเป็นประจำ ย่อมเสื่อมถอยจากเรี่ยวแรงและกำลัง
ชนเหล่านั้น ย่อมทนความเป็นพลรบไม่ได้ อดทนต่อความปรนนิบัติมิได้ เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลายไม่ยึดวัชชีธรรมของเก่าปฏิบัติ
พวกมนุษย์ใน แว่นแคว้น พากันโกรธว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย ตัดสินบุตรบิดาของเรา ผู้ไม่เป็นโจรให้กลายเป็นโจรแล้ว
ทำลายทรัพย์เสียดังนี้ ดังนี้แล้ว พากันไปอพยพไปอยู่ชายแดน เป็นโจรบ้าง เป็นพวกของโจรบ้าง
พากันปล้นชนบท เจ้าทั้งหลายย่อมมีแต่ความเสื่อม ด้วยอาการอย่างนี้ แต่เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลาย
ไม่บัญญัติข้อที่มิได้บัญญัติไว้ พวกมนุษย์ต่างกันยินดีร่าเริงว่า เจ้าทั้งหลาย
ทำ ตามข้อบัญญัติที่เคยมีมาแล้วตามประเพณีเท่านั้น ดังนี้แล้ว ย่อมจัดแจงการงานมีกสิกรรมและพานิชกรรมเป็นต้น
ให้สำเร็จผล เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลาย ไม่ถอนข้อที่บัญญัติไว้เก็บภาษีเป็นต้น ที่เคยมีตามประเพณี
เรือนคลังก็ย่อมเพิ่มพูนแต่นั้น พลช้าง พลม้า พลเดินเท้า และนางสนมเป็นต้น เมื่อได้ค่าจ้างตามที่มีเป็นประจำ
ย่อมสมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง ย่อมอดทนต่อการรบ และอดทนต่อการปรนิบัติบำรุง
เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลาย ยึดวัชชีธรรมของเก่าประพฤติ พวกมนุษย์ก็ไม่เพ่งโทษต่อเจ้าทั้งหลาย
ทรงกระทำการตามประเพณีโบราณ ทรงให้ลงอาชญาที่เหมาะสมเท่านั้น พวกเจ้าเหล่านี้ไม่มีความผิด
พวกเราต่างหากมีความ ผิด ดังนี้แล้ว พากันไม่ประมาทกระทำการงานทั้งหลายจึงมีแต่ความเจริญด้วยอาการอย่างนี้
บทว่า สกฺกริสฺสนฺติ ความว่า
เจ้าวัชชีทั้งหลาย เมื่อกระทำสักการะอย่างใดอย่างหนึ่ง แก่เจ้าวัชชีเหล่านั้น จักกระทำ
แต่สิ่งที่ดีเท่านั้น บทว่า ครุกริสฺสนฺติ ความว่า จักเข้าไปตั้งความเคารพ
กระทำ บทว่า มาเนสฺสนฺติ ความว่าจักเป็นที่รักโดย ความนับถือ บทว่า ปูเชสฺสนฺติ
ความว่า จักบูชาด้วยการบูชาด้วยปัจจัย บทว่า โสตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ ความว่า
พวกเจ้าวัชชี ไปประพฤติวันละ ๒-๓ ครั้ง สำคัญถ้อยคำของเจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า
ฟังควรเชื่อถือ บรรดาเจ้าวัชชีเหล่านั้น เจ้าวัชชีเหล่า ใดไม่ทำการสักการะเป็นต้นแก่เจ้าวัชชีผู้ใหญ่
หรือไม่ปรนนิบัติเจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่การรับโอวาทอย่างนี้
เจ้าวัชชีเหล่านั้น เป็นอันเจ้าวัชชีผู้ใหญ่เหล่านั้น ทอดทิ้งเสียแล้ว ไม่ให้โอวาท
เพลินแต่การเล่น ย่อมเสื่อมจากราชการ แต่เจ้าวัชชีเหล่าใด ย่อมปฏิบัติโดยการนั้นอยู่
เจ้าวัชชี ใหญ่ ย่อมบอกประเพณีโบราณแก่เจ้าวัชชีเหล่านั้นว่ากิจนี้ควรทำ กิจนี้ไม่ควรทำ
แม้ถึงคราวสงคราม ก็แสดงอุบายว่า ควรเข้าไปอย่างนี้ ควรออกอย่างนี้ เจ้าวัชชีเหล่านั้น
เมื่อถูกเจ้าวัชชี
ผู้ใหญ่โอวาทอยู่ ปฏิบัติตามโอวาทย่อมอาจดำรงประเพณีแห่งราชการ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
วุฑฺฒิเยว ลิจฺฉวี วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา ดังนี้
บทว่า กฺลิตฺถิโย ได้แก่หญิงแม่เรือนในสกุล บทว่า กุลกฺมาริโย ได้แก่ ธิดาทั้งหลาย ของหญิงแม่เรือนเหล่านั้น บทว่า โอกสฺส หรือบทว่า ปสยฺหํ นี้เป็นชื่อของอาการคือการข่มขืนนั่นแล บาลีว่า โอกาส ดังนี้ก็มี ในบทเหล่านั้น โอกฺกสฺส แปลว่า คือคร่ามา บทว่า ปสยฺห แปลว่า ครอบงำ คือ บังคับ ความจริง เมื่อเจ้าเหล่านั้นกระทำอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายในแว่นแคว้น ก็โกรธว่า ทั้งบุตรและพี่น้องในเรือนของพวกเรา ทั้งธิดาที่เราเช็ดน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ออกหน้าเลี้ยงให้เจริญเติบโต เจ้า วัชชีเหล่านั้น จับไปโดยพลการให้อยู่เสียในเรือนของตนอย่างนี้แล้ว พากันไปชายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง ปล้นชนบท แต่เมื่อเจ้าวัชชีไม่กระทำอย่างนั้น พวกมนุษย์ในแว่นแคว้นเป็นผู้ขวนขวายน้อย กระทำการงานของตน ย่อมทำคลัง หลวงให้เพิ่มพูน พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยอาการอย่างนี้
บทว่า วชฺชีนํ วชฺวีเจติยานิ
ความว่า สถานที่ของยักษ์อันได้นามว่า เจดีย์ อันเขาตกแต่งให้วิจิตรในแคว้นวัชชี
ของเจ้าวัชชีทั้งหลาย บทว่า อพฺภนฺตรานิ ได้แก่การตั้งภายนอกพระนคร บทว่า
ทินฺนปพฺพํ กตปุพฺพํ แปลว่า ให้ที่และ
กระทำมาแต่ ก่อน บทว่า โน ปริหาเปสฺสนฺติ ได้แก่ เจ้าวัชชีทั้งหลาย จักไม่ลดคงกระทำตามที่เป็นอยู่แล้วนั้นแล
จริงอยู่ เมื่อเจ้าวัชชีทั้งหลายลดพลีกรรมที่เป็นธรรม เทวดาทั้งหลายก็ไม่กระทำการอารักขา
ที่จัดไว้เป็นอย่างดี แม้เมื่อไม่อาจจะเกิด
สุขที่ยังไม่เกิด ย่อมทำ โรคไอ โรคศีรษะ เป็นต้น ที่เกิดแล้วให้กำเริบ เมื่อเกิดสงครามก็ไม่เป็นพรรคพวกด้วย
แต่เมื่อเจ้าวัชชี
ไม่ลดพลีกรรม เทวดาทั้งหลายก็กระทำการอารักขาจัดแจงเป็นอย่างดี แม้เมื่อจะไม่สามารถให้เกิดสุขที่ยังไม่เกิดได้
ทั้งยังพรรค
พวกคราวมีสงครามด้วยเหตุนั้น พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้
ในบทว่า ธมฺมิการกฺขาวรณคุตฺติ
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อารักขานี้แหละ ชื่อว่าป้องกัน เพราะป้องกันโดยประการที่สิ่งที่
ไม่น่าปรารถนาจะไม่มาถึง ชื่อว่าคุ้มครอง เพราะคุ้มครองโดยประการที่สิ่งน่าปรารถนาไม่เสียหาย
ในอารักขานั้นการใช้กอง
กำลังห้อมล้อมรักษาหาชื่อว่า ธรรมิการัขาสรณคุตติสำหรับบรรพชิตไม่ ส่วนการกระทำโดยประการที่คฤหัสถ์ทั้งหลาย
ไม่แผ้ว
ถางต้นไม้ในป่าใกล้วิหาร ชาวไร่ไม่ลงพืชเขตวิหาร ไม่จับปลาในสระใกล้วิหาร ชื่อว่า
ธรรมิการัขาวรณคุตติ บทว่า กินฺติ
แปลว่า เพราะเหตุไรหนอ
ในคำว่า ธมฺมิการกฺขาวรณคุตติ
นั้นมีวินิจฉัยดังนี้
เจ้าวัชชีผู้ไม่ปรารถนาการมาของพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ยังไม่มา ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ไม่มีความเลื่อมใส เมื่อ
บรรพชิต มาถึงแล้ว คนไม่กระทำการต้อนรับ ไปก็ไม่ยอมพบ ไม่ทำการปฏิสันถาร ไม่ถามปัญหา
ไม่ฟังธรรม ไม่ถวายทาน ไม่ ฟังการอนุโมทนา ไม่จัดแจงที่พักอาศัยให้ เมื่อเป็นเช่นนั้นกิติศัพท์ไม่ดีงาม
ของเจ้าวัชชีเหล่านั้น ย่อมขจรไปว่า เจ้าชื่อโน้น เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส
เมื่อบรรพชิตมาถึงแล้ว ไม่ออกไปต้อนรับ ฯลฯ ไม่จัดแจงที่พักอาศัยให้ บรรพชิตทั้งหลาย
ได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ไปทางประตูเมือง ก็ไม่เข้าเมือง เมื่อเป็นเช่นนั้นพระอรหันต์
ที่ยังไม่มาก็ไม่มา แต่ที่มาแล้ว เมื่ออยู่ไม่ผาสุก ผู้ที่ไม่รู้แล้วมาตั้งใจว่าจักอยู่จึงพากันมา
ใครเล่าจักอยู่ได้ โดยการไม่นำพาทั้งนี้ของพวกเจ้าเหล่านี้ แล้วก็พากันออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้
เมื่อพระอรหันต์ที่ยังไม่มา ก็ไม่มาที่มาแล้วก็อยู่เป็นทุกข์ประเทศนั้นชื่อว่า
ไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับบรรพชิต แต่นั้น การอารักขาของเทวดาก็ไม่มี เมื่อการอารักขาของเทวดาไม่มี
พวกอมนุษย์ย่อมได้โอกาส อมนุษย์จักหนาแน่น ย่อมทำพยาธิ
ที่ยังไม่เกิดขึ้น บุญอันเป็นวัตถุแห่งการเห็นผู้มีศีล และถามปัญหาเป็นต้นย่อมไม่มาถึง
โดยปริยายตรงกันข้าม ธรรมฝ่ายขาว (กุศล) ตามที่กล่าวแล้ว ก็จะเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น
พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในเรื่องนี้ด้วยอาการอย่างนี้
จบอรรถกถาสารันททสูตร