พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
เล่มที่ 16 ทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค ตั้งแต่หน้า 77 สิงคาลกสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
สิงคาลกสูตร
เรื่อง สิงคาลกคฤหดีบุตร - ว่าด้วยคิหิปฏิบัติ
ข้าพเจ้า
ได้สดับมาอย่างนี้ : -
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์ สมัยนั้นสิงคาลกบุตรคฤหบดีบุตรลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบิ้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองผ้า
ถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระ เนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร
ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้ง
หลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบิ้องซ้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องล่าง
ทิศเบื้องบน ครั้นทอดพระเนตรแล้ว ได้ตรัสว่า ดูก่อนบุตรคฤหบดี เธอลุกขึ้นแต่เช้า
ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า
ทิศเบื้องขวา ทิศเบิ้องซ้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ เพราะเหตุไร
สิงคาลกบุตรคฤหบดีบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บิดาของข้าพระองค์ เมื่อจะทำกาลกิริยา ได้กล่าวไว้อย่าง
นี้ว่า นี่แน่ลูก เจ้าพึงนอบนอมทิศทั้งหลาย ข้าพระองค์สักการะเคารพนับถือบูชาคำของบิดา
จึงลุกขึ้นแต่เช้าออกจากกรุงราช
คฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า
ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบิ้องหลัง
ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ในวินัยของพระอริยเจ้า
เขาไม่นอบน้อมทิศทั้ง ๖ กันอย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวินัยของพระ อริยเจ้า
ท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างไร ขอประทานโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ตามที่ใน
วินัยของพระอริยเจ้า ท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันนั้นเถิด พระเจ้าข้า
กถาว่าด้วยอบายมุข ๔
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ถ้าอย่างนั้น
ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว สิงคาลกคฤหบดีบุตรกราบทูลรับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลส ๔ ได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดย
ฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้น เป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ
๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อชนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้วทั้งโลกนี้ และโลกหน้า
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว ดูก่อนคฤหบดีบุตร กรรมกิเลสคือปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ กรรมกิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยกรณ์ภาษิต นี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาทและการคบหาภรรยาผู้อื่น เรากล่าวว่าเป็นกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลาย ไม่สรรเสริญ
อริยสาวกไม่ทำกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชนถึงฉันทาคติ ย่อมทำกรรมลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทำกรรมลามก ถึง โมหาคติ ย่อมทำกรรมลามก ถึงภยาคติ ย่อมทำกรรมลามก ดูก่อนคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวก ไม่ถึงฉันทาคติ ไม่ถึงโทสาคติ ไม่ถึงโมหาคติ ไม่ถึงภยาคติ ท่านย่อมไม่ทำกรรมอันลามก โดยฐานะ ๔ เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัส ไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของผู้นั้น ย่อมเสื่อมเหมือน ดวงจันทร์ในข้างแรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น เหมือน ดวงจันทร์ในข้างขึ้น
กถาว่าด้วยอบายมุข ๖
อริยสาวกไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลาย เป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดีบุตร การเสพน้ำเมา คือสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความประมาท เป็นทางเสื่อมแก่โภคะทั้งหลายประการ ๑ การเที่ยวไปตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้ง หลายประการ ๑ การเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นทางเสื่อมแก่โภคะทั้งหลายประการ ๑ การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแก่โภคะทั้งหลายประการ ๑ ความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแก่โภคะทั้งหลายประการ ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษการเสพน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ ความเสื่อม ทรัพย์อันผู้เสพพึงเห็นเอง ๑ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ เป็นเหตุเสียชื่อเสียง ๑ เป็นเหตุไม่รู้จักอาย ๑ เป็นเหตุทอนกำลังปํญญา ๑ ดูก่อนคฤหบดี โทษ ๖ ประการในการเสพน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๖ ประการ คือ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว ๑ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาบุตรภรรยา ๑ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๑ เป็นที่ระแวงของคนอื่น ๑ คำพูดอันไม่เป็น จริงในที่นั้นๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น ๑ ทำให้เกิดความลำบากมาก ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเที่ยวไปในตรอก ต่างๆ ในเวลากลางคืนเหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเล่นการพนัน
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑ ผู้
แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ๑ ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ๑ ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน
ซึ่งไปพูดที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑ ถูกมิตรอำมาตย์หมิ่นประมาท ๑ ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย
เพราะเห็นว่าชายนักเลงการพนันไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยา
๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการคบคนชั่วเป็นมิตร
๖ ประการ คือ นำให้เป็นนักเลงการพนัน ๑ นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้
๑ นำให้เป็นนักเลงเหล้า ๑ นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑ นำให้เป็นคนโกงซึ่งหน้า
๑ นำให้เป็นคนหัวไม้ ๑ ดูก่อน
คฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการคบคนชั่วเป็นมิตรเหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเกียจคร้าน
๖ ประการคือ มักให้อ้างว่าหนาวนักแล้วไม่ทำงาน ๑ มักให้อ้างว่าร้อนนัก
แล้วไม่ทำงาน ๑ มักให้อ้างว่าเย็นแล้ว แล้วไม่ทำงาน ๑ มักให้อ้างว่าว่ายังเช้าอยู่
แล้วไม่ทำงาน ๑ มักให้อ้างว่าหิวนักแล้วไม่ ทำงาน ๑ มักให้อ้างว่ากระหายนัก แล้วไม่ทำงาน
๑ เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศผัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่ เกิดก็ไม่เกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความเสื่อมสิ้นไป ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเกียจคร้านเหล่านี้แล
พระผู้มี พระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนกล่าวแต่ปากว่าเพื่อนๆ
ก็มี ส่วนผู้ใดเป็นสหาย เมื่อความต้องการเกิดขึ้น
แล้ว ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้
เหตุ ๖ ประการเหล่านี้คือ การนอนสาย ๑ การเสพภรรยาผู้อื่น ๑ การผูกเวร ๑ ความเป็นผู้ทำแต่สิ่ง หาประโยชน์มิได้ ๑ มิตรชั่ว ๑ ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ๑ ย่อมกำจัดบุรุษเสียประโยชน์สุขที่จะพึงได้ พึงถึง
คนมีมิตรชั่วมีมารยาทและโคจรชั่ว ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสองคือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า
เหตุ ๖ ประการ คือ การพนันและหญิง ๑ สุรา ๑ ฟ้อนขับร้อง ๑ นอนหลับในกลางวันบำเรอตนในสมัยที่ มิใช่กาล ๑ มิตรชั่ว ๑ ความตระหนี่เหนียวแน่น ๑ เหล่านี้ย่อมกำจัดบุรุษเสียประโยชน์ที่จะพึงได้ พึงถึง
ชนเหล่าใดเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพหญิงภรรยาที่รักเสมอด้วยชีวิตของผู้อื่น คบแต่คนต่ำช้า และไม่คบ หาคนที่มีความเจริญ ย่อมเสื่อมดุจดวงจันทร์ในข้างแรม ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์ หาการงานทำเลี้ยงชีวิตมิได้ เป็นคนขี้เมาปราศจากสิ่งเป็นประโยชน์ เขาจักจมสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำฉะนั้น
คนปรกตินอนหลับในกลางวัน เกลียดชังการลุกขึ้นในกลางคืน เป็นนักเลงขี้เมาเป็นนิจไม่อาจครอบครอง เรือนให้ดีได้ ประโยชน์ทั้งหลาย ย่อมล่วงเลย ชายหนุ่มที่ละทิ้งการงาน ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก ละทิ้งการงาน ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนักเวลานี้เย็นเสียแล้วดังนี้เป็นต้น ส่วนผู้ใดไม่สำคัญความหนาว ความร้อน ยิ่งไปกว่า หญ้า ทำกิจของบุรุษอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข ดังนี้
กถาว่าด้วยมิตรเทียม
ดูก่อนคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ คนปอกลอก ๑ คนดีแต่พูด ๑ คนหัวประจบ ๑ คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร
ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนปอกลอกท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ เป็นคนคิดเอาแต่ได้ ฝ่ายเดียว ๑ เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑ ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑ คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑ คฤหบดีบุตร คนปอกลอกท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรแต่เป็นคนเทียมมิตร
โดยสถาน ๔ คือ เก็บเอาของล่วงแล้ว ปราศัย ๑ อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย
๑ สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ เมื่อกิจเกิดขึ้นแล้วแสดงความขัดข้อง
( ออกปากพึ่งมิได้ ) ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูดท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร
โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ ตามใจเพื่อนให้ทำ ความชั่ว ( จะทำชั่วก็คล้อยตาม ) ๑ ตามใจเพื่อนให้ทำความดี ( จะทำดีก็คล้อยตาม ) ๑ ต่อหน้าสรรเสริญ ๑ ลับหลังนินทา ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย
ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ ชักชวน ให้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๑ ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑ ชักชวนให้ดู การมหรสพ ๑ ชักชวนให้เล่นการพนัน
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตรคนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึง
ทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยกรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บัณฑิตผู้รู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวน ในทางฉิบหาย ๑ ว่าไม่ใช่มิตรแท้ พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทาง เว้นทางที่มีภัยเฉพาะหน้า ฉะนั้น
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตร มีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี ( เป็นมิตรแท้ )
กถาว่าด้วยมิตรแท้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือรักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษา ทรัพย์สมบัติเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้น เพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า ๑ ดูก่อน คฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ บอกความลับแก่เพื่อน ๑ ปิด ความลับของเพื่อน ๑ ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑ แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ใน ความดี ๑ ให้ได้ฟังเสียงที่ยังไม่เคยฟัง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตร แท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ พึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑ ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑ ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑ สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมี ความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยกรณ์ภาษิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวก เหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตร่วมทุกข์ร่วมสุข ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ฉะนี้แล้ว พึงเข้าไปคบหาโดยเคารพเหมือนมารดากับบุตรฉะนั้น
บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ เมื่อบุคคลสะสมโภคสมบัติ อยู่เหมือนแมลง ผึ้งสร้างรัง โภคสมบัติย่อมถึงความเพิ่มพูนดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้นฉะนั้น
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้แล้ว พึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็น ๔ ส่วน เขาย่อมผูกมิตรไว้ได้ พึงใช้สอยโภคทรัพย์ด้วยส่วนหนึ่ง พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน พึงเก็บส่วนที่สี่ไว้ด้วย หมายจักมีไว้ในยามมีอันตราย ดังนี้
ถกาว่าด้วยทิศ ๖
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร ท่านพึงทราบทิศ ๖ เหล่านี้คือ พึงทราบมารดาบิดาว่า เป็น ทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบิ้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและกรรมกรเป็น ทิศเบื้องต่ำ สมณะพราหมณ์ เป็นทิศเบื้องบน
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา เป็นทิศเบื้องหน้า
อันบุตรธิดาพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ
๑ จักรับทำกิจของท่าน ๑ จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก
๑ เมื่อท่าน
ล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า
อันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วย
๕ สถาน คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ หาภรรยาที่สมควรให้
๑ มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหน้านั้น ชื่อว่า อันบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา อันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยลุกขึ้นยืนรับ ๑ ด้วยเข้าไปยืนคอย ต้อนรับ ๑ ด้วยการเชื่อฟัง ๑ ด้วยการปรนนิบัติ ๑ ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา
อันศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน
๕ คือ แนะนำดี ๑ ให้เรียนดี ๑ บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั้งหมด ๑ ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง
๑ ทำความป้องกันในทิศ ทั้งหลาย ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา
อันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน
๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องขวานั้น ชื่อว่า อันศิษย์ปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดู หมิ่น ๑ ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง
อันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕
คือ จัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาให้
๑ ขยันไม่เกียจคร้าน ในกิจการทั้งปวง ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหลังนั้นชื่อว่า อันสามีปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยการให้ปัน ๑ ด้วยการเจรจาถ้อย คำเป็นที่รัก ๑ ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑ ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย
อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน
๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑
รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมิตรมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ
๑ นับถือตลอดถึงวงศ์ตระกูลของมิตร ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน
๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน
๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้นชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกร ผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ อันนายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควร แก่กำลัง ๑ ด้วยให้อาหารและรางวัล ๑ ด้วยรักษาในคราวเจ็บป่วย ๑ ด้วยแจกของอันมีรสแปลกประหลาดให้ ๑ ด้วยปล่อยให้ ในสมัย ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ
อันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วย
สถาน ๕ คือ ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๑ เลิกงานทีหลังนาย ๑ ถือเอาแต่ของที่นายให้
๑ ทำการงานให้ดีขึ้น ๑ นำคุณของ นายไปสรรเสริญ ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ อันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องต่ำนั้น ชื่อว่า อันนายปกปิดให้เกษมสำราญ ไม่ให้มีภัยด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบนอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยกายกรรมประกอบด้วย เมตตา ๑ ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยความไม่เป็นผู้ปิดประตู ๑ ด้วยการให้ อามิสทานเนืองๆ ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน
อันกุลบุตรบำรุงแล้วด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ กุลบุตรด้วยสถาน ๖
เหล่านี้ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ อนุเคราะห์ด้วยใจงาม ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๑ ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตร ด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ ทิศเบื้องบนนั้นชื่อว่า อันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยกรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสไวยกรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรอำมาตย์เป็น ทิศเบื้องซ้าย ทาสกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน คฤหัสถ์ในตระกูล ผู้สามารถพึงนอบน้อม ทิศเหล่านี้
บัณฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นคนละเอียดและมีไหวพริบมีความประพฤติเจียมตน ไม่ดื้อกระด้าง ผู้เช่น นั้นย่อมได้ยศ คนหมั่นไม่เกียจคร้าน ย่อมไม่หวั่นไหว ในอันตรายทั้งหลาย คนมีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญา ผู้เช่นนั้น ย่อมได้ยศ คนสงเคราะห์แสวงหามิตรที่ดี รู้เท่าถ้อยคำที่เขากล่าวปราศจากตระหนี่เป็นผู้แนะ นำ ชี้แจง ตามแนะนำ ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ
การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑ ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลายในคน นั้นๆ ตามควร ๑ ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจในโลกเหล่านี้แล เป็นเหมือนเพลารถอันแล่นไปอยู่ หากธรรมเครื่อง ยึดเหนี่ยวเหล่านี้ ไม่พึงมีไซร้ มารดาบิดาไม่พึงได้ความนับถือ หรือความบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร เพราะ บัณฑิตทั้งหลายพิจารณาเห็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้โดยชอบ ฉะนั้นบัณฑิตเหล่านั้น จึงถึงความเป็นใหญ่และ เป็นผู้อันหมู่ชนสรรเสริญทั่วหน้าดังนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
สิงคาลกคฤหบดีบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีป
ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานธรรมโดยเอนกปริยาย
ฉันนั้น เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ฉะนี้แล
จบ สิงคาลกสูตร