หมายเหตุ : การทำสังฆทาน
คือการทำทานที่ไม่เจาะจงพระ ไม่เลือกพระ คือมุ่งตรงต่อสงฆ์หรือหมู่แห่งสงฆ์
และมีความเคารพยำเกรงในสงฆ์ แม้แต่ว่าจะทำทานให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลก็สามารถทำสังฆทานได้
เพราะไม่ได้เจาะจงภิกษุผู้ทุศีลผู้นั้น แต่เป็นการทำทานที่มุ่งตรงต่อหมู่แห่งสงฆ์
ภิกษุผู้ทุศีลนั้นเป็นเพียงเหมือนตัวแทนหมู่แห่งสงฆ์เท่านั้น
สงฆ์หรือหมู่แห่งสงฆ์ในที่นี้คือ บุรุษ ๔ คู่ ๘ บุคคล คือ
๑. โสดาปัตติมัคคบุคคล
๒. โสดาปัตติผลบุคคล
๓. สกทาคามิมัคคบุคคล
๔. สกทาคามิผลบุคคล
๕. อนาคามิมัคคบุคคล
๖. อนาคามิผลบุคคล
๗. อรหัตมัคคบุคคล
๘. อรหัตผลบุคคล
ซึ่งจะไม่จำเป็นต้องทำเป็นถังๆ ทำทานด้วยข้าวทัพพีเดียวหรือน้ำแก้วเดียว
ถ้าไม่เลือกไม่เจาะจงพระจะเป็นว่าพระองค์ไหน ไม่ว่าจะเป็นพระเถระ หรือพระหนุ่ม
หรือสามเณร จะมีศีลหรือทุศีล ก็ไม่สนใจ ใครก็ได้ ทำทั้งนั้น ทำด้วยจิตเจตนาทำทานให้แก่สงฆ์หรือหมู่แห่งสงฆ์
และมีความเคารพยำเกรงในสงฆ์ ก็จะเป็นสังฆทาน การทำสังฆทานนั้นทำกับพระหรือสามเณรกี่รูปก็ได้
รูปเดียวหรือหลายรูป ก็ทำสังฆทานได้ทั้งนั้น
ส่วนการทำปาฏิปุคคลิกทาน คือการทำทานที่เจาะจงบุคคล
เจาะจงผู้รับทาน
ทักขิณาวิภังคสูตร
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์
ในสักกชนบท สมัยนั้นแล พระนางมหาปชาปดีโคตมีทรงถือผ้าคู่หนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ
แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้วยด้าย
ทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่ของหม่อมฉันเถิด
เมื่อพระนางกราบทูลแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนโคตมี
พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์ แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้าย ทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความ อนุเคราะห์ โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่นี้ของหม่อมฉันเถิด
แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๓ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะพระนาง แม้ในครั้งที่
๒ แม้ในครั้งที่ ๓ ดังนี้ว่า ดูก่อนโคตมี พระนางถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอันพระนางได้บูชา
ทั้งอาตมภาพและสงฆ์
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดรับผ้าทั้งคู่ ของพระนางปชาบดีโคตมีเถิด
พระนางมหาปชาบดีโคตมี มีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาผู้ทรงบำรุงเลี้ยง ประทานพระขีรรสแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อพระชนนีสวรรคตแล้ว ได้โปรดให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มเต้าพระถัน แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมีอุปการะมากแก่พระมหาปชาบดีโคตมี
พระนางอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงถึง พระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงงดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากฐานะที่เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
เพราะดิ่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธะ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมายได้ ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงเป็นผู้หมดความ สงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมีพระ อุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระผู้มีพระภาค : ถูกแล้วๆ อานนท์ จริงอยู่ บุคคลอาศัยบุคคลใดเแล้วเป็นผู้ถึงพระพุทธะ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสมีจิกรรมด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
บุคคลใดอาศัยบุคคลใดแล้ว งดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท
จากฐานะที่เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เพราะดิ่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยได้ เราไม่กล่าวการ
ที่บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสมีจิกรรมด้วยเพิ่มให้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร บุคคลใดอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธะ
พระธรรม พระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมายได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสมีจิกรรมด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
บุคคลใดอาศัยบุคคลใดแล้ว เป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ
ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้ เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนด้วยดี เพียงกราบไหว้
ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสมีจิกรรมด้วยเพิ่มให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาเป็นปาฏิปุคลิกมี ๑๔ อย่าง คือ ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี้เป็นทักษิณา-
ปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑ ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๒ ให้ทานในสาวกของตถาคต
ผู้เป็น พระอรหันต์ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๓ ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณา-
ปาฏิปุคคลิกประการที่ ๔ ให้ทานแก่พระอนาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๕ ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำ
อนาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๖ ให้ทานแก่พระสกทาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๗ ให้ทานในผู้ที่ปฏิบัติ เพื่อทำสกาทาคมิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๘ ให้ทานในพระโสดาบัน นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๙ ให้ทานในผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑0 ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจาก ความกำหนัดในกาม
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๑ ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑๒ ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๓ ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๔
ดูก่อนอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจาก ความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจะนับไม่ได้
จะประมาณไม่ได้ จะป่วยการไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตมิผลให้แจ้ง
ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในปัจเจกสัมพุทธะ และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี
๗ อย่าง คือ ให้ทานในนสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เป็น
ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๑ ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๒ ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณา
ที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๓ ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๔ เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัด ภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๕ เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๖ เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๗
ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาล
จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลาย
จักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูก่อนอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่า
มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักษิณาทานที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ
เลย
ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณานี้มี ๔ อย่าง ๔ อย่าง เป็นไฉน
ดูก่อนอานนท์ ทักษิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่าย ทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก บางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก บางอย่างฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ก็ไม่บริสุทธิ์
บางอย่างบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกอย่างไร
ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกมีศีล มี ธรรมงาม ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี้แล
ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายกอย่างไร
ดูก่อนอานนท์ในข้อนี้ ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์อย่างไร
ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
อย่างนี้แลทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์
ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก
และฝ่ายปฏิคาหกอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ในข้อนี้ ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล
มีธรรมงาม อย่างนี้แล ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก
ดูก่อนอานนท์ นี้แล ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้วได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ต่อไปว่า
(๑) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรมมีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนทุศีล ทักษิณาของผู้นั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
(๒) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใสไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนมีศีล ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
(๓) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใสไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนทุศีล เราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผลไพบูลย์
(๔) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรมมีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าวทานผู้นั้นแลว่า มีผลไพบูลย์
(๕) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ ทานของท่านผู้นั้นแล เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย
จบ ทักขิณาวิภังคสูตร
อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร
ทักขิณาวิภังคสูตร
มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับอย่างนี้ : -
ในทักขิณาวิภังคสูตรนั้น บทว่า มหาปชาบดี โคตมี ได้แก่ พระโคตรว่า
โคตมี ก็ในวันขนานพระนาม พราหมณ์ทั้งหลาย ได้รับสักการะแล้ว เห็นพระลักษณสมบัติของพระนางแล้ว
ได้พยากรณ์ว่า ถ้าพระนางนี้จักได้พระธิดา พระธิดาจักเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ
ถ้าจักได้พระโอรส พระโอรสจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระปชาของพระนาง จักเป็นผู้ยิ่งใหญ่
โดยประการแม้ทั้งสองนั้นเทียว ดังนี้ พระญาติทั้งหลายจึงขนานพระนามของพระนางว่า
ปชาบดี ด้วย
ประการฉะนี้ แต่ในสูตรนี้
ท่านรวมเอาพระโคตรด้วย จึงกล่าวว่า มหาปชาบดีโคตมี บทว่า นวํ ได้แก่
ใหม่ บทว่า สามํ วายิตํ คือทรงทอเองด้วยพระหัตถ์ ก็ในวันนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี
อันหมู่พระพี่เลี้ยงนางนม แวดล้อมแล้ว เสด็จมา
สู่โรงงานทอผ้าของศิลปินทั้งหลาย ทรงจับปลายกระสวย ได้ทรงทำอาการแห่งการทอผ้า คำนั้น
ท่านกล่าวหมายถึงการทอ
ผ้านั้น ถามว่า พระนางโคตมีทรงเกิดพระทัย เพื่อถวายผ้าคู่หนึ่ง แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ในกาลไหน ตอบว่า ในกาลที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว เสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์ โดยการเสด็จครั้งแรก
จริงอย่างนั้น พระเจ้าสุทโธทน-
มหาราชทรงพาพระศาสดาซึ่งเสด็จบิณฑบาต ให้เสด็จมายังพระราชนิเวศน์ของพระองค์ ครั้งนั้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงเห็นพระรูปโสภาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทรงดำริว่า พระอัตตภาพของบุตรเรางดงามหนอ
ดังนี้ ลำดับนั้น พระนางก็เกิดโสมนัสเป็นกำลัง แต่นั้น ทรงพระดำริว่าเมื่อบุตรของเราอยู่ในท่ามกลางวัง
ตลอด ๒๙ ปี วัตถุที่เราให้แล้วโดยที่สุด แม้สักว่าผลกล้วยนั้นเทียว ไม่มีเลย แม้บัดนี้เราจัก
ถวายผ้าจีวรแก่บุตรนั้น ทรงยังพระหฤทัยให้เกิดขึ้นว่า ก็ในกรุงราชคฤห์
นี้มีผ้าราคาแพงมาก ผ้าเหล่านั้นย่อมไม่ยังให้เราดีใจ ผ้าที่เราทำเองนั้นแล ย่อมยังเราให้ดีใจได้
เราจำจะต้องทำผ้าเองถวาย ดังนี้
ครั้งนั้น พระนางทรงนำฝ้ายมาจากตลาด ทรงขยำทรงยีด้วยพระหัตถ์ กรอด้ายอย่างละเอียด
ทรงให้สร้างโรงงาน
ทอผ้าในภายในพระราชวังนั้นเทียว ทรงให้เรียกช่างศิลป์ทั้งหลาย พระราชทานเครื่องบริโภค
ขาทนียะและโภชนียะ
ของพระองค์นั้นแลให้แก่ช่างศิลป์ทั้งหลายแล้วทรงให้ทอผ้า ก็พระนางอันคณะพระพี่เลี้ยงนางนม
แวดล้อมแล้ว เสด็จไปจับ
ปลายกระสวย ตามสมควรแก่การเวลา ในกาลที่ผ้านั้นทอเสร็จแล้ว ทรงทำการสักการะใหญ่
แก่ช่างศิลป์ทั้งหลายแล้ว ทรงใส่ผ้า
คู่หนึ่งในหีบ อันมีกลิ่นหอม ทรงให้ถือผ้าทูลแด่พระราชาว่า หม่อมฉันจักถือผ้าจีวรไปถวายแก่บุตรเรา
พระราชาตรัสสั่งให้
เตรียมทางเสด็จ ราชบริวารทั้งหลายปัดกวาดถนน ตั้งหม้อน้ำเต็มยกธงผ้าทั้งหลาย ทำทางให้เกลื่อนกล่นด้วยดอกไม้
ฝ่ายพระนางมหาปชาบดีทรงประดับเครื่องอลังการทุกอย่าง ผู้อันคณะพระพี่เลี้ยงนางนมแวดล้อมแล้ว
ทรงทูลหีบผ้า เสด็จไป
ยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้เป็นของหม่อมฉัน
ดังนี้เป็นต้น บทว่า ทุติยมฺปิ โข ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ได้กราบทูลอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันอาจเพื่อถวายผ้าจีวรทั้งหลายจากคลังผ้าแก่ภิกษุ
ร้อยรูปบ้าง
พันรูปบ้างก็ผ้าใหม่คู่นี้หม่อมฉันกรอด้ายเอง ทอเอง ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
เจ้าโปรดรับผ้าใหม่คู่นั้นของหม่อมฉันเถิด พระนางกราบทูล อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสห้ามอย่างนั้นเทียว
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงให้ถวาย ผ้าคู่ใหม่คู่ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์
แก่พระภิกษุสงฆ์เล่า ตอบว่า เพราะเพื่อทรงอนุเคราะห์พระมารดา ก็ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีดำริว่า เจตนา ๓ อย่างคือ บุพเจตนา มุญจนเจตนา อปราปรเจตนา ของพระนาง มหาปชาบดีนี้
เกิดขึ้นปรารภเราแล้ว จงเกิดขึ้นปรารภพระภิกษุบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจตนาทั้ง
๖ อย่าง ก็จะรวมเป็นอันเดียวกัน จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลแก่พระนางมหาปชาบดี
โคตมีนั้น ดังนี้ ฝ่ายวิตัณฑวาที ( ผู้พูดให้หลงเชื่อ ) กล่าวว่า ทานที่ถวายสงฆ์มีผลมาก
พึงท้วงติงวิตัณฑวาทีนั้นว่า เพราะเหตุไรจึงกล่าวอย่างนั้น ท่านย่อมกล่าวถึงทาน
ที่ถวายสงฆ์ มีผลมากกว่าทานที่ถวายพระศาสดาหรือ เออขอรับเรากล่าว
ท่านจงอ้างพระสูตรมา ท่านวิตัณฑวาทีอ้าง พระสูตรว่า ดูก่อนโคตมี พระนางถวายสงฆ์เถิด
เมื่อถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอัน
พระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ ก็พระสูตร นี้มีเนื้อความเพียงเท่านี้หรือ เออ
เพียงเท่านี้ ผิว่าเช่นนั้น ทานที่ให้แก่คน
กินเดนทั้งหลายก็พึงมีผลมาก ตามพระดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นเธอจงให้ขนมแก่คนกินเดนทั้งหลาย
และว่า ดูก่อนกัจจานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้งบน้ำอ้อยแก่คนกินเดนทั้งหลาย ดังนี้
ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น พระศาสดาจึงทรงยังผ้าที่จะ
ถวายพระองค์ให้ถึงสงฆ์แล้ว ดังนี้ ก็ชนทั้งหลายแม้มี พระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น
ย่อมสั่งบรรณาการที่นำ
มาเพื่อตนให้แก่ชนทั้งหลายมีคนเลี้ยงช้างเป็นต้น ชนเหล่านั้นก็พึงใหญ่กว่าพระราชาเป็นต้น
จริงอยู่ ทักขิไณยบุคคลที่ยอด-
เยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มี ตามพระบาลีว่า เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถืออย่างนั้น ทักขิไณยบุคคลที่ถึงความเป็นผู้เลิศแห่งอาหุไนย
บุคคลทั้งหลาย ผู้ต้องการบุญ แสวงผลไพบูลย์ที่ประเสริฐที่สุด เช่นกับพระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้
หรือในโลกอื่น พระเจตนา ๖ ประการของพระนางมหาปชาบดี โคตมี นั้นรวมเข้ากันแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุข
ตลอดกาลอย่างนี้
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร
ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลัง และเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย นัยว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนา ของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์
ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว
ทรงให้ถวาย สงฆ์ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าคู่ใหม่คู่หนึ่ง
แม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่
เป็นสิ่งพึงถวายสงฆ์ เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวัจนะทำสมณธรรม
เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่
ถึง ๕,000 ปี ดังนี้ ก็คำว่า ธรรมดา ทักขิไณยบุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มีนั้น
ควรกล่าวแม้โดยคำว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับเถิดดังนี้
ก็พระอานนท์เถระไม่มีความอาฆาต หรือเวรในพระมหาปชาบดี ทั้งพระเถระ ไม่ต้องการว่า
ทักขิณาของพระนางอย่าได้มีผลมาก จริงอยู่ พระเถระเป็นบัณฑิต พหูสูต บรรลุเสกขปฏิปทา
พระเถระนั้นเมื่อ เห็นความที่ผ้าใหม่คู่หนึ่งที่พระนางถวายพระศาสดานั้นมีผลมาก
จึงกราบทูลขอเพื่อทรงรับว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับเถิด
ดังนี้ วิตัณฑวาทีกล่าวอีกว่า พระศาสดาทรงนับเนื่องกับสงฆ์ เพราะพระดำรัสว่า เมื่อถวายสงฆ์แล้ว
จะเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและพระสงฆ์ ดังนี้ วิตัณฑวาทีนั้น ควรถูกท้วงติงว่า
ก็ท่านรู้หรือว่า สรณะมีเท่าไร ความเลื่อมใสแน่นแฟ้นมีเท่าไร วิตัณฑวาทีเมื่อรู้
ก็จะกล่าวว่า สรณะมี ๓ ความเลื่อมใสแน่นแฟ้นมี ๓ แต่นั้นก็ควรถูกกล่าวว่า ตามลัทธิของท่านสรณะก็คงมี
๒ อย่างเท่านั้น เพราะความที่ พระศาสดานับเนื่องกับสงฆ์ เมื่อเป็น
อย่างนั้น บรรพชาที่ทรงอนุญาตอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบรรพชา
อปุสมบท ด้วยไตรสรณคมน์ ดังนี้แม้
อุปสมบทก็ไม่เจริญขึ้น แต่นั้น ท่านก็จะไม่เป็นบรรพชิต คงเป็นคฤหัสถ์ ครั้นแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งณ
พระคันธกุฎี
ภิกษุทั้งหลายกระทำ อุโบสถบ้าง ปวารณาบ้าง สังฆกรรมทั้งหลายบ้าง กรรม เหล่านั้นก็พึงกำเริบ
เพราะความที่พระศาสดา
ทรงนับเนื่องกับสงฆ์ และจะไม่มี เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรกล่าวคำนี้ว่า พระศาสดา ทรงนับเนื่องกับสงฆ์ บทว่า
อาปาทิตา ได้แก่ ทรงให้เจริญพร้อมแล้ว อธิบายว่า ครั้นพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ไม่ยังกิจ
ด้วยพระหัตถ์และพระบาทให้สำเร็จ พระนางก็ทรงให้พระหัตถ์และพระบาทให้เจริญปรนนิบัติ
บทว่า โปสิกา ความว่า พระนาง ทรงเลี้ยงพระองค์ โดยให้อาบน้ำ ทรงให้เสวย
ทรงให้ดื่ม วันละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง บทว่า ถญฺญํ ปาเยสิ ความว่า ได้ยินว่า
นันทกุมารโพธิสัตว์ ทรงเป็นหนุ่ม
เพียงสอง - สามวันเท่านั้น ครั้นเมื่อนันทกุมารประสูติแล้ว พระนางมหาปชาบดีทรงให้
พระโอรสทั้งสองของพระองค์ ให้แก่
พระพี่เลี้ยงนางนม พระองค์เองให้หน้าที่นางนมให้สำเร็จประทานพระขีรรสแด่พระโพธิสัตว์
พระเถระหมายถึงการประทาน
พระขีรรสนั้น จึงกราบทูลอย่างนี้
พระเถระครั้นแสดงความที่พระมหาปชาบดีทรงมีพระอุปการะมากด้วยประการฉะนี้แล้ว
บัดนี้ เมื่อจะแสดงความที่พระ ตถาคตทรงมีพระอุปการะมาก จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้เป็นต้น บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า ภควนฺตํ อาคมฺม
คือ ทรงอาศัย คือ ทรงพึ่งพา ทรงมุ่งหมายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงอนุโมทนาถึงพระ อุปการะยิ่งๆ ขึ้นไป ในพระอุปการะทั้งสอง จึงตรัสว่า
ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นต้น บรรดาบท
เหล่านี้ บทว่า ยํ หานนฺท ปุคฺคโล ปุคฺคลํ อาคมฺม ความว่า บุคคลผู้อันเตวาสิก
( ศิษย์ ) อาศัยบุคคลผู้อาจารย์ใด บทว่า อิมสฺสานนฺท ปุคฺคลสฺส อิมินา ปุคฺคเลน
ความว่า บุคคลผู้อันเตวาสิกนี้ตอบแทนต่อบุคคลผู้อาจารย์นี้ บทว่า น สุปฏิการํ
วทามิ ความว่า เราไม่กล่าวตอบแทนอุปการะเป็น การทำด้วยดี ในกรรมทั้งหลายมีการอภิวาทนะเป็นต้น
การเห็นอาจารย์แล้ว
ทำการกราบไหว้ ชื่อว่า อภิวาทนะ ได้แก่ เมื่อจะสำเร็จอิริยาบททั้งหลาย ผินหน้าไปทางทิศาภาคที่อาจารย์อยู่
ไหว้แล้วเดิน ไหว้แล้วยืน ไหว้แล้วนั่ง ไหว้แล้วนอน ส่วนการเห็น อาจารย์แต่ที่ไกลแล้ว
ลุกขึ้นทำการต้อนรับ ชื่อว่า ปัจจุฏฐานะ ก็กรรมนี้คือ เห็นอาจารย์แล้ว ประคองอัญชลีไว้เหนือศรีษะ
นมัสการอาจารย์ หรือแม้ผินหน้าไปทางทิสาภาคที่อาจารย์นั้นอยู่ นมัสการอย่าง
นี้แล เดินไปก็ดี ยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ประคองอัญชลีแล้วนมัสการนั้นเทียว ชื่อว่า
อัญชลีกรรม การทำกรรมอันสมควร ชื่อว่า สามีจิกรรม ในวัตถุทั้งหลาย มีจีวร เป็นต้น
เมื่อจะถวายจีวร ไม่ถวายตามมีตามเกิด ถวายจีวรอันมีค่ามาก มีมูลค่า ๑00 บ้าง ๕00
บ้าง ๑,000 บ้าง ในวัตถุทั้งหลาย แม้มีบิณฑบาตเป็นต้น มีนัยนี้เหมือนกัน ด้วยปัจจัยมากอย่างไร
แม้เมื่อยังระหว่าง
จักรวาลให้เต็มด้วยปัจจัยอันประณีต ๔ ถือเอายอดเท่าสิเนรุบรรพตถวาย ย่อมไม่อาจเพื่อทำกิริยาที่สมควรแก่อาจารย์เลย
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า
ก็ทักขิณา ๑๔ นี้แล สูตรนี้เกิดขึ้นปรารภทักขิณาเป็นปาฏิบุคคลิก
ฝ่ายพระอานนท์ ถือทักขิณาเป็นปาฏิบุคคลิกอย่างเดียวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับ
ดังนี้ แต่พระผู้มีพระพระภาคเจ้าทรงปรารภเทศนานี้ เพื่อทรงแสดงว่า ทานที่ให้บุคคลแล้ว
ในฐานะสิบสี่ ชื่อว่า ปาฏิบุคคลิก
บทว่า อยํ ปฐมา ความว่า ทักขิณานี้ประการที่ ๑ ด้วยอำนาจคุณบ้าง ด้วยอำนาจเป็นทักขิณาเจริญที่สุดบ้าง
จริงอยู่ ทักขิณานี้ ที่หนึ่ง คือ ประเสริฐ ได้แก่ เจริญที่สุด ชื่อว่า ประมาณแห่งทักขิณานี้ไม่มี
ทักขิณาแม้ประการที่ ๒ - ๓ เป็นทักขิณาอย่างยิ่ง
เหมือนกัน ทักขิณาทั้งหลายที่เหลือ ย่อมไม่ถึงความเป็นทักขิณาอย่างยิ่งได้ บทว่า
พาหิรเก กามสุ วีตราเค ได้แก่ ผู้กัมมวาที ผู้กิริยาวาที ผู้มีอภิญญา ๕
อันเป็นโลกิยะ บทว่า ปุถุชฺชนสีลวา ความว่า ปุถุชนผู้มีศีล โดยชื่อ เป็นผู้มีศีลเป็นพื้น
ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เบียดเบียนคนอื่น สำเร็จชีวิตด้วยกสิกรรมหรือพาณิชกรรม
โดยธรรม โดยชอบ บทว่า ปุถุชฺชนทุสฺสีเล ความว่า บุคคลทั้งหลายมีนายเกวัฏฏะ
และผู้จับปลาเป็นต้น ชื่อว่า ปุถุชนผู้ทุศีล เลี้ยงชีวิต ด้วยการเบียดเบียนสัตว์อื่น
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงจะกำหนดวิบากของทักขิณา เป็นปาฏิบุคคลิก
จึงตรัสว่า ตตฺรานนฺท เป็นต้น ในบทเหล่านั้น บทว่า ติรจฺฉานคเต ความว่า
ทานใดที่บุคคลให้แล้ว เพื่อเลี้ยงด้วยอำนาจแห่งคุณ ด้วยอำนาจแห่งอุปการะ ทานนี้ไม่ถือเอา
ส่วนทานใดอันบุคคลหวังผลแล้วให้ตามความต้องการแก่สัตว์ทั้งหลายมีสุนัข สุกร ไก่
และกาเป็นต้น ตัวหนึ่ง ตัวใดที่มาถึง ทรงหมายถึงทานนี้ จึงตรัสว่า ให้ทานในสัตว์ดิรัจฉาน
ดังนี้ บทว่า สตคุณา ได้แก่มีอานิสงส์ร้อยเท่า บทว่า ปาฏิกงฺขิตพฺพา
คือ พึงปรารถนา มีอธิบายว่า ทักขิณานี้ย่อมให้อานิสงส์ ห้าร้อยเท่า คือ
อายุร้อยเท่า วรรณะร้อยเท่า สุขร้อยเท่า พละร้อยเท่า ปฏิภาณร้อยเท่า ทักขิณาให้อายุในร้อยอัตตภาพ
ชื่อว่า อายุร้อยเท่า ให้วรรณะร้อยอัตภาพ ชื่อ
ว่า วรรณะร้อยเท่า ให้สุขร้อยอัตภาพ ชื่อว่าสุขร้อยเท่า ให้พละร้อยอัตภาพ ชื่อว่า
พละร้อยเท่า ให้ปฏิภาณ ทำความไม่สะดุ้งใน
ร้อยอัตภาพ ชื่อว่า ปฏิภาณร้อยเท่า แม้ในภพร้อยเท่าที่กล่าวแล้ว ก็มีเนื้อความ
อย่างนี้แล พึงทราบนัยทุกบท ด้วยทำนองนี้ ในบทนี้ว่า ผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
แม้อุบาสกผู้ถึงไตรสรณะโดยที่สุดเบื้องต่ำ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล แม้ทานที่ให้ในอุบาสก ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั้น
นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ส่วนทานที่ให้แก่บุคคล
ผู้ตั้งอยู่ในศีลห้า มีผลมากกว่านั้น ทานที่ให้แก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีลสิบ มีผลมากกว่านั้นอีก
ทานที่ถวายแก่สามเณรที่บวชในวัน
นั้น มีผลมากกว่านั้น ทานที่ถวายแก่ภิกษุผู้อุปสมบท มีผลมากกว่านั้น ทายที่ถวายแก่ภิกษุ
ผู้อุปสมบทนั้นแล ผู้ถึงพร้อมด้วย
วัตรมีผลมากกว่านั้น ทานผู้ให้ปรารภวิปัสสนา มีผลมากว่านั้น ก็สำหรับผู้มรรคสมังคีโดยที่สุด
ชั้นสูง ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล ชื่อว่า ปฏิบัติแล้ว ทานที่ให้แก่บุคคลนั้น มีผลมากว่านั้นอีก ถามว่า
ก็อาจเพื่อให้ทานแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี หรือ ตอบว่า เอออาจเพื่อให้ ก็ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนา
ถือบาตรและจีวร เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อภิษุผู้มรรคสมังคีนั้น ยืนที่ประตู
บ้าน ชนทั้งหลายรับบาตรจากมือก็ใส่ขาทนียะและโภชนียะ การออกจากมรรคของภิกษุย่อมมีในขณะนั้นทานนี้ชื่อว่าเป็นอันให้
แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุนั้นนั่ง ณ โรงฉัน มนุษย์ทั้งหลายไปวาง
ขาทนียะ โภชนียะในบาตรการออก
จากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนั่ง ณ วิหาร หรือ โรงฉัน อุบาสกทั้งหลายถือบาตรไปสู่เรือนของตนแล้ว
ใส่ขาทนียะและโภชนียะ การออกจากมรรคของภิกษุนั้นย่อม มีในขณะนั้น ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี
พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผลนั้น
เหมือนน้ำในลำรางไม่อาจนับได้ฉะนั้น พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วในบุคคลทั้งหลาย
มีพระโสดาบัน เป็นต้น ดุจน้ำในมหาสมุทรแล ในบรรดามหานทีนั้นๆ เป็นอันนับไม่ได้
พึงแสดงเนื้อความนี้ แม้โดยความที่ทำฝุ่นในสถานสักว่า ลานข้าวแห่งแผ่นดินเป็นต้น
จนถึงฝุ่นทั้งแผ่นดิน อันประมาณไม่ได้
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า ก็ทักขิณา ๗ อย่างนี้ ทรงปรารภเทศนานี้
ที่ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมาภาพและสงฆ์ เพื่อทรงแสดงว่า
ทานที่ให้ใน ฐานะ ๗ นั้น เป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์แล้ว บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธปฺปมุเข
อุภโตสงฺเฆ ความว่า สงฆ์นี้คือ ภิกษุสงฆ์ ฝ่ายหนึ่ง ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง พระศาสดานั่งประทับ
ณ ท่ามกลาง ชื่อว่า สงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บทว่า อยํ ปฐฺมา
ความว่า ชื่อว่า ทักขิณา มีประมาณเสมอด้วยทักขิณานี้ไม่มี ก็ทักขิณาทั้งหลายมีทักขิณาที่สองเป็นต้น
ย่อมไม่ถึง
ทักขิณา แม้นั้น ถามว่า ก็เมื่อพระตถคตปรินิพพานแล้ว อาจเพื่อถวายทานแด่พระสงฆ์
๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
หรือ ตอบว่า อาจ อย่างไร ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ในอาสนะ วางตั่ง ถวายวัตถุทั้ง
หมดมีทักขิโณทก เป็นต้นแด่พระศาสดาก่อนแล้ว ถวายแด่สงฆ์ ๒ ฝ่าย ทานเป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์
๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ด้วยประการฉะนี้ ถามว่า ในพระสงฆ์ ๒ ฝ่ายนั้น ทานใดถวายพระศาสดา ทานนั้นพึงทำอย่างไร
ตอบว่า พึงถวาย ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร ผู้ปฏิบัติพระศาสดา ด้วยว่า ทรัพย์อันเป็นของบิดาย่อมถึงแก่บุตร
แม้การถวายทานแก่สงฆ์ ก็ควร ก็ถือเนยใสและน้ำมันพึงตามประทีป ถือผ้าสาฎกพึงยกธงปฏาก
บทว่า ภิกฺขุสงฺเฆ ได้แก่ ภิกษุสงฆ์ส่วนมากยังไม่ขาดสาย แม้ในภิกษุณีสงฆ์ก็นัยนี้เหมือนกัน
บทว่า โคตฺรภุโน ได้แก่ เสวยสักว่า โคตรเท่านั้น อธิบายว่า เป็นสมณะแต่ชื่อ
บทว่า กาสาวกณฺฐา คือผู้มีชื่อว่ามีผ้ากาสวะพันคอ ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นพันผ้ากาสาวะผืนหนึ่งที่มือ
หรือที่คอเที่ยวไป ก็ประตู
บ้าน แม้กรรมมีบุตรภริยากสิกรรมและวณิชกรรม เป็นต้นทั้งหลาย ของภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น
ก็จักเป็นปกติเทียว ไม่ได้ตรัสว่า
สงฆ์ทุศีล ในบทนี้ว่า คนทั้งหลายจะถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น จริงอยู่
สงฆ์ชื่อว่าทุศีลไม่มี แต่อุบาสก
ทั้งหลายชื่อว่า ทุศีล จักถวายทานด้วยคิดว่า เราจักถวายเฉพาะสงฆ์ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
แม้ทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้ แม้ทักขิณาที่ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสวะพันคอ
ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณเหมือนกัน ก็ทักขิณา ที่ถึงสงฆ์ย่อมมีแก่บุคคลผู้อาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ แต่ความยำเกรงในสงฆ์ทำได้ยาก
ก็บุคคลใดเตรียมไทยธรรมด้วยคิด ว่าเราจักให้ทักขิณาถึงสงฆ์ ไปวิหารแล้วเรียนว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้พระเถระรูปหนึ่งเจาะจงสงฆ์เถิด ลำดับนั้น ได้สามเณรจากสงฆ์ย่อมถึงความประการอื่นว่า
เราได้สามเณรแล้ว ดังนี้ ทักขิณาของบุคคลนั้นย่อมไม่ถึงสงฆ์ เมื่อได้พระมหา
เถระแม้เกิดความโสมนัสว่า เราได้พระมหาเถระแล้ว ดังนี้ ทักขิณาก็ไม่ถึงสงฆ์เหมือนกัน
ส่วนบุคคลใดได้สามเณร
ผู้อุปสมบทแล้ว ภิกษุหนุ่ม หรือเถระ ผู้พาลหรือ บัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์แล้ว
ไม่สงสัย ย่อมอาจเพื่อความยำเกรงใน
สงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์ ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอันชื่อว่าถึงสงฆ์แล้ว ได้ยินว่า
พวกอุบาสกชาวสมุทรฝั่งโน้นกระทำอย่างนี้ ก็ในอุบาสกเหล่านั้น คนหนึ่งเป็นเจ้าของวัด
เป็นกุฎุมพี เจาะจงจากสงฆ์ว่า เราจักถวายทักขิณาที่ถึงสงฆ์ จึงเรียนว่า ขอท่าน
จงให้ภิกษุรูปหนึ่ง อุบาสกนั้นได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง พาไปสู่สถานที่นั่งปูอาสนะผูกเพดานเบื้องบน
บูชาด้วยของหอม ธูป และ
ดอกไม้ ล้างเท้าทาด้วยน้ำมัน ได้ถวายไทยธรรมด้วยความยำเกรงในสงฆ์ ดุจทำความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า
ภิกษุรูปนั้น
มาสู่ประตูเรือนว่า ท่านจงให้จอบ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติวัดภายหลังภัต อุบาสกนั่งเขี่ยจอบด้วยเท้าแล้วให้ว่า
จงรับไป
มนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวกะเขานั้นว่า ท่านได้ทำสักการะแก่ภิกษุนี้แต่เช้าตรู่เทียว
ไม่อาจเพื่อจะกล่าว บัดนี้ แม้สักว่า อุปจาระ
(มรรยาท) ก็ไม่มีนี้ชื่อว่าอะไร ดังนี้ อุบาสก กล่าวว่า แนะนาย ความยำเกรงนั้นมีต่อสงฆ์
ไม่มีแก่ภิกษุนั้น ถามว่า ก็ใครย่อมยังทักขิณาที่ถวายสงฆ์ ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสวะพันคอให้หมดจด
ตอบว่า พระมหาเถระ ๘0 รูปมีพระสารีบุตรและ
พระโมคคัลลานะเป็นต้น ย่อมให้หมดจดได้ อนึ่ง พระเถระทั้งหลายปรินิพพานนานแล้ว พระขีณาสพทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้ง
แต่พระเถระเป็นต้น จนถึงทุกวันนี้ ย่อมให้หมดจดเหมือนกัน
ในบทนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ แต่ว่า เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
โดยปริยายไรๆเลย สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีอยู่ สงฆ์ปัจจุบันนี้มีอยู่
สงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคตมีอยู่ สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ในปัจจุบันนี้
สงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้า
กาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไปเฉพาะจากสงฆ์
เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อ บุคลลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน
มีผลมากกว่า ในคำแม้มีอาทิว่า โสดาบันอันทายกเจาะจง เป็นปาฏิบุคคลิกสกทาคามี ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
จริงอยู่ เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ให้ทานแม้ภิกษุทุศีล ซึ่งเจาะจง
ถือเอา มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้นแล ก็คำใดที่กล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร
ทานที่ให้
แก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก ทานที่ให้ในผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่ คำนั้นพึงละนัยนี้แล้ว
พึงเห็นในจตุกะนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ก็
ความบริสุทธิ์แห่ง ทักขิณานี้มี ๔ อย่าง บทว่า ทายกโต วิสุชฺฌติ ความว่า
ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ โดยความมีผลมาก อธิบายว่า เป็นทาน มีผลมาก บทว่า กลฺยาณธมฺโม
ได้แก่ มีสุจิธรรม บทว่า ปาปธมฺโม คือมีธรรมอันชั่วก็พึงแสดง
พระเวสสันดรมหาราชในบทนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ก็พระเวสสันดรมหาราชนั้น
ทรงให้พระโอรสพระธิดา
แก่พราหมณ์ชูชกแล้ว ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว พึงแสดงนายเกวัฏฏะ ผู้อาศัยอยู่ที่ประตูปากน้ำกัลยณนทีในคำนี้ว่าทักขิณาบาง
อย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ได้ยินว่า เกวัฏฏะนั้น ได้ถวายบิณฑบาตแก่พระทีฆโสมเถระถึง
๓ ครั้ง นอนบนเตียงเป็นที่ตายได้
กล่าวว่า บิณฑบาตที่ถวายแก่พระผู้เป็น เจ้าทีฆโสมเถระ ย่อมยกข้าพเจ้าขึ้น พึงแสดงถึงพรานผู้อยู่ในวัฑฒมานะในบทว่า
เนว ทายกโต นี้ ได้ยินว่า นายพรานนั้นเมื่อ ให้ทักขิณาอุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุทุศีลรูปหนึ่งนั้นแลถึง
๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ อมนุษย์
ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน ดังนี้ ในเวลา ที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งมาถึง
ผลของทักขิณานั้นถึงเขา พึงแสดง
อสทิสทานในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธิ์ ฝ่ายทายกเท่านั้น
ในคำว่า ทักขิณานั้นบริสุทธิ์ฝ่ายทายกนี้ พึงทราบความบริสุทธิ์แห่งทานในบททั้งปวง โดยทำนองนี้ว่า ชาวนาผู้ฉลาด ได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัยกำจดฝุ่น ปลูกพืชที่มีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของ คนอื่น ชื่อฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีลย่อมได้ผลมากฉันนั้น ในบทว่า วีตราโค วีตราเคสุ นี้ พระอนาคามี ชื่อว่า ปราศ จากราคะ ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากราคะโดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะฉะนั้น ทานที่พระอรหันต์ให้แก่พระอรหันต์นั้นแหละ เป็นทานอันเลิศ เพราะเหตุไร เพราะไม่มีความปรารถนาภพของผู้อาลัยในภพ ถามว่า พระขีณาสพย่อมไม่เชื่อผลทานมิใช่หรือ ตอบว่า บุคคลทั้งหลายเชื่อผลทาน ที่เป็นเช่นกับพระขีณาสพเทียว ไม่มี ก็กรรมที่พระขีณาสพทำแล้ว ไม่เป็นกุศล หรืออกุศล เพราะเป็นปราศจากฉันทราคะแล้ว ย่อมตั้งอยู่ในฐานกิริยา ด้วยเหตุนั้นบัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า ทานของพระขีณาสพนั้นมี ผลเลิศ ดังนี้ ถามว่า ก็ทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรเถระมีผลมาก หรือว่าทานที่พระสารีบุตรเถระถวาย แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมาก ตอบว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรมีผลมาก เพราะเหตุไร เพราะบุคคลอื่นเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าสามารถให้ผลทานให้เกิดขึ้นไม่มี จริงอย่างนั้น ทานย่อมให้ผลแก่ ผู้อาจทำเพื่อด้วยสัมปทา ๔ ในอัตภาพนั้นแล สัมปทาในสูตรนี้มีดังนี้คือ ความที่ไทยธรรมไม่เบียดเบียนผู้อื่นเกิดขึ้น โดยธรรม โดยชอบ ความที่เจตนาด้วยอำนาจแห่งบุพเจตนาเป็นต้น เป็นธรรมใหญ่ ความเป็นผู้มีคุณอันเลิศยิ่ง โดยความเป็นพระขีณาสพ ความถึงพร้อมด้วยวัตถุ โดยความเป็นผู้ออกแล้วจากนิโรธในวันนั้น ดังนี้.
จบอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร