ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ได้แก่ Cross-linked ปกติโครงสร้างข้อมูลภายในฮาร์ดดิสก์ จะจัดเป็นตามลำดับของไดเรคทอรี่ราก (Root Directory) และไดเรคทอรี่ย่อย (Sub Directory) และแฟ้มข้อมูล (File) โดยที่ผู้ใช้งานสามารถย้ายไดเรคทอรี่ไปที่ใดก็ตามที่ต้องการ โดยเคลื่อนย้ายไปตามวงรอบของการเชื่อมโยงข้อมูล (link) แต่เมื่อเกิด Cross-linked จะเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถเข้าถึง (Access) ไดเรคทอรี่บางไดเรคทอรี่ในฮาร์ดดิสก์ได้ เมื่อพยายามเข้าไปจะมีข้อความแจ้งว่าไม่มีไดเรคทอรี่ดังกล่าว ซึ่งแสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับ Cross-linked เกิดขึ้น ต้นเหตุของปัญหาอาจมาจากขณะที่ใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่เกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้องทำให้คอมพิวเตอร์หยุดทำงานกระทันหัน โดยที่ผู้ใช้งานยังไม่ได้บันทึกข้อมูลก่อนหรือเกิดจากความผิดพลาดในการอ่าน-เขียนข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด Lost Chain และเกิด Lost Cluster ขึ้นตามลำดับ เมื่อเกิด Cross-Linked Error นอกจากจะทำให้เข้าถึงไดเรคทอรี่บางไดเรคทอรี่ในฮาร์ดดิสก์ไม่ได้แล้ว ยังอาจทำให้ใช้งานโปรแกรมบางโปรแกรมไม่ได้ด้วย โอกาสที่จะเกิด Cross-linked นั้นเกิดขึ้นได้เสมอๆ
การตรวจสอบ Cross-Linked Error สำหรับดอส
ตรวจสอบได้โดยใช้คำสั่งในการตรวจสอบที่มากับดอส ลำดับการตรวจสอบมีดังนี้
ตรวจสอบตารางพาร์ติชั่น
ตรวจสอบบูตเร็คคอร์ด
ตรวจสอบตาราง FAT (File Allocation Table)
ตรวจสอบโครงสร้างไดเรคทอรี่
ตรวจสอบโครงสร้างไฟล์
ตรวจสอบ Lost Cluster
ตรวจสอบพื้นที่ดิสก์ทางกายภาพ (มีเฉพาะในคำสั่ง Scandisk เท่านั้น )
สำหรับดอส ใช้คำสั่ง CHKDSK (คำสั่งนี้มาจาก CHECK DISK ) หรือคำสั่ง SCANDISK ทั้งสองคำสั่งอยู่ในไดเรคทอรี่ C:\DOS
|
การเรียกใช้คำสั่งเรียกที่ดอสพร้อม
เมื่อใช้คำสั่งดังกล่าวจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์พร้อมทั้งรายงานเมื่อเสร็จสิ้นการตรวจสอบ บรรทัดที่จำเป็นต้องให้ความสนใจคือ LOST CLUSTER ตัวอย่างหน้าจอเมื่อใช้คำสั่ง SCANDISK และตรวจพบ LOST CLUSTER
Volume BLDG_MNGR_1 created 12-01-1996
4:07p
Volume Serial Number is 0632-10FD
- 120971264 bytes total disk space
- 8085504 bytes in 6 hidden files
- 622592 bytes in 277 directories
- 73881600 bytes in 6314 user files
- 38381568 bytes available on disk
- 2048 bytes in each allocation unit
- 59068 total allocation units on
disk
- 18741 available allocation units on
disk
- 55360 total bytes memory
- 501440 bytes free
|
คำสั่ง Scandisk มีในไมโครซอฟต์ดอสเวอร์ชั่น 6.0 ขึ้นไปเท่านั้น
การตรวจสอบ Cross-Linked Error สำหรับวินโดวส์ 95
สำหรับวินโดวส์ 95 คำสั่งเกี่ยวกับการตรวจสอบดิสก์ยังเหมือนคำสั่งของดอส แต่เปลี่ยนไดเรคทอรี่ ทั้ง CHKDSK SCANDISK อยู่ในไดเรคทอรีย่อย COMMAND ของไดเรคทอรี่ Windows การเรียกใช้งานจะเป็นการเรียกใช้งานในโหมดของดอส โดยสร้างเมนูลัด (Shortcut ) หรือออกไปสู่ดอสพร้อมแล้วเรียกที่ ดอสพร้อม ก็ได้ (เกี่ยวกับการสร้างชอร์ตคัทอ่านจากคู่มือการใช้งานวินโดวส์ 95) เมื่อออกไปสู่ดอสพร้อม โดยเลือก เริ่มSTART | PROGRAM | DOS PROMPT ก็เรียกใช้คำสั่งได้ นอกจากสองคำสั่งข้างต้นแล้ว สำหรับวินโดวส์ 95 ยังมี SCANDISKW.EXE สำหรับตรวจสอบฮาร์ดดิสก์และดิสก์เก็ตสำหรับวินโดวส์ 95 การเรียกใช้งานทำได้โดยเลือก เริ่ม START | Program | Accessories | Disk Tools | Scandisk
หากในคอมพิวเตอร์มีดอสและต้องการติดตั้งวินโดวส์ 95 เมื่อติดตั้งวินโดวส์ 95 คำสั่งเกี่ยวกับการจัดการดิสก์ในไดเรคทอรี่ของดอสจะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการเรียกใช้คำสั่งนี้จากดอส เนื่องจากการจัดการโครงสร้างข้อมูลของทั้งสองระบบปฏิบัติการไม่เหมือนกัน ดอสจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบ 16 บิต และใช้โครงสร้าง FAT (Flie Allocation Table) แต่วินโดวส์ 95 จัดโครงสร้างข้อมูลแบบ HPMS (High Performance File System) แบบ 32 บิต ซึ่งสามารถใช้งานครอบคลุมระบบจัดการแฟ้มข้อมูลของดอสเดิมได้
|
ห้ามใช้โปรแกรมตรวจสอบและเรียงข้อมูลฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบสำหรับดอสและวินโดวส์ 3.11กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้วินโดวส์ 95 เป็นอันขาดเพราะจะทำให้เกิดปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ และทำให้ไม่สามารถใช้งานวินโดวส์ 95 ได้
|
การซ่อมแซม Cross-Linked Error และ Lost Cluster
เมื่อตรวจสอบพบปัญหา Cross-Linked Error และ Lost Cluster สามารถแก้ไขหรือซ่อมแซมได้โดยใช้ออปชั่น FIXED DISK (ซ่อมแซมฮาร์ดดิสก์) ออปชั่นดังกล่าวกำหนดได้เมื่อเรียกใช้คำสั่ง CHKDSK ดังนี้
C:>DOS\ CHKDSK /F
C:>DOS\ SCANDISK
เมื่อตรวจสอบพบปัญหา โปรแกรมจะแก้ LOST CLUSTER โดยลบไดเรคทอรี่ที่ใช้งานไม่ได้ออกหรือย้ายตาราง FAT ที่ซ้ำซ้อนกันออกไปจากฮาร์ดดิสก์
การเรียงลำดับข้อมูลภายในฮาร์ดดิสก์
เมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์ไประยะหนึ่ง ซึ่งระหว่างใช้งานผู้ใช้อาจสร้างแฟ้มข้อมูลเพิ่มหรือลบแฟ้มข้อมูลที่ไม่ต้องการแล้วออก หรือบางครั้งก็ติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมหรือลบโปรแกรมที่ติดตั้งไว้แล้วออกจากฮาร์ดดิสก์ ขั้นตอนดังกล่าวทำให้การเรียงลำดับแฟ้มข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ขาดความเป็นระเบียบ ซึ่งมีผลทำให้ใช้ระยะเวลาในการค้นหาโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูลนานขึ้น จำเป็นต้องแก้ไขซึ่งทำได้โดยเรียงลำดับข้อมูลใหม่ โดยใช้คำสั่งเรียงลำดับแฟ้มข้อมูลของระบบปฏิบัติการ ได้แก่ DEFRAG ของดอส 6.22
การใช้คำสั่ง Defrag
C:\DOS> Defrag
การเลือกการวิธีการเรียงลำดับข้อมูล สามารถเลือกได้ดังนี้
เลือกเรียงลำดับข้อมูลทั้งหมด (Full Optimizing)
หมายความว่า ให้เรียงลำดับข้อมูลพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ทั้งส่วนที่มีข้อมูลและส่วนที่ว่าง วิธีนี้ทำให้การเรียงลำดับข้อมูลมีระเบียบมากที่สุด และการเข้าถึงข้อมูลเร็วกว่า แต่ใช้เวลานานที่สุด
เลือกจัดระเบียบเฉพาะคลัสเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ที่มีแฟ้มข้อมูล (File Only)
หมายความว่า ให้เรียงลำดับเฉพาะคลัสเตอร์ที่มีข้อมูลเท่านั้น โดยไม่สนใจคลัสเตอร์ที่มีที่ว่าง เหมาะสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่มีปริมาณพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าปริมาณที่ว่าง
เลือกจัดระเบียบเฉพาะคลัสเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ที่ว่าง (Space Only)
หมายความว่า ให้จัดเรียงเฉพาะคลัสเตอร์ที่ว่าง เหมาะสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่มีปริมาณพื้นที่ว่างมากกว่าปริมาณพื้นที่เก็บข้อมูล
เลือกจัดระเบียบเฉพาะคลัสเตอร์ของข้อมูลที่ยังไม่ได้เรียงลำดับ
หมายความว่า ให้จัดเรียเฉพาะคลัสเตอร์ที่ยังไม่ได้จัดระเบียบ จะใช้เวลาจัดเรียงข้อมูลน้อยมาก แต่ประสิทธิภาพของการใช้งานจะต่ำที่สุด
คำสั่ง Defrag ควรทำหลังจากใช้คำสั่ง CHKDSK /F เพื่อแก้ปัญหาการ LOST CLUSTER ของฮาร์ดดิสก์แล้ว |
ตัวอย่างการใช้โปรแกรมสำหรับการจัดเรียงแฟ้มข้อมูล
C:\DOS> Defrag c: /H/F
เป็นคำสั่งให้เรียงลำดับแฟ้มข้อมูลและโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเลือกเรียงลำดับข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์
สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ยูทิลิตี้บีบอัดข้อมูล เพื่อเพิ่มพื้นที่ ได้แก่ Double Space หรือ Stacker หรือ Super Drive จะไม่สามารถใช้คำสั่ง CHKDSK หรือ SCANDISK ได้ หากต้องการตรวจสอบโครงสร้างแฟ้มข้อมูลหรือฮาร์ดดิสก์และการเรียงลำดับข้อมูล ต้องใช้ชุดคำสั่งของโปรแกรมสำหรับบีบอัดข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ดังกล่าวแทน เกี่ยวกับคำสั่งจัดเรียงแฟ้มข้อมูล ดูได้จากคู่มือของยูทิลิตี้ดังกล่าว |