ปัตตานี
"บูดูสะอาด หาดทรายสวย รวยน้ำตก นกเขาดี
ลูกหยีอร่อย หอยแครงสด"
ปัตตานีเป็นจังหวัดเล็กๆ
หนึ่งในห้าของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลตะวันออกของภาค
ใต้สุดติดกับทะเลจีนใต้หรืออ่าวไทย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ควรศึกษา
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒน
ธรรมอันล้ำเลิศ หรือจะเป็นความงดงามตามธรรมชาติ สายธารน้ำตก หาดทรายสีทองที่มีความยาว
ตลอด
แนวชายฝั่งอ่าวไทยกว่า 170 กม.
ความเป็นมา
ดินแดนที่เป็นจังหวัดปัตตานีนี้เดิมเป็นที่ตั้งของรัฐอิสระชื่ออาณาจักรลังกาสุกะ
และต่อมาเป็นเมืองโก
ตามหลิฆัย และเป็นเมืองปัตตานี
อาณาจักรลังกาสุกะนี้สันนิษฐานว่าอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่
7 และต่อมาได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณา
จักรศรีวิชัยในพุทธศตวรรษที่ 14
ในปี พ.ศ.1836 กรุงสุโขทัยได้เข้ามามีอำนาจในภาคใต้
หัวเมืองมลายูปัตตานีจึงตกอยู่ใต้อำนาจการ ปกครองของกรุงสุโขทัย โดยเป็นเมืองขึ้นของนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชขึ้นต่อกรุงสุโขทัย
อีกต่อหนึ่ง แล้วต่อมาได้ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยาเมื่อสุโขทัยอ่อนอำนาจลง
หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี
พ.ศ.2310 ปัตตานีก็ตั้งตัวเป็นอิสระอยู่จนตลอดสมัยกรุงธนบุรี
จนกระทั่วในปี พ.ศ.2318 ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานี
กลับคืนเข้า
มารวมอยู่ในราชอาณาจักรไทยในฐานะเมืองประเทศราชดังแต่ก่อนและโปรดฯให้จัดระเบียบการปกครอง
อาณาจักรปัตตานีออกเป็นบริเวณ 7 หัวเมือง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเมืองสงขลาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2339
เป็นต้นมา
เมื่อมีการจัดระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล
บริเวณ 7 หัวเมืองขึ้นอยู่ในการปกครองของข้าหลวง
มณฑลเทศาภิบาลนครศรีธรรมราชจนถึงปี พ.ศ.2449 จึงแยกมาตั้งเป็นมณฑลปัตตานี
และได้ยุบเลิกไป
ขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราชอีกครั้งในปี พ.ศ.2475 และในปี พ.ศ.2476 ก็มีฐานะเป็นจังหวัดปัตตานีมา
จนถึงปัจจุบัน
ตำนานเมืองปัตตานี
เล่าว่า มะโรงมหาวังสาเจ้าเมืองไทรบุรี มีโอรสธิดา 3 องค์ โอรสองค์ที่หนึ่งมี
ชื่อว่า มะหะหมุด บิดาทรงแต่งตั้งให้ไปครองเมืองเประห์ โอรสองค์ที่สองชื่อว่า
สุเล็ม ให้ปกครองเมืองไทยบุรี แทนบิดา ส่วนธิดาองค์สุดท้องชื่อ จาแย-จายัน
ยังหาเมืองปกครองไม่ได้ จึงทำการเสี่ยงหาโดยใช้ช้าง ศักดิ์สิทธิ์ชื่อ
บรือมอสักติ ขับขี่เป็นพาหนะไปแสวงหาชัยภูมิสร้างเมืองใหม่
ช้างเดินทางไปทางทิศเหนือรอนแรมเป็นเวลาหลายวัน
เที่ยงวันหนึ่งช้างแวะเข้าไปหยุดยืนอยู่ใต้ร่ม
ไม้ส่งเสียงร้อง 3 ครั้ง แล้วไม่ยอมเดินทางต่อไป เจ้าหญิงจายันจึงให้พักไพร่พล
ณ บริเวณที่ช้างร้องไห้
(ปัจจุบัน คือ หมู่บ้านช้างไห้ตก ต.ป่าบอน อ.โคกโพธิ์)
ต่อมาเจ้าหญิงจายันเห็นว่าบ้านช้างไห้อยู่ห่างจากทะเลมากเกินไป
จึงขึ้นช้างเสี่ยงทายออกไปหาที่ใกล้
ทะเล เมื่อมาถึงสันทรายริมหาด เห็นกระจงเผือกวิ่งอย่ พระนางจายันก็ให้ติดตาม
จับกระจงเผือก แต่
ปรากฏว่ากระจงเผือกหายไปบนพื้นหาดทรายอันโล่งเตียนนั้น
เมื่อพระนางจายันถามถึงสถานที่กระจงเผือกหายไป
ไพร่พลก็ชี้ไปที่หาดทรายและร้องทูลว่า"ปาตาอีนี"
(หาดทรายนี้) พระนางจายันจึงถือนิมิตที่กระจงเผือกหายตัวไปด้วยการเลือกบริเวณสันทรายแห่งนี้เป็น
สถานที่สร้างเมือง และขนานนามเมืองนี้ว่า "ปาตานี" (เมืองเหนือสันทราย)
อาณาเขต
ทิศเหนือ |
จดทางหลวง บริเวณอ่าวไทย |
ทิศใต้ |
จดจังหวัดนราธิวาส |
ทิศตะวันออก |
จดทางหลวง บริเวณอ่าวไทย |
ทิศตะวันตก |
จดจังหวัดยะลา |
font color="#D68744">ภูมิอากาศ
เขตอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างร้อน
ชื้น มีฝนตกชุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนมกราคม
และอากาศจะร้อนในช่วงต้นเดือนมีนาคม
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข
4 จนถึง จ.ชุมพร รวมระยะทางประมาณ 460 กม. แล้วเดินทางต่อ ใช้ทางหลวงหมายเลข
41 หรือ 42 ผ่านปากน้ำเทพาเข้าสู่ จ.ปัตตานีอีกประมาณ 505 กม.
รถโดยสารประจำทาง
มีรถโดยสารปรับอากาศจากกรุงเทพฯ ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง
ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งสายใต้โทร.(02) 4351199,4347192
หรือ สถานีขนส่งรถโดยสาร ปัตตานี (073) 348816
ตารางการเดินรถไฟ ตำรวจรถไฟ
มีขบวนรถด่วน และรถเร็ว
จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ-สถานีรถไฟปัตตานีทุกวัน ติดต่อสอบถามราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง
โทร.(02) 2237010 หรือ สถานีรถไฟปัตตานี (073) 431232
|