![]() |
|
นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ |
เรื่องที่อยากเล่า " คนรวย-ตายยาก! ดีหรือไม่ดี ? " ที่ผมเล่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะ "หมอแพทย์" ท่านทำตนเป็น "แพทย์พาณิชย์" จนเลื่องลือ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัย I.M.F. (ซึ่งบางท่านแปลประชดว่า It's my fault มันเป็นความเหลวไหลของฉันเอง) พี่สาวของผม (ลูกสาวป้า) อายุ 85 ปี เคยเป็นอาจารย์ โรงเรียนฝึกหัดครูทั้งในกรุงและต่างจังหวัดมาหลายแห่ง บังเอิญโชคดีขายที่ดินย่านสุขุมวิทที่อยู่อาศัยมาช้านาน ไปในยามเศรษฐกิจรุ่งเรือง (สมัยอุสาหกรรมฟองสบู่) ก็รวย - เป็นนางสาว - ไม่มีลูกกวนตัวผัวกวนใจ ธนาคารทั้งหลายยามนั้นมั่นคง - เชื่อถือได้พี่สาวผมเอาเงินไปฝากประจำไว้ได้ดอกเบี้ยมากินมาใช้เดือนละ 2 แสนบาทเศษ ธนาคารให้เจ้าหน้าที่เอามาให้ถึงบ้านทุกเดือน คนตัวคนเดียว เป็นอาจารย์หญิง เหล้าไม่กินฝิ่นไม่สูบ - เต้นรำไม่เป็น - เล่นการพนันหรือหุ้นก็ไม่เป็นทั้งนั้น ก็เอาเงินทำบุญ - แจกญาติซึ่งผุดขึ้นมามากมายจนกลายเป็นคุณแม่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาตัวที่แพทย์ประจำ โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน แม้ภายหลังย้ายบ้านไปไกลแล้ว ก็ยังมารักษาที่โรงพยาบาลเดิม เพราะหมอเรียกเป็นคุณแม่ - เอาใจดี ประกอบกับตัวเองไม่เคยมีลูกตัว มีแต่ "ลูกศิษย์" จึงรักคนที่เรียกแม่ทุกคนอย่างลูก - ไว้ว่างใจมาก เมื่อแก่ก็ย่อมเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งน้อยทั้งมากบ่อยๆ เป็นธรรมดา จนเป็นโรค "ไตเสื่อม" ซึ่งใครๆก็ต้องไปฟอกโลหิตและรักษาทางยาประกอบ แต่หมอในโรงพยาบาลนี้บอกว่าเวลานี้มียาวิเศษขนานใหม่รักษาไตได้ โดยไม่ต้องฟอกเลือด ต้องฉีดอาทิตย์ละสองเข็ม ราคาเข็มละ 8,0000 บาท แนะนำให้พี่สาวผมฉีดก็ฉีดกันไป จนมีอาการไม่ยอมกินข้าว ขอกินแต่น้ำ ไปโรงพยาบาลคุณหมอลูก ก็จับเข้าอยู่ห้องพิเศษ ฟอกเลือด-ก็ฟอกไม่ได้มาก ทั้งปอดก็มีน้ำ ทำท่าจะเรียกภาษาเราๆว่า ปอดบวม ต้องเอาไปไว้ห้อง I.C.U. (ผมกำลังแกล้งเรียกว่าห้อง "ไอ.ซี้.ยู.อยู่") อยู่ห้อง I.C.U. มีสายระโยง-ระยางเต็มตัว ประเดียวก็หัวใจหยุดเต้น หมอต้องมาปั้มหัวใจ จึงกลับฟื้นคืนมาอีก เดี๋ยวก็หยุดอีก ต้องปั้มหัวใจกันอีก หมอหัวใจก็มา "ฉีดสี" ดูว่าเส้นโลหิตหัวใจเส้นไหนมันตีบ - ตัน พอพบแล้วก็มา "สวนหัวใจ" ด้วย "บอลลูน" และใส่ลวดถ่างเส้นเลือดไว้ คนไข้ (พี่สาวผม) บางขณะก็รู้สึกตัว พูดจาได้ บางขณะก็ซึม ไม่มีสติ - ไม่รู้สึกตัว ขณะนั้นฟอกโลหิตก็ไม่ได้มากแล้ว ไตเหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์กระมัง โรงพยาบาลเอกชนนี้เก็บเงินทุก 7 วัน ในสัปดาห์แรกของห้อง "ไอซี้-ยูอยู่" เสียเงินค่ารักษาพยาบาลไป 1 ล้านบาท ผมทราบจึงบอกเด็กที่อยู่ดูแลประจำตัวของพี่สาวผม ให้บอกหมอว่า ถ้าค่าใช้จ่ายสูงมากเช่นนี้ ผมจะเอาออกจากโรงพยาบาลนี้ไปไว้โรงพยาบาลอื่น หรือ โรงพยาบาลของรัฐ เพราะพี่สาวของผมก็เป็นข้าราชการ ถึงอย่างไรก็จะเสียเงินน้อยกว่านี้ โรงพยาบาลก็เปลี่ยนให้มาอยู่ห้อง C.C.U. ซึ่งถูกหน่อย (เจ้า C.C.U. นี้ผมไม่รู้ว่ามันย่อมาจากคำอะไร คงจะ "ซี้.ซี้. แน่-ยูน่ะ") เวลานี้หมอประจำตัวที่เรียก "คุณแม่-คุณแม่" หายไปไหนไม่รู้ - ไม่เห็นหน้าแล้ว ทั้งศีรษะที่หน้าติดอยู่ก็พลอยหายไปด้วย คนไข้มีอาการอวัยวะภายในเสื่อมหมดทุกอย่าง ปลายนิ้วมือเริ่มดำขึ้นๆ หมอก็บอกว่าต้อง " ตัดมือ ตัดแขน" ผมยื่นคำขาดว่า "ถ้ารักษาไม่หาย - ห้ามทรมานคนไข้" ผมไม่ยอมให้ตัด อีก 3-4 วัน พี่สาวผมก็ "ตาย" ตายแล้ว โรงพยาบาลยังหน่วงเหนี่ยว จะไม่ยอมให้เอาศพไปทำบุญ เรียกเงินอีกห้าแสนบาทเศษผมโมโหมาก บอกว่าถ้ายึดศพไว้ จะฟ้องคดีอาญาเพราะศพไม่ใช่วัตถุที่จะยึดหน่วงได้ ส่วนเงินค่ารักษาพยาบาลที่ค้างอยู่ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะว่ากันไป ตกลงโรงพยาบาลก็ยอมให้เอาศพไป รุ่งขึ้นผมก็ให้เด็กเอาเงินไปให้ ทั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดชาติใด - สมัยใด ขออย่าเป็นคนรวยเลย - เจ้าประคู้ณ! เจ้าลูกชายมาเล่าว่า ได้คุยกับหมอโรคหัวใจ เพื่อนกัน หมอเพื่อนบอกว่าการฉีดสีดูเส้นเลือดหัวใจนั้นถ้าไตไม่ดี มีสมรรถภาพ 10-15% เช่นนี้ เขาก็ไม่ทำกัน เพราะสีจะออกจากร่างกายทางไต ยิ่งทำบอลลูนหัวใจยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจะต้องฉีดสีเข้าไปเป็นระยะๆ ประมาณ 500 C.C. , ฉีดดูเส้นเลือดประมาณ 300 C.C., ไตไม่ดีจะแสลงมาก ไม่มีใครเขาทำ ยังมีเรื่องชุลมุนวุ่นวายอีกมาก สำหรับคนรวยแล้วตาย แต่ผมเกรงว่าท่านผู้อ่านจะพบกับปีศาจมากเกินไปจึงขอยุติแต่เพียงนี้ เล่าโดย " น้องเป๋ " |
Poet 2543 |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com