อย่าคิดว่าการที่ตนต้องทำเป็นของเลวทราม

 

 
 

คนเราหากรักที่จะมีความก้าวหน้า ไม่ว่าจะทำงานอยู่ทางโลก หรือมาบวชเป็นพระอยู่ทางธรรมก็ตาม งานทุกชนิดถ้าไม่ผิดศีล ถือว่าเป็นงานมีเกียรติทั้งสิ้น หลวงพ่อเองเคารพคุณยายอาจารย์ (อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) อย่างจับใจ ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบท่าน ท่านบอกว่าท่านเคารพบูชาธรรมความกตัญญูมาตลอด ดังนั้น พอได้ข่าวว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ สามารถสอนคนให้ปฏิบัติธรรมจนไปเห็นนรกสวรรค์ และเยี่ยมพ่อแม่ที่ตายแล้วได้ ท่านจึงตัดสินใจออกจากบ้าน โดยไม่มีเงินทองติดตัวมาเลย ทั้งๆ ที่ฐานะทางบ้านของคุณยายก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ท่านมุ่งหน้าที่จะไปเรียนวิชา เพื่อพบพ่อที่ตายแล้วให้ได้ ท่านจึงคิดไปหาเงินช่วยเหลือตัวเองข้างหน้า โดยไม่ยอมรบกวนขอเงินจากทางบ้าน

คุณยายเล่าให้ฟังต่อไปว่า ตลอดเวลาคุณยายหมั่นสอนตัวเองว่า

"เราออกจากบ้านมาครั้งนี้ เราจะต้องลำบากอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเงินติดตัวมาเลย แต่ว่าเมื่อเราจะไปเอาธรรมะแล้ว ถึงลำบากอย่างไรก็ต้องอดทนหางานทำรับจ้างเขาไป ดั้นด้นไปจนกว่าจะได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำ และให้ท่านรับเราเป็นลูกศิษย์ ระหว่างนี้ถึงแม้ไม่มีงานอะไรทำ รับจ้างเขาเทหม้อเมล์ก็ยังดี เพราะเป็นอาชีพบริสุทธิ์ ไม่ได้คดโกงใคร แต่จะไม่ยอมไปโขมยเขากินเป็นอันขาด"

พวกเรารุ่นหลังคงจะไม่รู้จักหม้อเมล์ สมัยก่อนในกรุงเทพยังไม่มีส้วมซึม มีแต่ส้วมถัง ทำเป็นถัง แล้วมีไม้พาดไว้ สำหรับนั่งถ่ายบนถัง พอเช้าขึ้นเขาจะให้นักโทษไปรับเอาถังอุจจาระตามบ้านต่างๆ ไปทิ้ง แล้วนำถังใหม่ไปใส่ไว้แทน ถังอุจจาระเคลื่อนที่นี้เรียกว่า ถังเมล์ หรือหม้อเมล์

คุณยายท่านตั้งปณิธาณไว้ดังกล่าว ท่านตัดสินใจละทิ้งความสุข ความสะดวกสบายทางบ้าน เพื่อแสวงหาธรรม ท่านตัดใจลงไปว่า หากเงินทองขาดมือ ก็เตรียมใจแล้วที่จะรับจ้างเทถังเมล์ ปณิธานอันนี้ ย่อมแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของคุณยายที่จะแสวงหาธรรม

หลวงพ่อฟังคุณยายเล่าแล้วตื้นตันใจ ทำให้ความถือตัวของหลวงพ่อหมดไปได้ ขนาดท่านเป็นผู้หญิง และสมัยนั้นท่านยังเป็นสาว ท่านยังตัดใจเพื่อธรรมะ ในการที่จะไปให้ถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำให้จงได้ หากจะต้องรับจ้างเทถังเมล์ก็ยอม หลวงพ่อจึงนึกถึงตัวเอง หากจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างคุณยาย ก็จะต้องลดทิฏฐิมานะของตัวเราเองให้ได้

ดังนั้นพอผ่านไปได้ระยะนึง เวลาไปเรียนธรรมะกับคุณยายที่วัดปากน้ำ เพื่อนๆ ที่ไปวัดรุ่นเดียวกันมีหลายคน พวกที่เขามีความรู้ทางด้านการครัวก็ไปทำครัว พวกที่มีความสามารถจัดดอกไม้ ก็จัดดอกไม้ พวกที่มีความสามารถทางด้านเย็บปักถักร้อย เขาก็ไปทำผ้าม่าน ผ้าบังตากัน ส่วนตัวเราไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย ก็เหลียวซ้ายแลขวาว่าจะหาบุญอะไรได้บ้าง ก็หันไปเห็นรองเท้าของคนที่มาวัดวางเกลื่อนไปหมด คิดว่าคงจะเป็นบุญของเรา ถ้าได้จัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ จึงตัดสินใจรับบุญจัดรองเท้า แต่กว่าจะหยิบรองเท้าคู่แรก มาจัดได้นั้น ยากจริงๆ เพราะกว่าจะจับรองเท้านั้นได้ ต้องรอให้คนอื่นเขาหลับตานั่งสมาธิกันก่อน เพราะกลัวว่าหากเขาเห็นเราจัดรองเท้า ก็จะมาดูถูกเราได้ เราเป็นถึงนักเรียนนอก พ่อแม่เราก็มีฐานะดี มีหน้ามีตา เราเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ล้วนแต่เป็นความคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีใครรู้จักเราเท่าใดนัก แต่ก็เข้าข้างตัวเองก่อนว่าตัวเราสำคัญนัก ถ้าใครมาเห็นเราจัดรองเท้าก็จะดูถูกได้ หรือถ้าพ่อแม่มาเห็นเราทำอย่างนี้ ท่านคงจะเสียหน้า แฟนของเรามาเห็นเข้าคงจะหมดรัก ใจคิดไปสารพัด นึกไปกระทั่งว่า เจ้าของรองเท้าคู่นี้เป็นฮ่องกงฟุตหรือเปล่า เมื่อเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าคู่แรกนั้น มือมันหดกลับ ต้องจดๆ จ้องๆ อยู่ถึง 3-4 ครั้ง กว่าจะตัดใจหยิบรองเท้าขึ้นมาจัดได้ พอหยิบคู่แรกได้ มันก็ได้ตลอด ที่เหลืออยู่อีกกี่คู่ๆ ก็จัดจนเรียบ จัดไปใจก็ฟูว่า วันนี้เราหมดทิฏฐิมานะแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็รีบจัดให้เสร็จก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น กลัวใครเขาจะรู้ว่าเราจัด จะเป็นการเสียหน้า จัดเสร็จเรียบร้อย ไม่กล้าให้ใครรู้ จนกระทั่งเขาเลิกนั่งสมาธิ ลงมาจากบ้านเห็นรองเท้าวางเป็นระเบียบ ได้ยินเสียงเขาพูดกันว่า

"แหม… ดีจังเลย วันนี้รองเท้าไม่เกลื่อน ไม่รู้ใครจัด ขออนุโมทนาด้วยนะ"

พอหลวงพ่อได้ยินเขาอนุโมทนาก็รู้สึกใจฟูทันที ตระหนักว่า เราทำถูกแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแสดงตัวให้ใครรู้ ว่าเป็นฝีมือเราเอง การหักมานะลดความถือตัวได้สำเร็จในคราวนั้น เป็นความภูมิใจของหลวงพ่อตลอดมา

การที่คนเราจะไม่เลือกว่างานต่ำหรือสูง โดยอาศัยความบริสุทธิ์เป็นเกณฑ์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ข้อนี้เป็นความแตกต่างระหว่างคนไทยกับคนอินเดีย คนอินเดียแม้เป็นขอทาน แต่จะไม่ยอมโขมย เพราะกลัวบาป ตรงกันข้ามคนไทย ยินดีจะปล้นเขากินแต่ไม่ยอมเป็นขอทาน อาชญากรในเมืองไทย จึงมีมากกว่าในอินเดีย โดยเฉพาะอาชญากรวัยรุ่น ที่ไปทำโจรกรรมกันนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะความยากจน แต่เป็นเพราะความฟุ่มเฟือย เลือกงาน ดูถูกว่างานนั้นไม่มีเกียรติ แต่ที่ไปโขมยเขากินกลับไม่ดูถูกตัวเอง ความมีทิฏฐิมานะถือตัวอย่างไม่เข้าท่า ด้วยการดูถูกงานเช่นนี้ ทำให้คนไทยต้องตกงานกันมาก ไม่ใช่ไม่มีงานทำ แต่เลือกงานเกินไป แล้วจะมาโยนความผิดให้รัฐบาล ก็ไม่ถูกต้อง ตำหนิว่าขณะนี้ คนไทยสอนลูกไม่เป็น สอนให้ลูกมีมิจฉาทิฏฐิดูถูกงาน นับว่าไม่ถูกต้อง ควรแก้ไขค่านิยมเสียใหม่ว่า งานใดที่บริสุทธิ์ ไม่ได้โกงเขา ไม่ได้ผิดศีล ต้องถือว่างานนั้นมีเกียรติ ถึงแม้จะเป็นงานขัดส้วม ขัดห้องน้ำก็ตาม

เมื่อปีก่อน มีนักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกผู้มีอันจะกิน อาจารย์ส่งเขามาอบรมที่วัด พวกนี้มาวันแรกอบรมยาก จนหลวงพ่อต้องขอใช้คำว่า "ดัดสันดาน" คือเมื่อมาถึงวัดกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครสักคนที่จะยอมล้างจาน หลวงพ่อจึงถามเขาว่า

"หนูทำไมไม่ล้างจานกันล่ะ"

"หนูล้างไม่เป็น"

"อ้าว! อยู่บ้านไม่เคยล้างเลยหรือ"

"ไม่เคยค่ะ"

"แล้วใครล้างล่ะ"

"คนใช้ล้างให้"

"แล้วถ้าคนใช้ไม่อยู่"

"ใครล้าง"

"แม่ล้าง"

หลวงพ่อเลยนึกในใจว่า มันเห็นแม่เป็นคนใช้ จึงถามต่อไปว่า

"แล้วถ้าคนใช้ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่ จะทำอย่างไรล่ะ"

"ไม่เคยเลย ถ้าแม่ไม่อยู่ ก็ต้องมีคนใช้ ถ้าคนใช้ไม่อยู่ ก็ต้องมีแม่"

"งั้นดีแล้ว วันนี้คนใช้ก็ไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่ วันนี้ต้องล้างเอง"

ขนาดหลวงพ่อพูดอย่างนี้ แกก็ยังไม่ยอมล้าง หลวงพ่อจึงบอกไปว่า

"ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ไม่ล้างก็ได้ แต่หลวงพ่อขอแรงอีกนิดเดียว ช่วยเอาจานที่กินแล้ว ไปเรียงไว้ริมข้างถนน เรียงไว้เป็นตับเลยนะหนู ขอแรงหน่อย อีกสักพักเดียว หมามันก็มาเลียเองแหละ พอหมามันเลียเกลี้ยง แล้วพวกหนูก็เอาไปใช้ต่อก็แล้วกันนะ"

คราวนี้จึงยอมล้างจานได้ ขนาดจานข้าวที่ตัวกินเอง ยังดูถูกไม่ยอมล้าง เห็นว่างานล้างจานเป็นงานต่ำ แล้วต่อไปจะทำอะไรได้ เด็กพวกนี้เกิดมาเพื่อดูถูกคน ดูถูกงาน เป็นเทวดามาจากไหนกัน เด็กเหล่านี้จะเอาดีไม่ได้ ถ้าไม่แก้นิสัย หลวงพ่อจึงต้องดัดสันดานโดยวิธีนี้ ถ้าไม่ยอมล้างจานมื้อต่อไป ก็ต้องกินข้าวจากจานที่หมาเลีย เดี๋ยวเดียวก็เห็นเขาล้างกันเสร็จเรียบร้อย

จำไว้ว่าอย่าสอนให้ลูกหลานหรือตัวเองเป็นคนดูถูกงาน เลือกงาน งานใดที่เป็นงานบริสุทธิ์ ถือว่าเป็นงานมีเกียรติทั้งสิ้น ใครจะว่าค่อนขอดอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ขอให้ตั้งใจทำไป แล้วเราจะประสบความสำเร็จก้าวหน้าในที่สุด

 
 

จาก หนังสือตำรับยอดเลขา โดยพระเผด็จ ทัตตชีโว (ปัจจุบันคือพระภาวนาวิริยคุณ)