ปฏิบัติอย่างไร ให้ถูกพุทธวิธีสู่โลกุตรธรรม

p26-131.jpg (7705 bytes)

 

พระพุทธองค์ทรงเทศนาถึง วิถีการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่โลกุตรธรรม อันมีพระนิพพานเป็นที่สุด โดยวิธีสมาธิ ใช้นิมิตแสงสว่าง (โอภาส อาโลกกสิณ) เป็นตัวกำหนด ดังปรากฏในพระไตรปิฎก (บาลี ปฐมสูตร อโยคุฬวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๖๒/๑๒๐๕) ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ความรู้นี้เกิดขึ้นแก่เราว่า ภิกษุนั้น ๆ ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วย ธรรมเครื่องปรุงแต่ง มีสมาธิ อาศัยฉันทะ เป็นปทานกิจ ว่าด้วยอาการอย่างนี้ ฉันทะของเรา ย่อมมีในลักษณะที่ไม่ย่อหย่อน..... เธอย่อมอบรมจิต อันมีแสงสว่าง ด้วยทั้งจิตอันเปิดแล้ว ไม่มีอะไรพัวพัน ให้เจริญอยู่ด้วยอาการอย่างนี้"

และทรงขยายความการหยุดจิตไว้ในนิมิตแสงสว่าง ของพระองค์ไว้ ปรากฏ ในพระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี มหาสัจจกสูตร มู. ม. ๑๒/๔๖๐/๔๓๐) ว่า

"...เรานั้นหรือ...ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิต อันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีความเป็นจิตเอก ดังที่คนทั้งหลาย เคยได้ยินว่า เรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้"

เมื่อทรงใช้ นิมิตแสงสว่าง ยังทรงใช้ รูป ประกอบในการทำสมาธินั้นด้วย ทรงแสดงพุทธพจน์ แก่พระอนุรุทธอรหันตเถระ (ผู้เป็นเอตทัคคะ เยี่ยมยอดทางฌานสมาบัติ เทียบเท่าพระพุทธเจ้า) ดังปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี อุปักกิเลสสูตร สุญญตวรรค (อุปริ ม. ๑๔/๓๐๒ /๔๕๒) ว่า

"ดูก่อน อนุรุทธะทั้งหลาย ความรู้ได้เกิดแก่เราว่า สมัยใด สมาธิของเราน้อย สมัยนั้น จักขุก็มีน้อย ด้วยจักขุอันมีน้อย เราจึงจำแสงสว่างได้น้อย เห็นรูปน้อย สมัยใดสมาธิของเรามาก ไม่มีประมาณ สมัยนั้นจักขุของเรา ก็มาก ไม่มีประมาณ ด้วยจักขุอันมาก ไม่มีประมาณนั้น เราจึงจำแสงสว่างได้มาก ไม่มีประมาณ เห็นรูปได้มาก ไม่มีประมาณ ตลอดคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนทั้งวันบ้าง

ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย เราเจริญแล้ว ซึ่งสมาธิ อันมีวิตกวิจาร ซึ่งสมาธิ อันไม่มีวิตก แต่มีวิจารพอประมาณ ซึ่งสมาธิอันมีปิติ ซึ่งสมาธิ อันเป็นไปกับด้วยความสุข และสมาธิ อันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา

ดูก่อนอนุรุทธะ ทั้งหลาย กาลใดสมาธิอันมีวิตกวิจาร เป็นธรรมชาติ อันเราเจริญแล้ว กาลนั้นญาณเป็นเครื่องรู้ เครื่องเห็น เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพเป็นที่เกิดไม่มีอีก (นิพพาน) ดังนี้"

พระพุทธองค์ทรงเป็นโลกวิทู ทรงรู้แจ้งว่า ในอนาคต พุทธบริษัทย่อมจักเกิดความสงสัย ในพระสัทธรรม อันพระองค์ทรงสั่งสอน จึงมีพุทธาธิบาย ถึงลักษณะแห่งแสงสว่าง อันจักปรากฏขึ้น แก่ผู้ปฏิบัติสมาธิ ตามมรรควิถีนี้ มีในพระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี สตฺตมสูตร ภยวรรค จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๗/๑๒๗) ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ อันแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์อานุภาพอย่างนี้ ส่องไปไม่ถึงนั้น แม้ในที่นั้น แสงสว่างอันโอฬาร หาประมาณมิได้ ยิ่งใหญ่กว่าอานุภาพ ของเทวดาทั้งหลาย จะบันดาลได้ ก็ปรากฏขึ้น ฯลฯ"

นอกจาก แสงสว่าง แล้ว ยังทรงขยายความในคำว่า "รูป" ที่พระองค์ทรงใช้ในสมาธิคืนตรัสรู้นั้น เป็นรูปอะไร? จึงทรงขยายความไว้ แก่พระอานนท์ ว่ารูปที่เห็นคือ รูปกาย ที่อยู่ภายในกาย ของผู้ปฏิบัตินั่นเอง ดังที่ปรากฏใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘/๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/๗๑๒-๓) ว่า

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย ฯลฯ"

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดา ท่านได้ทรงมีพุทธพจน์ ยืนยันการเข้าถึงนิพพาน ทำได้ทางเดียวเท่านั้น คือการตามเห็น กายในกาย ปรากฏใน พระไตรปิฎกเถรวาท บาลี มหาวาร. สํ. (๑๙/๒๔๖-๒๔๘/๘๒๐-๘๒๔) ว่า

"...เพื่อบรรลุเญยยธรรม เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง... คือภิกษุเป็นผู้มีธรรมดา ตามเห็นกายในกาย ...นี้แหละทางเดียว ดังนี้"

การเดินทางสู่สถานที่ใด ๆ อันบุคคลไม่เคยพบ ไม่เคยไป ย่อมต้องมีการอธิบายลักษณะพื้นที่ไว้ เพื่อมิให้ผิดพลาด องค์พระศาสดาท่าน จึงได้มีพุทธพจน์ ถึงลักษณะแห่งนิพพานไว้ ว่าเป็นอายตนะ (ท่านพุทธทาส เรียกว่า นิโรธธาตุ และ สุญญตธาตุ) ปรากฏใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี ฑีฆนิกาย สีลักขันธวัคค ๙/๒๒๗ - ๒๘๓/๓๔๓ - ๓๕๐) ว่า

"คือ อายตนะหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สิ้นสุด ฯลฯ"

และทรงอรรถาธิบายถึงคุณลักษณะ ความพิเศษของนิพพาน ว่าเป็นสิ่งเที่ยงแท้ ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี ขุ. จูฬ. ๓๐/๖๕๙/๓๑๕) ว่า

"ยสฺส อุปฺปาโท ปญฺญายติ วโย นตฺถิ ตสฺส ยญฺญทตฺถุ ปญฺญายติ นิพฺพานํ นิจฺจํ ธุวํ สสฺสตํ อวิปริณามธมฺมนฺติ อสํหิรํ อสงฺกุปปํ ฯ.."

"ความเกิดแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้น มิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปมิได้ ไม่กำเริบ"

ทรงมีพุทธพจน์ยืนยันแก่พุทธบริษัท ถึงลักษณะของนิพพาน ที่สามารถเข้าถึง และอยู่ได้ ในภพชาติปัจจุบันนี้ (ไม่ต้องตายก่อน) ปรากฏในพระไตรปิฎก (บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๕/๓๕) ว่า

"...เราแล เป็นผู้ทำให้แจ้งได้ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะอันสิ้นแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงแล้ว และอยู่ในวิหารธรรมนั้น ในภพอันเป็นปัจจุบันนี้ ดังนี้ "

ด้วยความเป็นอมตะแห่งนิพพานนี้เอง พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีตที่ตรัสรู้ไปแล้ว จึงไปรวมอยู่ ณ แดนนิพพานดังกล่าว อันปรากฏเป็นพุทธพจน์ ในพระไตรปิฎก (บาลี จตุกฺก. อํ.๒๑/๒๕/๒๑)

"พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้วในอดีต ก็ได้สักการะพระธรรมนั่นเอง แลเข้าไป อาศัยอยู่ แม้จักมาตรัสรู้ข้างหน้า ก็จักสักการะเคารพธรรมนั่นเอง แลเข้าไปอาศัยอยู่

ข้าแต่พระองค์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ขอจงสักการะเคารพธรรมนั่นแหละ แลเข้าไปอาศัยอยู่เถิด"

     ที่มาของคำว่า ธรรมกาย คือ กายในกาย+ธรรมในธรรม = " ธรรมกาย "   

ดังได้กล่าวไปแล้วแต่ต้นว่า การจะเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือ การทำสมาธิจิต ให้เห็นกายในกาย ตามมรรควิถีของพระองค์ เพื่อเมื่อเข้าถึงกายในกาย ก็จะเข้าถึง ธรรมในธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นวิถีทางที่จะพบ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ตามที่ตรัสชี้หนทางไว้ ปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท (บาลี อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๐๐/๒๗๒) ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้น จะอยู่ห่าง (จากตถาคต) ตั้งร้อยโยชน์ แต่ถ้าเธอนั้นไม่มากไปด้วยอภิชฌา ไม่มีกามราคะกล้า ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจ ไปในทางประทุษร้าย มีสติตั้งมั่น เป็นสมาธิจิต ถึงความเป็นเอกัคคตา สำรวมอินทรีย์แล้วไซร้ ภิกษุนั้น ชื่อว่าอยู่ใกล้กับเรา แม้เราก็อยู่ใกล้กับภิกษุนั้นโดยแท้

ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้น เพราะเหตุว่า ภิกษุนั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรม ก็ชื่อว่าเห็นเราแล"

การใช้คำเรียกขานในอรรถบาลีนั้น มีการใช้คำสองคำ นำมารวมกัน ซึ่งเราจะพบกันอยู่เสมอ เช่นคำว่า พระธรรมวินัย ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วคำว่า ธรรม กับ วินัย เป็นคนละคำ คนละความหมาย คือ ธรรมหมายถึง คำสั่งสอน และ วินัย หมายถึง ข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ ซึ่งเราเรียกว่า สิกขาบท ซึ่งอยู่ในส่วนพระวินัยปิฎก ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว อยู่คนละส่วน แต่ใช้คำร่วมกัน เป็นที่ยอมรับ มีพุทธพจน์ที่ชี้ชัดว่า เป็นคนละส่วนกัน ยกมาเป็นตัวอย่างเช่น ตรัสแก่ อเจลกกัสสปะ ณ กัณณกถลมิคทายวัน ใกล้เมืองอุชุญญา (บาลี มหาสีหนาทสูตร สี.ที.๙/๒๐๙/๒๖๕) ว่า

"กัสสปะ หนทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ ซึ่งผู้พ้นตามนั้นแล้ว จักรู้ได้เองทีเดียว ว่าพระสมณโคดม เป็นผู้มีปกติกล่าวถูกต้อง ตามกาล กล่าวถูกต้อง ตามที่เป็นจริง กล่าวโดยอรรถ กล่าวโดยธรรม กล่าวโดยวินัย ดังนี้"

ดังนั้นเราจะพบในพระไตรปิฎกที่ใช้คำสองคำนี้รวมกันเป็นคำเดียว โดยยอมรับ และรับรู้ทั่วกัน ในความหมายคำว่า "พระธรรมวินัย" ในภาษาบาลี มักใช้คำว่า "ธมฺมวินเย" เป็นต้น


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)