เรื่องสั้นของกิ่งฉัตร

ขอขอบคุณพี่ปุ้ยและพี่ก้อยค่ะ

คุณสุกคุณใส

"ทองหลางลาย"

ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารแพรวสุดสัปดาห์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 119 16 มกราคม 2531


“เกี้ยมอี๋” นอกจากจะเป็นชื่อแป้งข้าวเจ้า รูปคล้ายลอดช่อง ใส่หมู ถั่วงอก ฯลฯ สำหรับกิน แล้ว ยังเป็นชื่อสาวน้อยวัย 19 ปีด้วย เกี้ยมอี๋มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อบะหมี่ และมีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อหมี่เล็ก หมี่เล็กเพิ่งกลับมาจากสหรัฐอเมริกา หลังจากตามคุณพ่อซึ่งไปคุมการต่อเรือให้ กองทัพเรือ 2 ปี ตอนแรกคุณพ่อก็กะจะเอาเกี้ยมอี๋ไปด้วย แต่ติดที่เกี้ยมอี๋กำลังจะสอบ
kids_s.jpg (13147 bytes)

บะหมี่ เกี้ยมอี๋ หมี่เล็ก (ภาคเยาว์ค่ะ  ภาคผู้ใหญ่ยังหาไม่เจอ)   ภาพขยาย

เอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เลยอดไปโดย ปริยาย

กลับมาคราวนี้หมี่เล็กสมบูรณ์จนเกือบต้อง กลิ้งแทนเดิน ตรงข้ามกับ เกี้ยมอี๋ ซึ่งผอม เหมือนไม้เสียบลูกชิ้นปิ้ง    คุณแม่พยายาม ยัดหมี่เล็กเข้าโรงเรียนเดิมของ เกี้ยมอี๋ด้วย ความยากลำบาก เพราะนอกจากจะเป็น โรงเรียนรัฐบาลแล้ว หมี่เล็กยังกลับมาเรียน ต่อม.5 หลังจากที่เขาเปิดเรียนไปแล้ว 2 อาทิตย์

หลังจากเข้าเรียนได้ 3 วัน (กลับมาได้ 4-5 วัน) หมี่เล็กก็เอาตุ่มใส ๆ มาโชว์คุณแม่

“ตุ่มอะไรก็ไม่รู้ค่ะแม่ ขึ้นที่แขนสองตุ่ม ใส ๆ กดไม่แตกด้วย”

“แพ้น้ำ แพ้อากาศมั้งลูก หรือจะแพ้อาหาร…ดูไปก่อนแล้วกัน”

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ หมี่เล็กตื่นขึ้นมาพร้อมกับตุ่มใส ๆ เพิ่มอีก 3-4 ตุ่ม

“ท่าจะไม่ดีแล้วมั้ง เอาไปหาหมอดีกว่า” คุณพ่อแนะ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า

“แน่นอนครับ เป็นอีสุกอีใสแน่ ๆ”

บะหมี่กับเกี้ยมอี๋หัวเราะคิก เมื่อรู้ข่าว

“เท่ระเบิดเลยเป็นอีสุกอีใสอเมริกา” เกี้ยมอี๋ชม

“แหม! กลับมาตัวเปล่าก็ไม่ได้นะ ต้องเอาอีสุกอีใสอเมริกาติดมาด้วย” บะหมี่สนองต่อ

ที่เรารู้กันว่าเป็นอีสุกอีใสอเมริกาเพราะหมออธิบายว่า เชื้อไวรักนี้ต้องฟักตัว 20-24 วัน และหมี่เล็กก็เพิ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่ถึง 10 วัน แต่เกี้ยมอี๋กับบะหมี่ก็หยุดหัวเราะเมื่อคุณแม่ว่า

“เอ…แม่จำไม่ได้แล้วว่า ใครเป็นแล้วบ้าง แม่จำได้แต่ว่ามีเป็นคนเดียวแล้วก็เป็นไม่มากด้วย เพื่อนแม่บอกว่าถ้าเคยเป็นน้อย ๆ อาจจะเป็นอีกก็ได้นะ”

คุณแม่แยกหมี่เล็กไปนอนกับคุณพ่อคุณแม่ เพราะตามปกติหมี่เล็กกับเกี้ยมอี๋นอนเตียงเดียวกัน

“อย่าใส่เสื้อผ้าปนกันนะลูก แยกเครื่องใช้ด้วย แล้วอย่าคลุกคลีเล่นกันมากนัก”

อีกไม่กี่วันอีสุกอีใสก็บานเต็มหน้าหมี่เล็ก ทั้งแขน ขา ตามเนื้อตามตัวตุ่มพอง ๆ เต็มไปหมด เกี้ยมอี๋ต้องไปขอลาพักเรียนให้หมี่เล็ก ทั้ง ๆ ที่มาเรียนได้แค่ 3 วัน

แม้คุณแม่จะห้ามยังไง หมี่เล็กก็ยังแอบมานอนที่ห้องเกี้ยมอี๋เสมอ โดยมาแอบอ่านหนังสืออ่านเล่น

ที่เกี้ยมอี๋มีอยู่หลายร้อยเล่ม เกี้ยมอี๋ก็ไม่ว่าอะไร และไม่สนใจอีสุกอีใสของหมี่เล็กเท่าไหร่ด้วย เพราะต้องยุ่ง ๆ เรียนหนังสือหนังหา พอครบ 20 วันหลังจากหมี่เล็กเป็นอีสุกอีใส เกี้ยมอี๋ชักผึ่ง นึกว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันโรคดี ไม่เป็น

พอหมี่เล็กเริ่มหาย แผลยุบและตกสะเก็ดลอกเกือบหมด เกี้ยมอี๋ก็เกิดสิวเม็ดใหญ่ขึ้นที่หน้าผาก ด้วยความเคยชินเกี้ยมอี๋ก็บีบ แคะ แกะ สะกิด ทั้งเวลาเผลอและไม่เผลอ แต่เจ้าสิวหัวดื้อก็ไม่ยุบเสียที กลับขยายใหญ่ขึ้น…ใหญ่ขึ้นจนเกี้ยมอี๋เซ็ง ปล่อยไปตามบุญตามกรรม

แล้ววันหนึ่งขณะกำลังนอนอ่านหนังสือประโลมโลกอย่างเพลิดเพลิน เกี้ยมอี๋ก็สัมผัสกับตุ่มใส ๆ 2 ตุ่มที่บ่า พอเอาไปอวดคุณแม่ คุณแม่ก็อุทานว่า

“ตายแล้ว…อีสุกอีใสแน่เลย”

เกี้ยมอี๋แทบน้ำตาตก จะขาดเรียนได้ยังไง ก็ที่มหาวิทยาลัยน่ะเรียนแบบทำงานส่งในชั่วโมงตลอดเวลา ขืนหยุดเรียนไม่มีงานส่ง ล่องจุ๊งแน่ และไอ้ที่สำคัญ สิวที่เกี้ยมอี๋แกะเสียจนลามใหญ่ มันคือ…อีสุกอีใส

คุณแม่แน่ใจโดยไม่ต้องพาเกี้ยมอี๋ไปหาหมอด้วยซ้ำ ท่านสั่งยาอีกชุดเหมือนของหมี่เล็กมาให้เลย วันรุ่งขึ้นเกี้ยมอี๋เลยไปมหาวิทยาลัย ลาเพื่อน ๆ ไปกบดานซัก 2 อาทิตย์ เพื่อนต่างคณะบางคน (ที่เกี้ยมอี๋ไม่รู้จัก) กระโดดโหยงหนีเกี้ยมอี๋เป็นวาเมื่อรู้ว่าเป็นอะไร ทำเหมือนกับเกี้ยมอี๋เป็นตัวเชื้อโรคยังงั้นแหละ

แหม! ชักยัวะ

“รู้ว่าเป็นแล้วมาทำไม ฉันยังไม่เคยเป็นเลย” เพื่อนสนิทเกี้ยมอี๋ว่า

“ก็มาแพร่ให้เป็นกันน่ะซิ ฉันไม่ยอมนะถ้าพวกนายไม่ยอมเป็น นายไม่ใช่เพื่อนฉัน”

เพื่อน ๆ ทำหน้าเบ้

“เอาไว้หายแล้วค่อยมาเป็นเพื่อนกันใหม่ ตอนนี้เราไม่รู้จักกัน”

“ตอนฉันอยู่บ้านพวกนายต้องโทร.ไปบ้างนะ อย่าปล่อยให้ฉันเหงาล่ะ โทร.ทุกวันทุกชั่วโมงเลย”

“เออ…แล้วจะโทร.” เพื่อน ๆ เอาใจพลางไล่เกี้ยมอี๋ให้กลับบ้านไว ๆ

“แล้วอย่าลืมจดงานให้ด้วยล่ะ” เกี้ยมอี๋สั่งเสียก่อนกลับบ้านอย่างอาลัย

วันแรก ๆ ที่มีตุ่มขึ้น 2-3 ตุ่มไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่นาน ๆ มันก็เริ่มแพร่เต็มตัว ภายในเวลา 24 ชั่วโมง มีทั้งเม็ดเล็ก เม็ดกลาง เม็ดใหญ่

“ดีไม่ขึ้นมากที่หน้า” คุณพ่อชม “ไม่เหมือนหมี่เล็ก แต่แหม…ไอ้เม็ดตรงหน้าผากนี่ใหญ่จัง ไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า”

“ตอนแรกเกี้ยมอี๋นึกว่าเป็นสิวเลยแกะเล่น”

“มือบอน” คุณแม่ว่า “เป็นสิวก็แกะไม่ได้ บีบไม่ได้ หน้าเป็นรูหมด”

“ให้กินยาเขียวดีไหม กระทุ้งให้มันออกมามาก ๆ” คุณพ่อแนะนำ

“เพื่อนเกี้ยมอี๋เล่าว่าตอนเล็ก ๆ ที่เขาเป็นเขาแช่ในอ่างยาเขียวเลย”

“ไม่ต้อง” คุณแม่ว่าตาเขียวแทน “เดี๋ยวนี้สมัยใหม่แล้ว ไม่ต้องกินยาขงยาเขียว มียาเม็ดให้กิน ดีกว่ายาสมัยก่อนเยอะ”

รุ่งขึ้นตุ่มเล็กตุ่มใหญ่ก็พร้อมใจกันเบ่งบานเหมือนเห็ดบนหน้าเกี้ยมอี๋ จนคุณแม่กลุ้มใจ

“ขึ้นมากกว่าของหมี่เล็กอีก แหม ทำไมยิ่งโตมันยิ่งขึ้นมากนะ”

“เหมือนตุ๊กแก” บะหมี่ล้อ “ตั๊ก…แก ตั๊ก…แก”

ไอ้การขึ้นตุ่มยังเป็นของเล็กเมื่อเกี้ยมอี๋รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งแขน ขา แม้แต่กราม ผลัดเวียนทั้งตัว

“มันขึ้นที่เหงือกด้วยล่ะ” เกี้ยมอี๋บอกคุณแม่ พร้อมกับแหกเหงือกอวด มีตั้ง 2 ตุ่มแน่ะ

“ตอนฉันเป็นฉันก็ขึ้นที่เหงือก เธอยังหัวเราะเยาะฉันเลย”

หมี่เล็กแซงพูด ทำให้เกี้ยมอี๋กระโดดตุ้บเข้าไปอัดหมี่เล็กเสียป๊าบหนึ่งในฐานะตัวแพร่เชื้อ อะไรก็ไม่ร้ายเท่าเมื่อตุ่มขึ้นเต็มตัวเกี้ยมอี๋ก็คันยิบ ๆ ไปทั่วตัวเหมือนกัน

“ห้ามเกานะลูก” คุณแม่สั่งเฉียบขาด “ไปแกะไปเกามันเดี๋ยวเป็นแผลเป็น ถ้าตอนเล็ก ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นสาวแล้วเป็นแผลเป็นติดตัวน่าเกลียดไปตลอด ไม่หายแน่ ๆ”

เกี้ยมอี๋ก็กลัวเสียโฉมเหมือนกัน เลยต้องกัดฟันทนความคัน คุณแม่ซื้อคาลาไมน์ซึ่งเป็นยาสีปูนแห้งที่ทาแล้วเย็น ๆ แก้คันมาให้ขวดแล้วขวดเล่าก็ไม่พอใช้เสียที

“ทำไมตอนหมี่เล็กไม่คันมากเท่าเกี้ยมอี๋นะ สงสัยเกี้ยมอี๋ไม่แข็งแรงเท่าหมี่เล็ก”

ก็แหงละ หมี่เล็กตัวโตเป็นตุ่ม ส่วนเกี้ยมอี๋ตัวเล็กปลิวลมแถมขี้โรคอีก คุณแม่เลยเคี่ยวเข็ญเรื่องกินยาเป็นของแถมพิเศษ

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องอาหารการกิน ตอนหมี่เล็กเป็นเกี้ยมอี๋ไม่สนใจเท่าไหร่หรอก เพราะมันไม่ใช่เกี้ยมอี๋นี่ แต่มาตอนนี้

“เนื้อกินไม่ได้แสลง” คุณแม่บอก

โถ! เนื้อนี่ของโปรดเกี้ยมอี๋เชียวละ แต่เอาเถอะพอทู่ซี้กินไก่กินหมูไปได้

“เป็ด ห่านกินไม่ได้ทั้งนั้น ไข่อีก” แปลกว่ากินสารพัดไข่ไม่ได้เลย ไม่ว่า ไข่ดาว ไข่ตุ๋น ไข่ต้ม ไข่เจียว ฯลฯ รวมถึงอาหารข้างเคียงสารพัดไข่ เช่น ขนมปัง เค้ก บะหมี่ และอื่น ๆ สารพัน ชักจะมองเห็นความยุ่งยากหรือยัง

“ไข่จะทำให้แผลบุ๋มลงลึก ห้ามเด็ดขาด…อ้อ แล้วก็อาหารทะเลทุกอย่างมันจะทำให้คันมากขึ้น”

“แล้วที่สำคัญกินน้ำปลาไม่ได้”

เกี้ยมอี๋เข่าอ่อนแทบทรุดลงนั่ง โถ! ก็เกี้ยมอี๋น่ะเค็ม เอ๊ย! ไม่ใช่ ชอบกินเค็มจะตายไป เวลากินข้าวต้องมีน้ำปลาพริกวางบนโต๊ะเสมอ จะให้อดน้ำปลาได้ยังไงกัน ของสำคัญของเกี้ยมอี๋นะนี่

“ทนกินเหลือไปก่อนนะลูก” คุณแม่ปลอบ “แล้วแม่จะทำปลาช่อนแห้งให้กินกับข้าวต้ม”

ใครไม่เคยกินอาหารปรุงด้วยเกลือ คงจะไม่เคยรู้รสว่ามันร้ายกาจเพียงใด ช่วงนั้นเกี้ยมอี๋กินข้าวไม่ค่อยลงเท่าไหร่

“กินข้าวคลุกเกลือ เหมือนกินข้าวกับน้ำตา” เกี้ยมอี๋โอดครวญกับเพื่อนที่โทร.มาหา

“ตอนนี้น้ำหนักฉันลดไป 2 กิโล นายรู้ไหมว่ากว่าฉันจะเพิ่มน้ำหนักได้ 2 กิโลใช้เวลาปีนึง แต่เวลามันลดใช้เวลาแค่ 7 วัน” เกี้ยมอี๋ว่า “ข้าวกินไม่ลงเลย มันไม่มีรสชาติเลยเวลาขาดน้ำปลา”

“เอาไว้ฉันหายเมื่อไหร่นะ คอยดูนะฉันจะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อทุกวัน ใส่น้ำปลาเยอะ ๆ เชียว” เกี้ยมอี๋หมายมั่นปั้นมือเต็มที่

“เออ! แล้วจะกินเผื่อตอนนี้” เพื่อน ๆ ว่า “แต่ยังไม่หาย ไม่ต้องโผล่หัวมานะ”

แต่ด้วยความผอมแห้งแรงน้อยของเกี้ยมอี๋ ทำให้คุณแม่อดสงสารไม่ได้ มักจะฝ่าฝืนกฎให้อะไรที่ต้องห้ามเกี้ยมอี๋กินบ้างพอต่อชีวิตไปวัน ๆ

“สงสาร พอเห็นผอม ๆ ยังงี้ กินบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ คงไม่เป็นไรหรอก”

แล้วคุณแม่ก็จะทำน้ำปลาหวานโดยพลิกแพลงใส่ซอสถั่วเหลืองแทนน้ำปลา และปลาช่อนแห้งแทนกุ้งแห้ง มะม่วงนี่ใช้มะม่วงรุ่นเอ๊าะ ๆ 3 ฤดูต้นหลังบ้าน เกี้ยมอี๋กะจะฟาดให้เต็มคราบ แต่ความฝันก็ต้องพังครืนเมื่อคุณป้าที่มาเยี่ยมบอกว่า

“มะม่วงเปรี้ยวกินได้ยังไงกัน ของเปรี้ยวกินไม่ได้เดี๋ยวแผลดำ…แล้วพวกของแสลงของห้ามนี่ต้องไม่ให้กินเด็ดขาดนะ พอหายแล้วก็กินไม่ได้อีก 40 วัน ไม่งั้นแผลดำหรือเดี๋ยวมันจะกลับเป็นซ้ำอีก”

โถ! ชีวิตรันทดของเกี้ยมอี๋ นี่ต้องทนทรมานหลังหายไปอีก 40 วัน… 40 วันเชียวนะ โอ๊ย! จะบ้า

แล้วแผลก็เริ่มยุบ ตกสะเก็ดเป็นแผ่นแข็ง ๆ ดำ ๆ น่าเกลียด พอหลุดไปก็มักทิ้งรูเล็กบ้าง ใหญ่บ้างตามขนาดของตุ่มไว้ทั่ว พอมันแห้งแต่ยังเหลือพราวเต็มหน้า โดยเฉพาะไอ้เม็ดแรกที่นึกว่าเป็นสิวหลุดช้าที่สุด ได้แผลโตที่สุดนั้น เกี้ยมอี๋ก็รีบโผล่ไปมหาวิทยาลัยเพราะกลัวตามเพื่อนไม่ทัน ยอมทนอายหน่อย

ไอ้คนที่ยังไม่เคยเป็นมองแผลแห้งตกสะเก็ดยังไม่หลุดออกจากหน้า 2-3 เม็ดของเกี้ยมอี๋อย่างไม่แน่ใจ

“ไม่ติดต่อแล้วนะ”

“เออซิน่า หมอบอกว่าไม่ติดแล้ว มันติดแค่ช่วงยังเป็นหนอง นี่มันแห้งแล้ว เห็นไหม จับดูก็ได้”

เกี้ยมอี๋พยายามจะให้เพื่อนสัมผัสให้ได้ แต่เพื่อน ๆ ต่างเผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง

“ไม่เอา ยังไม่ไว้ใจ หน้าลายเหมือนนังลำยองในเรื่องทองเนื้อเก้า ช่อง 7 เลย”

“เออ จริงด้วย เหมือนนังลำยองเลย” หลาย ๆ คนเสริม

เกี้ยมอี๋ร้องกรี๊ด ก็ใครอยากเป็นลำยองบ้างล่ะ นับแต่นั้นเพื่อน ๆ ก็ล้อเกี้ยมอี๋ว่าเป็น “นังลำยอง” ตลอดเวลา

“ลำยอง ลำยองไปกินข้าวกัน” หรือไม่ก็ “อย่าให้แผลมันร่อนลงมาใส่ชามฉันนา ลำยอง”

“นี่ไปห้องสมุดไหม ลำยอง ฯลฯ”

แหม! มันน่าซัดจริง ๆ อย่าให้เพื่อนคนไหนเป็นมั่งแล้วกัน เกี้ยมอี๋จะสับให้ยับเลย เกลียดนักเชียว อีสุกอีกใสนี่

อีกไม่นานบะหมี่ก็ไปเปิดพุงอวดคุณแม่ ยิ้มหวานเห็นฟันเต็มที่

“อะไร บะหมี่” คุณแม่ถามชักหวั่น ๆ ตุ่มอะไรคุ้น ๆ ตาอยู่

“อีสุกอีใสครับแม่”

คุณแม่แทบล้มทั้งยืน “อีกคนแล้วหรือนี่…เวรกรรม”

 

ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารแพรวสุดสัปดาห์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 119 16 มกราคม 2531

ป.ล.เรื่องสั้นเรื่องนี้พี่เขียนตั้งแต่ยังเป็นสาวเอ๊าะ ๆ อยู่ค่ะ สมัยนั้นผอมมาก ขนาดบริจาคเลือดไม่ได้เพราะน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ พยายามมากที่จะเพิ่งน้ำหนักให้ได้ แต่ตอนนี้…ถ้าเวลาย้อนกลับได้ เอาน้ำหนักคืนไปสักสิบกิโลคงจะดีไม่น้อยเลย…เฮ้อ…   [กิ่งฉัตร]

รู้สึกอย่างไรกับบทความนี้ ติดต่อเวปมาสเตอร์

[ หน้าบ้าน ] [ ประวัติ ] [ ผลงาน ] [ เรื่องย่อ ] [ สัมภาษณ์ ] [ สมุดเยี่ยม ] [ หลังบ้าน ]


"บ้านกิ่งฉัตร" เป็นโฮมเพจกิ่งฉัตรอย่างไม่เป็นทางการ    มิได้จัดทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ใดๆแก่ผู้จัดทำ    "กิ่งฉัตร" และผลงานที่อ้างอิงบนโฮมเพจนี้   ยังคงเป็นสิทธิ์ของผู้เขียนและผู้พิมพ์ทุกประการ

"บ้านกิ่งฉัตร" จัดทำโดย กมลวรรณ อ่อนละมัย   7 ก.พ. 2544   โดยได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากแฟนกิ่งฉัตรบนบอร์ด Chulabook