เซลล์เชื้อเพลิง : พลังงานสะอาด ทางเลือกแห่งอนาคต
เรียบเรียงโดย ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
เซลล์เชื้อเพลิง หรือ Fuel Cells เริ่มเป็นที่รู้จักและคุ้นหูคนไทยมากขึ้นจากข่าวสารความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยี ในการเป็นเครื่องมือที่ให้กำเนิดไฟฟ้าได้จากกระบวนการทางเคมี การใช้งานของเซลล์เชื้อเพลิงที่เริ่มแพร่หลาย คือ การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทนที่แบตเตอรี่ดังในปัจจุบัน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook โทรศัพท์มือถือ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่มีวางจำหน่าย เป็นแต่เพียงไอเดีย และเครื่องต้นแบบเท่านั้น นอกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว เซลล์เชื้อเพลิงยังได้มีการกล่าวถึงมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ คือ รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิง หรือใช้ระบบไฮบริด ระหว่างเซลล์เชื้อเพลิงและแบตเตอรี่
เซลล์เชื้อเพลิงทำงานอย่างไร ?
เซลล์เชื้อเพลิงให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าได้โดยอาศัยปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ซึ่งคล้ายกับหลักการทำงานของแบตเตอรี่ เพียงแต่แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่แน่นอน ทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุ และจ่ายประจุ ในการใช้งานจึงต้องทำการชาร์จไฟก่อนนำไปใช้งาน และต้องชาร์จไฟใหม่เมื่อหมดแรงดัน กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในเซลล์เชื้อเพลิงนั้นมาจากการเกิดออกซิเดชันและรีดักชันที่ขั้วไฟฟ้าแต่ละด้าน เมื่อต่อขั้วไฟฟ้าจะก่อให้เกิดการไหลเวียนของอิเล็กตรอน โดยทั่วไปแล้วเชื้อเพลิง (fuel) ที่เป็นตัวอย่างของปฏิกิริยาเคมีคือ ก๊าซไฮโดรเจน และมีก๊าซออกซิเจนเป็นสารออกซิแดนต์ (oxidant) ปฏิกิริยารีดักชันของก๊าซออกซิเจนนั้นเกิดขึ้นที่ขั้วคาโทด และปฏิกิริยาออกซิเดชันของไฮโดรเจนเกิดขึ้นที่ขั้วอาโนด อิเล็กตรอนจึงไหลจากขั้วอาโนดผ่านวงจรไปที่ขั้วคาโทดเพื่อทำปฏิกิริยา ดังแสดงในรูปที่ 1

ปฏิกิริยาของเซลล์เชื้อเพลิงนั้นมีการรายงานครั้งแรกโดยศาสตราจารย์คริสเตียน เฟรเดอริก เชอนบาย (Christian Friedrich Schoenbein) ในปี ค.ศ.1839 ว่ามีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยใช้กรดซัลฟุริก และลวดแพลตินัม เซอร์วิลเลียม โกรว์ฟ (Sir William Grove) รายงานในอีก 1 เดือนถัดมาถึง เเบตเตอรี่ที่ใช้แพลตินัมและสังกะสี เมื่อใช้กรดซัลฟุริกและไนตริกเป็นอิเล็กโตรไลต์ ซึ่งถือว่าเป็นเซลล์เชื้อเพลิงเครื่องแรกในโลก หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้งในกลางศตวรรษที่ 20 ประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงนั้นได้จากประสิทธิภาพทางเคมี โดยอาศัยหลักการทางเทอร์โมไดนามิก ไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคาร์โนต์ (Carnot cycle) ที่เป็นตัวควบคุมประสิทธิภาพการทำงานในเครื่องกำเนิดพลังงานจากความร้อน เช่น ระบบกังหันก๊าซ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากปฏิกิริยาเคมีโดยตรง ประสิทธิภาพการทำงานจึงสูงถึง 85 % ในทางทฤษฎี ทั้งนี้เชื้อเพลิงที่นำมาใช้จะต้องนำมาคิดหาค่าประสิทธิภาพที่แท้จริงด้วยหากต้องมีการแปรสภาพก่อนการใช้งาน เซลล์เชื้อเพลิงจำแนกออกได้หลายระบบ ขึ้นอยู่กับอิเล็กโตรไลต์ โดยทั่วไปแล้วจะจำแนกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1.
- Alkaline Fuel Cell (AFC) อิเล็กโตรไลต์ที่ใช้คือ โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์เหลว โดยจะต้องใช้ก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์และก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์เท่านั้น การใช้งานจำกัดอยู่ในงานทางด้านอวกาศ เช่น ในยานอวกาศอพอลโล อุณหภูมิที่ใช้อยู่ในช่วง 60-120 องศาเซลเซียส
- Phosphoric Acid Fuel Cell (PAFC) ใช้กรดฟอสฟอริกเป็นอิเล็กโตรไลต์ สามารถทนต่อก๊าซเจือปนได้มากกว่าแบบ AFC แต่ก็ยังใช้เชื้อเพลิงและออกซิแดนต์ชนิดเดียวกัน อุณหภูมิการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 200 องศาเซลเซียส ปัญหาของเซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้คือ การกัดกร่อนของกรดที่อุณหภูมิการใช้งาน ในปัจจุบันได้มีการใช้ในเชิงพาณิชย์แล้ว โดยมีขนาดกำลังไฟฟ้า ประมาณ 200 กิโลวัตต์
- Polymer Membrane Fuel Cell (PMFC) or Polymer Electrolyte Fuel Cell (PEFC) เป็นชนิดที่ใช้โพลิเมอร์เมมเบรนเป็นอิเล็กโตรไลต์ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหากับของเหลวอิเล็กโตรไลต์ที่กัดกร่อนเพราะของเหลวชนิดเดียวภายในเซลล์คือ น้ำ เซลล์ชนิดนี้ใช้งานที่อุณหภูมิไม่เกิน 120 องศาเซลเซียส ใช้ก๊าซไฮโดรเจนและออกซิเจนในการทำปฏิกิริยา เป็นเซลล์เชื้อเพลิงที่นำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาเมมเบรนโพลิเมอร์เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้จากเชื้อเพลิงเมทานอล โดยไม่ต้องเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนก่อน จึงเรียกเซลล์เชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้ว่า เซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้เมทานอลได้โดยตรง (Direct Methanol Fuel Cell) เพราะอุณหภูมิการใช้งานค่อนข้างต่ำจึงใช้เวลาในการเริ่มเดินเครื่องน้อยกว่าประเภทอื่น บริษัทรถยนต์ต่าง ๆ ตระหนักถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ จึงได้มีการพัฒนา PMFC เพื่อใช้ในรถยนต์สำหรับอนาคตซึ่งได้เริ่มทำมาหลายปีแล้ว คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงออกสู่ตลาดในเชิงพานิชย์ ทั้งในรูปของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรสบัส บริษัทที่มีการพัฒนาเช่น Daimler Chrysler โตโยต้า ฟอร์ด จีเอ็ม ฮอนด้า นิสสัน และมาสด้า เพื่อนำมาใช้ในการขับเคลื่อน
- Molten Carbonate Fuel Cell (MCFC) อิเล็กโตรไลต์ที่ใช้เป็นพวกเกลือคาร์บอเนตหลอมของโซเดียม และโปแตสเซียมในเซรามิกเมตริกของ ลิเทียมอลูมิเนต (LiAlO2) โดยอุณหภูมิที่ใช้งานอยู่ที่ประมาณ 650 องศาเซลเซียส ดังนั้นปัญหาจากการกัดกร่อนจึงมีความสำคัญมาก เนื่องจากการใช้งานที่อุณหภูมิค่อนข้างสูง สารไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้ นิยมใช้เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเมกกะวัตต์จึงจะเหมาะสมกับประสิทธิภาพการทำงานเนื่องจากระบบที่ใช้ค่อนข้างซับซ้อน
- Solid Oxide Fuel Cell (SOFC) เป็นเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้สารเซรามิกเป็นอิเล็กโตรไลต์ ซึ่งสารที่ใช้มากคือ สารประกอบของเซอร์โคเนีย โดยใช้งานที่อุณหภูมิ 650-1000 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับการออกเเบบและสารที่ใช้เป็นอิเล็กโตรไลต์ เช่นเดียวกับเซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม สารไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ และออกซิเจนในอากาศนำมาใช้เป็นออกซิแดนต์ได้ PMFC นั้นเป็นประเภทที่ถูกเลือกใช้ในด้านยานยนต์ มีเพียง BMW เท่านั้นที่ต้องการใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์ของเเข็ง (SOFC) มาใช้เป็นระบบจ่ายไฟโดยไม่ได้ใช้ในการขับเคลื่อน โดยรวมแล้ว SOFC ได้มีการพัฒนาให้ใช้เป็นเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าทั้งขนาดเล็กภายในครัวเรือน 1-2 kW โดยบริษัท Sulzer Hexis สวิสเซอร์แลนด์ หรือบริษัท Ceramic Fuel Cells Limited ของออสเตรเลียที่มีขนาดหลายสิบกิโลวัตต์ขึ้นไป เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าในชุมชนเช่นของ บริษัท Siemens Westinghouse ของสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงชนิดนี้เพื่อเป็นโรงไฟฟ้าขนาดย่อม ในช่วงหลักร้อยกิโลวัตต์ ถึงเมกะวัตต์ โดยในอนาคตจะพัฒนาให้ทำงานร่วมกับการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันก๊าซ หรือกังหันไอน้ำด้วยความร้อนที่เหลือจากปฏิกิริยาในเซลล์
โดยสรุปแล้วการจำแนกประเภทของเซลล์เชื้อเพลิงทั้ง 5 ชนิดนี้ จะแบ่งได้อย่างคร่าวเป็นประเภทที่ใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ คือ AFC PAFC และ PMFC ซึ่งต้องใช้แพลตินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ในขณะที่เซลล์เชื้อเพลิงที่ทำงานที่อุณหภูมิสูง MCFC และ SOFC สามารถใช้สารไฮโดรคาร์บอนเป็นเชื้อเพลิงได้ และไม่ต้องใช้แพลตินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จึงสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เชื้อเพลิงเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ นั้นแสดงในรูปที่ 2

รูปที่ 2 ค่าประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เชื้อเพลิงเปรียบเทียบกับเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ลักษณะการใช้งานของเซลล์เชื้อเพลิงแต่ละชนิด แตกต่างกันออกไปตามข้อดีและข้อจำกัดโดยได้ยกตัวอย่างในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ลักษณะการใช้งานของเซลล์เชื้อเพลิงแต่ละประเภทที่ได้มีการใช้งานแล้ว
Type |
Capacity |
Application |
AFC |
1.5 kW
12 kW |
Apollo Programme
Space Shuttle Orbiter |
PAFC |
200 kW
11 MW |
Power Plant (40,000 hours at 40%LHV electric eff., 80% cogeneration)
Power Plant |
PEMFC |
1 kW
200 kW
250 kW
2 MW
< 24 W
|
Gemini Programme
Transport bus in Canada
Power Plant
Power Plant (8 stacks of 125 kW each, 58 %LHV electric eff.)
Mobile applications (mobile phone, laptop computer, PDA) |
MCFC |
2 MW |
Power Plant (44% LHV eff.) |
SOFC |
100 kW
220 kW (180kW) |
Power Plant (4000 hours at 45%LHV electric eff.)
Power Plant (combined cycle with micro turbine generator 75kW, 55% eff.) |

รูปที่ 3 เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลืออัลคาไลน์ ที่ใช้ในยานอวกาศอพอลโล พัฒนาโดย United Technologies Corp.

รูปที่ 4 รถบัส Citaro ของ Daimler Chrysler คันแรกที่ใช้งานจริง ที่เมืองมาดริด ประเทศสเปน โดยเริ่มใช้งานเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม ปีนี้ ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน สำหรับเซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์ สามารถเดินทางได้ในระยะ 200 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 80 กม./ช.ม.

รูปที่ 5 รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์ของบริษัท Daimler Chrysler ใช้โครงสร้างของ Mercedes Benz A-class ได้ทำการทดสอบระยะทางจากซานฟรานซิสโก ไปถึง วอชิงตัน ดีซี ภายใน 2 สัปดาห์ ระหว่าง 20 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2545

รูปที่ 6 การใช้งานของเซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์เมมเบรนในยานยนต์ของบริษัท Toyota แบบไฮบริด
โดยใช้โครงสร้างของรุ่น Kluger V (Highlander)

รูปที่ 7 รถยนต์ฟอร์ดที่ขับเคลื่อนด้วย เซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์เมมเบรน ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง (ปี 2545)

รูปที่ 8 รถยนต์แบบสปอร์ตของ GM ขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์เมมเบรน ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง (ปี 2545)

รูปที่ 9 รถยนต์ ESORO เป็นรถระบบไฮบริดระหว่างแบตเตอรี่ Ni/MH และเซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์เมมเบรน ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง (ปี 2544)

รูปที่ 10 เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ของ NEC ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบโพลิเมอร์แทนเเบตเตอรี่ จ่ายไฟได้สูงสุด 24 วัตต์ สามารถทำงานติดต่อกันได้นาน 5 ชั่วโมง (กรกฎาคม 2546)

รูปที่ 11 การใช้งานของเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์ของแข็งสำหรับครัวเรือนขนาด 1 kW ของบริษัท Sulzer Hexis ที่จ่ายทั้งกระแสไฟฟ้าและน้ำร้อน

รูปที่ 12 หน่วยผลิตไฟฟ้าขนาด 220 กิโลวัตต์ ประกอบด้วยเซลล์เชื้อเพลิงแบบออกไซด์ของแข็ง และเครื่องกังหันก๊าซ (micro turbine) ผลิตโดย Siemens Westinghouse

เซลล์เชื้อเพลิงจัดว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะถ้าใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษเลยเพราะสิ่งที่ได้ออกมานั้นคือ น้ำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถใช้บริโภคได้ในกรณีของนักบินอวกาศ ก๊าซพิษอื่น ๆ เช่น NOx และ SOxจะมีปริมาณน้อยกว่าที่เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากความร้อน เพราะอุณหภูมิที่ใช้ต่ำกว่ามาก นอกจากเรื่องมลพิษนี้แล้ว ไม่มีส่วนใดในเซลล์ที่เคลื่อนที่จึงไม่ก่อให้เกิดเสียงดังรบกวน สามารถติดตั้งไว้ในเมืองหรือแหล่งชุมชนได้ แม้ในบ้านเรือนที่มีพื้นที่จำกัดก็สามารถนำมาติดตั้งได้ เพราะใช้พื้นที่น้อย และแบ่งการใช้งานเป็นแบบโมดูล จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแม้ว่าจะใช้กำลังไฟต่างกัน ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เชื้อเพลิงแบบอุณหภูมิสูงนั้น หากนำมาประกอบการใช้งานกับเครื่องยนต์แบบกังหันก๊าซ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อีก จนคาดว่าอาจสูงถึง 75 %
ถึงแม้ว่าเซลล์เชื้อเพลิงจะมีข้อดีมากมาย แต่ในขณะนี้รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงยังมีราคาที่สูงมากกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่หลายเท่า จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิศวกรรมเพื่อค้นหาวิธีการผลิตและประกอบที่มีประสิทธิภาพดี เหมาะสมที่สุดเพื่อนำมาใช้ในเชิงพานิชย์ ในอนาคตอันใกล้นี้ เซลล์เชื้อเพลิงที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันก็คือ ยานยนต์เพื่อสิ่งเเวดล้อม และในเวลาต่อไปจึงจะเป็นเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้า ที่จะค่อย ๆ เข้ามาเเทนที่เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าประสิทธิภาพต่ำและก่อมลภาวะในปัจจุบัน
อ้างอิง
- N.Q. Minh, and T. Takahashi, Science and Technology of Ceramic Fuel Cells, Elsevier, 1995.
- U. Bossel, The Birth of the Fuel Cell, European Fuel Cell Forum, 2000.
- Fuel Cell Handbook: 4th Edition, DOE/FETC-99/1076, edited by J.H. Hirschenhofer, D.B. Stauffer, R.R. Engleman, and M.G. Klett, U.S. Department of Energy, Federal Energy Technology Center, 1998.
- http://www.daimlerchrysler.com/index_e.htm?/products/products_e.htm
- http://www.toyota.com/html/about/environment/partner_tech/spaceship_common.html
- http://www.hexis.ch/english/frhexis.htm
- http://www.fe.doe.gov/
- http://www.pg.siemens.com/en/fuelcells
- http://www.cfcl.com.au/
- http://www.nec.com/
- http://www.ford.com/
- http://www.gm.com/
- http://www.h2cars.de/